ไม่อยากให้นางไปไหนมาไหนโดยไม่มีเขา เพราะไม่ชอบให้ผู้ใดมองภรรยาต่างหาก ไม่เคยทำหน้าดุใส่นางเลยสักครั้งจะมีก็แต่ส่งสายตาไม่ชