รถม้าหวังอ๋องเคลื่อนตัวออกจากบ้านตระกูลหวังมุ่งหน้าสู่หวังอ๋อง เนื่องด้วยเป็นเวลายามห้ายแล้ว (21.00-22.59 น.) สองข้างทางจึงเงียบสงบอากาศยามค่ำคืนเริ่มเย็น มีเพียงเสียงไผ่และใบไม้ที่ลู่ลมเกิดเป็นเสียงราวกับกำลังขับร้องผู้คนให้หลับใหล
ในขณะที่บรรยากาศภายนอกนั้นหนาวจนผู้คนต้องซุกตัวในผ้าห่มผืนหนา แต่ภายในรถม้าตอนนี้กลับมีคนผู้หนึ่งร้อนรุ่มราวกับไฟเผา
“เสด็จพี่หม่อมฉันร้อน”
หนานเจียอีที่เริ่มสติไม่อยู่กับตัว ได้เริ่มคลายผ้าคาดเอวตนเองออก เพราะนางรู้สึกร้อนวูบวาบไปหมดราวกับโดนไฟแผดเผาอยู่ด้านใน
“น้องหญิงเจ้าหยุดก่อนจะถอดชุดในนี้ไม่ได้” อ๋องหนุ่มรีบจับมือภรรยาที่กำลังสาละวนถอดชุดของนางออกให้ได้ มือหนารีบคว้ามือบางอีกข้างอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าหนานเจียอีจะดึงชุดนอกออก
“อื้อ ปล่อยนะอย่ามายุ่ง” คนเมาที่ไม่ได้สติแล้วเริ่มดื้อดึงนางสะบัดมืออ๋องหนุ่มออกใบหน้าบูดบึ้งเพราะโดนขัดใจ
“พวกเจ้าเร่งรถม้าให้เร็วขึ้น” หนานฟาหยางเริ่มจะห้ามปรามไม่ไหวแล้ว จึงได้ออกคำสั่งให้พลขับรถรีบเร่งกลับตำหนักโดยเร็ว
“พ่ะย่ะค่ะ”
เพียงไม่นานรถม้าได้แล่นมาถึงหน้าวัง กงกงคนสนิทและเหล่านางกำนัลออกมาเตรียมรับผู้เป็นนายหน้าประตู เพียงแต่ยืนอยู่สองเค่อแล้วก็ยังไม่มีผู้ใดลงมา ทุกคนต่างไม่กล้าจะเอ่ยสิ่งใด จึงได้แต่ยืนก้มหน้ารอเจ้านายออกจากรถม้าเพียงเท่านั้น แม้ภายนอกจะดูเหมือนนิ่งสงบแต่ภายในรถม้านั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“น้องหญิงเจ้าอยู่นิ่ง ๆ ได้หรือไม่พี่จะจัดเสื้อให้เจ้าก่อน” หนานฟาหยางพยายามจัดเสื้อภรรยาให้เรียบร้อย แต่ทำไมเขารู้สึกเหมือนจับเด็กน้อยสามขวบใส่เสื้อผ้าเสียอย่างนั้น
ด้านคนเมาที่ร้อนพยายามจะถอดชุดให้ได้ ตอนนี้ได้เลื้อยเข้าไปซบอกชายหนุ่มเป็นที่เรียบร้อย มือเรียวบางเริ่มไม่อยู่นิ่งล้วงเข้าไปในเสื้อชายหนุ่ม อีกมือพยายามจะกดท้ายทอยให้อีกฝ่ายก้มลงมาหาตน แต่ไม่ว่าจะออกแรงเท่าไรอีกฝ่ายก็ไม่ยอมก้มลงมาสักทีจนคนเมาทนไม่ไหว อ้าปากงับตรงคอไปหนึ่งทีจนเกิดเป็นรอยฟันซี่เล็กขึ้นมา
อ๋องหนุ่มต้องขบกรามแน่นเพื่อข่มอารมณ์บางอย่างที่เริ่มปะทุขึ้นมา จนเขาต้องรวบมือบางทั้งสองข้างตรึงไว้ แล้วรีบจัดชุดให้หนานเจียอีให้เข้าที่ ก่อนจะอุ้มร่างบางลงจากรถม้าได้สำเร็จ
“เตรียมน้ำให้ข้า คืนนี้พระชายาจะนอนกับข้าที่ตำหนักใหญ่” อ๋องหนุ่มหันไปบอกกับกงกงคนสนิทก่อนจะก้าวตรงไปยังตำหนักของตน
“รับทราบพ่ะย่ะค่ะ” กงกงเมื่อได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนาย ก็ได้จัดการสั่งให้นางกำนัล ไปเตรียมน้ำอาบให้แก่ท่านอ๋องและพระชายาให้พร้อม
ด้านเหล่านางกำนัลทั้งหลายที่ได้ยินว่าท่านอ๋องจะพาพระชายาไปพักที่ตำหนักใหญ่ด้วยกัน ต่างก็พากันยิ้มดีใจเพราะปกติแล้วท่านอ๋องกับพระชายาจะอยู่กันคนละตำหนัก จะมีบ้างที่ท่านอ๋องไปหาพระชายาที่ตำหนัก
ตั้งแต่ท่านหญิงน้อยหายตัวไปผู้เป็นนายทั้งสองยิ่งห่างเหินกันมากยิ่งขึ้น จนพวกนางก็อดที่จะสงสารพระชายาไม่ได้ สิ่งที่กังวลมากที่สุดก็คือกลัวว่าท่านอ๋องจะรับชายารองเข้ามา พระชายาผู้นี้ดีที่สุดแล้วสำหรับบ่าวตัวเล็ก ๆ เช่นพวกนาง
เพราะอีกฝ่ายไม่เคยข่มเหงรังแกปกครองบ่าวทั้งหลายด้วยความเป็นธรรม อีกทั้งยังมีเมตตาช่วยเหลือพวกนาง ยามเดือดร้อน ไม่เคยแม้แต่จะได้เห็นสายตาที่เหยียดหยาม พวกนางจึงรักและเคารพพระชายาสุดใจ
ด้านหนานฟาหยางที่พาภรรยามาถึงยังห้องบรรทมได้สำเร็จ เขาถึงกับต้องปาดเหงื่อไม่คิดว่าสตรีที่เรียบร้อยอ่อนหวานตอนเมา จะทั้งดื้อรั้นและเอาแต่ใจได้ถึงเพียงนี้ ชายหนุ่มวางร่างบางลงบนที่นอนหนานุ่มอย่างเบามือ แต่ก่อนที่เขาจะผละออกไปกลับถูกมือบางรั้งเอาไว้
“ท่านเป็นใครเหตุใดช่างดูหล่อเหลานัก เอ๊ะ ทำไมท่านเหมือนสามีหน้านิ่งของข้าจัง” หนานเจียอีชี้นิ้วจิ้มแก้มชายหนุ่มซ้ายทีขวาที บ่นพึมพำออกมาเสียงอ้อแอ้
“ข้าก็สามีเจ้าอย่างไรเล่า หรือเจ้าคิดว่าผู้ใด” หนานฟาหยางมองคนเมาอย่างเอ็นดู
“ไม่ใช่ ท่าน ม่าย ช้าย สามีข้า สามีข้าไม่ยิ้มให้ข้าแบบนี้” คนเมาเริ่มพูดไม่เป็นศัพท์
“แล้วสามีเจ้าต้องทำหน้าเช่นไร”
ร่างบางที่ถูกถามถึงกับนิ่งไป ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดคิดอยู่สักพักจึงพูดออกมาว่า
“เขาต้องทำหน้านิ่ง ๆ ทำตาดุเวลาเห็นข้าทำอะไรก็ไม่ได้ ห้าม ห้าม ห้าม จะยิ้มให้ข้าสักครั้งยังแทบไม่มี” หนานเจียอีพูดในสิ่งที่ตนเองคิดออกมาทุกอย่าง
“ข้าทำเช่นนั้นหรือ” หนานฟาหยางคิ้วขมวด เขาห้ามก็เพราะกลัวนางจะเหนื่อยหรือเป็นอันตราย
“ศึกนี้ก็คงจะลำบากสักหน่อย เพราะพวกเราต้องรับทั้งศึกนอกและศึกใน อีกทั้งพวกมันคงเตรียมการมาดีแล้ว การจะไม่ให้เสียกำลังพลเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้” สีหน้าของอ๋องหนุ่มมีความกังวลมากขึ้น เนื่องจากฝ่ายนั้นได้ตระเตรียมอาวุธไว้ทำศึกและวางแผนไว้นานเป็นปีแล้ว พวกเขาเองไม่ได้มีเวลาในการเตรียมพร้อม จึงทำให้กังวลอยู่มาก“ทางนี้ท่านมิต้องกังวลฝ่าบาททรงมีแผนรับมือไว้แล้วขอรับ”“เช่นนั้นข้าก็สบายใจ” หากฝ่าบาทมั่นใจว่ารับมือได้ เขาผู้เป็นน้องย่อมไม่ต้องห่วงอะไร เพราะเชื่อมั่นในฝีมือของผู้เป็นพี่“ท่านพ่อต้องรีบกลับมาหาจูกับท่านแม่นะเจ้าคะ” เจ้าเด็กน้อยนั่งมองผู้ใหญ่พูดคุยกันอยู่นาน ถึงนางจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ท่านแม่บอกว่าท่านพ่อจะไม่อยู่กับนาง อีกนานกว่าจะได้กลับมาเจอกันเพียงเท่านั้นเจ้าเด็กน้อยก็รู้สึกเศร้า ท่านพ่อตามใจนางเป็นที่สุด และนางก็รักท่านพ่อมากที่สุดอีกด้วย“พ่อต้องรีบกลับมาหาเจ้ากับแม่แน่นอน”ในคืนวันนี้พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกต่างใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุด พูดคุยกันอย่างสนุกสนานหยอกเย้ากันไปมา จนทั้งห้องมีแต่เสียงหัวเราะและหลับไปพร้อมกันอย่างมีความสุขชายแดนเป็นเวลาสิบห้าวันแล้วที่ทัพหลวงอ
วันที่อ๋องหนานฟาหยางเคลื่อนทัพหลวงออกเดินทางไปยังชายแดนก็มาถึง ประชาชนทั้งหลายต่างออกมาเพื่อรอส่งขบวนเหล่าผู้กล้า ทุกคนช่วยสวดมนต์อวยพรให้ชนะศึกปลอดภัยกลับมาหนานฟาหยางอยู่บนหลังม้านำควบอย่างสง่างาม ชุดเกราะสีดำตัดกับผ้าคลุมสีแดง ยิ่งช่วยให้ดูน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น ด้านหลังเป็นเหล่าแม่ทัพนายกองที่มีตำแหน่งลดหลั่นกันลงมา และภายในขบวนยังมีเกวียนม้าภายในมีทั้งเสบียงอาหาร ยาสมุนไพร และสิ่งของจำเป็นต่าง ๆแต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนสงสัยมากที่สุดนั้นก็คือ เกวียนม้าขนาดใหญ่ที่ใช้ม้าลากเกวียนถึงสามตัวต่อหนึ่งเกลียว มีผ้าคลุมอย่างมิดชิดผู้คุ้มกันแน่นหนา ทั้งหมดมีถึงห้าสิบเกวียนส่วนทหารหน่วยย่อยออกเดินทางไปก่อนหน้านั้นแล้ว พร้อมกับอาวุธที่ได้จากหวังอี้หลิน ก็ถูกนำไปพร้อมกัน เนื่องจากเป็นทัพใหญ่หากให้เดินทางพร้อมกันจะทำให้การเดินทางล่าช้า จึงได้แบ่งย่อยออกเป็นสิบหน่วย จำนวนหน่วยล่ะห้าพันนาย ให้ทยอยออกเดินทางไปล่วงหน้าเมื่อสามวันที่แล้ว และทัพหลักของหนานฟาหยางเป็นขบวนสุดท้ายโดยก่อนหน้าวันออกเดินทางเพียงหนึ่งวัน เขาได้พาหนานเจียอีไปส่งที่บ้านตระกูลหวัง เนื่องจากระหว่างที่เขาไม่อยู่กลัวนางจะไม่ปลอดภัย ถ
“น้องหญิงพี่หิวแล้ว” ชายหนุ่มบอกเสียงแหบพร่า พร้อมกับถอดชุดที่อยู่บนร่างกายหนาออกจนหมดภายในพริบตา ราวกับว่าหากช้ากว่านี้เขาคงจะขาดใจตาย“ดะ เดี๋ยวก่อนเพคะ เอาไว้คืนนี้ก่อนดีหรือไม่” หนานเจียอีพยายามดันอกคนตัวโตให้ออกห่าง พูดด้วยเสียงเหนื่อยหอบ“ไม่ดี” อ๋องหนุ่มกล่าวเพียงเท่านั้น ก่อนจะก้มลงประกบปากบางอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ปลายลิ้นตวัดเกี่ยวพันกันกวาดความหวานจากปากนุ่มอย่างหิวกระหายหนานฟาหยางยกร่างบางให้ขึ้นนั่งบนโต๊ะ ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปอยู่ตรงกลางระหว่างขาเรียว มือหนาก็ได้เคล้นคลึงอกคู่งามอย่างมันมือ“อือ”เสียงหวานของร่างบางครางอย่างห้ามไม่อยู่ กับความรู้สึกเสียวซ่านที่กำลังได้รับจากคนตัวโต ใบหน้าคมละจากปากนุ่มนิ่มเคลื่อนลงมาเรื่อย ๆ ซุกไซร้ตรงซอกคอขาวผ่องสูดดมเอาความหอมเย้ายวนเข้าจนเต็มปอด“พี่อยากรักเจ้าให้มากกว่านี้พี่ต้องห่างเจ้าหนึ่งปีเชียวนะ” ร่างหนาเอ่ยบอกหากแต่ใบหน้าก็ยังมิได้ห่างออกจากร่างนุ่มนิ่มแม้แต่น้อย“อ๊ะ หม่อมฉันเจ็บนะเพคะ” เสียงหวานโวยวายเมื่อชายหนุ่มดูดดึงหน้าอกขาวอวบทั้งสองจนเกิดรอย เพียงไม่นานชุดชิ้นสุดท้ายที่นางสวมอยู่ได้ถูกดึงออกจนพ้นจากปลายเท้าทั้งสองต่างก็เป
ข่าวการประกาศราชโองการให้อ๋องหนานฟาหยางยกทัพเพื่อไปปราบเผ่าซ่งหนู ที่เริ่มเข้ามารุกรานชาวบ้านทางแถบชายแดน ทำให้ประชาชนเดือดร้อนและมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก เนื่องด้วยชาวบ้านถูกปล้นทั้งของมีค่า รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงและพืชธัญญาหารซึ่งข่าวนี้เป็นหัวข้อในการพูดคุยของเหล่าชาวเมืองมาตลอดหลายวัน เพราะแคว้นหนานอยู่อย่างสงบสุขกันมาโดยตลอด ตั้งแต่องค์ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์ ทุกคนต่างอวยพรให้อ๋องหนานฟาหยางทำศึกคราวนี้สำเร็จและปลอดภัยกลับมา นำพาความสุขมาสู่ประชาชนอีกครั้งภายในวังอ๋องบ่าวไพร่ต่างก็วิ่งวุ่นกันไปหมด เพราะหลังจากได้รับราชโองการ ผู้เป็นนายหญิงของวังได้สั่งให้จัดเตรียมสิ่งที่จำเป็น สำหรับการเดินทางให้กับสวามี ด้วยเวลาที่ฝ่าบาทได้กำหนดมาให้นั้นเพียงแค่ห้าวัน ทำให้ต้องเร่งจัดเตรียมอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ทันวันที่ต้องออกเดินทางหากแต่ในยามนี้ผู้เป็นนายสูงสุดอ๋องหนานฟาหยางนั่งหน้าบูดบึ้งไม่สบอารมณ์ บ่าวคนใดก็เข้าหน้าไม่ติดไม่ว่าจะเป็นองครักษ์คนสนิท หรือแม้แต่กงกงผู้ถวายงานมาตั้งแต่ท่านอ๋องหนุ่มยังทรงพระเยาว์ ยกเว้นอยู่คนผู้หนึ่ง ที่สามารถเข้าใกล้ได้นั้นคือพระชายาเพียงหนึ่งเดียวที่ม
“ทูลฝ่าบาทท่านอ๋องหนานจิ้งเริ่มเคลื่อนไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หวังอี้หลินที่นั่งคุกเข่ากล่าวรายงานเรื่องที่ได้รับมอบหมาย“เล่นไปตามแผนของเสด็จลุงไปก่อน ให้ฟาหยางได้ออกไปเล่นยืดเส้นยืดสายที่ชายแดนสักครึ่งปีแล้วกัน” องค์ฮ่องเต้ที่กำลังตรวจงานอยู่บนโต๊ะทรงงาน กล่าวออกมาอย่างอารมณ์ดีที่ได้กลั่นแกล้งพระอนุชา“จะไม่ทรงพระทัยร้ายไปหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ ไปนานเช่นนั้นชายาของหม่อมฉันจะมิคิดถึงแย่หรือ” อ๋องหนานฟาหยางที่เดินเข้ามาได้ยินคำกล่าวของพระเชษฐาพอดีถึงกับไม่สบอารมณ์ เขาต้องห่างจากภรรยาที่รักตั้งครึ่งปีเชียวนะ คนไร้หัวใจเช่นพระองค์จะทรงเข้าใจได้เช่นไร“เราว่าคนที่จะขาดใจเพราะคิดถึงคงมิใช่ชายาเจ้าหรอกมั้ง” พระองค์ก็ยังทรงยั่วโทสะของอนุชาเช่นเดิม“เหอะ คนไร้หัวใจเช่นท่านไม่รู้จักความรักหรอก” หนานฟาหยางยังเหน็บแนมผู้เป็นพี่ไม่หยุดเช่นกัน จนเวลาล่วงเลยมาถึงวันนี้พระเชษฐาก็ยังมิยอมแต่งตั้งฮองเฮาคู่บัลลังก์ และยังไม่มีวี่แววว่าจะต้องพระทัยสนมนางในนางใดอีกด้วย“แล้วอย่างไร” ท่าทางที่เฉยเมยไม่สนกับคำพูดของผู้เป็นน้อง ยิ่งทำให้หนานฟาหยางยิ่งไม่สบอารมณ์ จนต้องตวัดสายตามองพระเชษฐาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ“เช
ผู้ครองแผ่นดินทอดพระเนตรมองยังเบื้องล่างอย่างลำบากใจ ผู้หนึ่งก็น้องร่วมพระมารดาอีกผู้หนึ่งก็เป็นลุงไม่ว่าเขาจะตัดสินเช่นไร ผลที่ได้ก็ไม่ต่างกันก่อนที่พระองค์จะทรงถอนพระปัสสาสะออกมา และตรัสด้วยเสียงอันทรงอำนาจว่า“เช่นนั้นท่านเสนาบดีเอาสัญญานั้นมาให้เราดู”“พ่ะย่ะค่ะ”จากนั้นมหาเสนาบดีเยี่ยนสือได้มอบสัญญาการซื้อขายอาวุธ ที่นำมายื่นให้กับกงกงนำไปให้กับองค์ฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตร หลังจากได้ทอดพระเนตรแล้วสีหน้าพระองค์กลับดูเคร่งเครียดมากกว่าเดิม เพราะตราประทับนั้นเป็นของจริงแท้แน่นอน พร้อมทั้งลายมือที่ลงนามก็ใช่เช่นกัน“เอาล่ะ ในเมื่อหลักฐานชัดเจนถึงเพียงนี้ ก็คงจะไม่มีอะไรแก้ตัวพวกท่านมีความคิดเห็นเช่นไร กับการลงโทษในครั้งนี้” พระองค์ได้ลองหยั่งเชิงมหาเสนาบดีทั้งสองว่าจะทำเช่นไร“ทูลฝ่าบาทกระหม่อมเห็นว่าสมควรถอดยศริบทรัพย์สินทั้งหมดเข้าคลังหลวง และเนรเทศไปอยู่ชายแดนเพื่อใช้แรงงานไม่เว้นแม้แต่บ่าวไพร่พ่ะย่ะค่ะ” มหาเสนาบดีเยี่ยนสือกล่าวถึงบทลงโทษที่คนผิดจะได้รับในครั้งนี้“กระหม่อมเห็นด้วยกับบทลงโทษนี้พ่ะย่ะค่ะ”“กระหม่อมก็เห็นชอบเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขุนนางทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายอ๋องเฒ่าหนานจิ้
จากเหตุการณ์ที่ถูกนักฆ่าเข้ามาหมายจะเอาชีวิตคนในบ้าน พวกเขาได้ตกลงกันไว้ว่าจะปิดเรื่องนี้ไว้และทำตัวไม่ให้ผิดปกติ จนกว่าจะหาตัวผู้กระทำผิดมารับผิดได้ ดังนั้นเจ้าหมายักษ์ทั้งสองตัวจึงได้เพิ่มตำแหน่งใหม่จากเพื่อนเล่นท่านหญิงน้อย เป็นผู้เฝ้าดูแลบ้านอีกหน้าที่พวกมันได้รับคำชมเป็นเนื้อกวางย่างอันแสนอร่อยเป็นรางวัล ที่ทำหน้าที่ของตนได้ดีและได้รับคำชมจนเจ้าหมาทั้งสองกระดิกหางไม่หยุดผ่านไปไม่กี่วันกลับมีเรื่องราวให้หนักใจไม่หยุดหย่อน อ๋องหนานจิ้งได้เข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้กราบทูลว่า ผู้เป็นหลานอ๋องหนานฟาหยางสมคบคิดการใหญ่ ทำสัญญาซื้อขายอาวุธจำนวนมากซ่องสุมกำลังพล ทั้งยังมีการรับเงินสินบนกับเหล่าขุนนางน้อยใหญ่อีกด้วย และไม่ใช่เพียงเท่านั้นเขามีรายชื่อสมุดบัญชี สัญญาพร้อมตราประทับของอ๋องหนานฟาหยางเป็นหลักฐานอีกด้วยท้องพระโรงบรรยากาศภายในท้องพระโรงในยามนี้มีแต่ความตึงเครียด ต่างถกเถียงกันเรื่องอ๋องหนานฟาหยางผู้เป็นอนุชาของฮ่องเต้ แต่ละคนต่างก็แบ่งฝักแบ่งฝ่ายได้อย่างชัดเจนด้วยเหตุที่อ๋องหนานจิ้งผู้มีศักดิ์เป็นลุงได้มอบหลักฐานการทุจริต รับสินบนจากพวกพ่อค้าและขุนนางเพื่อเข้ามาทำการค้าแบบเอารัดเอาเ
ด้านหวังอี้หลินและพรรคพวกที่แยกย้ายเข้าห้องของตน เมื่อได้ยินเสียงของเสี่ยวเป่าและต้าเป่าดังมาจากข้างนอก พวกเขารู้ได้ทันทีว่าพวกมันต้องมาแล้ว หยงเจาและหานลู่ต่างก็ออกมารอคุ้มกันอยู่กลางบ้าน เพื่อป้องกันเด็กและสตรีที่อยู่ภายในหากว่ามีนักฆ่าคนใดคนหนึ่งหลุดเข้ามาได้ด้านหวังอี้หลินรีบออกจากห้องเพื่อไปอุ้มบุตรสาวมาอยู่กับภรรยา และตัวเขาจะออกไปสู้กับพวกนั้นด้านนอก“ชิงเอ๋อร์เจ้าอยู่กับลูกไปก่อนนะ ประเดี๋ยวพี่กลับมา” หวังอี้หลินยื่นตัวบุตรสาวให้กับภรรยา“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” หยุนชิงถามขึ้นถึงแม้ตานางจะปิดอยู่แล้วด้วยความง่วงงุน แต่มือก็ยังยื่นออกไปรับอาจูน้อยที่ยังหลับสนิทมานอนด้านข้างตน“มีคนบุกรุกเข้ามาพี่จะไปดูสักหน่อย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะหยงเจากับหานลู่คอยป้องกันอยู่ด้านนอก”“ท่านพี่ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ” จากตอนแรกที่ตาแทบจะปิดตอนนี้นางได้หายง่วงเป็นปลิดทิ้งทันที แต่ก็ได้แต่พยักหน้ารับและบอกให้สามีระวังตัวเองได้เท่านั้นหวังอี้หลินออกจากห้องและออกมาที่หน้าเรือนทันที ด้วยความเป็นห่วงว่าคนด้านนอกจะรับมือไม่ไหว แต่ภาพที่เขาเห็นนั้นก็คือ เจ้าหมาตัวใหญ่สองตัวจ้องพวกนั้นราวกับราชสีห์จ
หญิงสาวมองตามหลังผู้เป็นสามีดูเหมือนว่าเขาจะต้องมีเรื่องให้กังวลเป็นแน่ นางก็ควรจะเชื่อฟังคำสามีดีที่สุด ในเมื่อออกไปข้างนอกไม่ได้แล้ว นางก็จะหาอะไรทำแก้เบื่อแล้วกัน คิดได้ดังนั้นจึงได้เดินเข้าไปในครัวเพราะสิ่งที่นางชอบที่สุดคืออาหารหวังอี้หลินหลังจากที่แยกตัวออกมาแล้ว เขาตรงเข้าไปหาหานลู่กับหยงเจาที่ท้ายสวนชาโดยทันที เพื่อหารือเกี่ยวกับการป้องกันและรักษาความปลอดภัยในคืนนี้ เขาจะประมาทไม่ได้เพราะนั่นหมายถึงชีวิตของทุกคนในครอบครัวด้วยเพราะบ้านตนมีเพียงชาวบ้านธรรมดา วรยุทธ์ถึงจะฝึกให้กับบ่าวทุกคนเพื่อไว้ป้องกันตัวเมื่อยามที่มีภัยมา แต่ชาวบ้านตาดำ ๆ หรือจะสู้กับพวกที่ถูกฝึกมาเพื่อจะฆ่าคนโดยเฉพาะได้ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องวางแผนให้ดีเพื่อความปลอดภัยของทุกคนหวังอี้หลินเกณฑ์บ่าวชายทุกคนให้มารวมตัวกันอยู่ตรงลานสำหรับฝึกการป้องกันตัว เขาแบ่งหน้าที่ให้กับบ่าวทุกคน โดยการเพิ่มกำลังเวรยามให้แน่นหนาขึ้นอีกขั้น และได้บอกถึงปัญหาที่มีอยู่ในตอนนี้ให้พวกเขาได้เข้าใจซึ่งชายหนุ่มได้เน้นย้ำแก่ทุกคนว่าไม่จำเป็นต้องสู้ถวายชีวิต หากแต่ให้คำนึงถึงชีวิตของตัวเองเป็นหลัก หากสู้ไม่ไหวก็ให้หนีเอาชีวิตรอดให้ได้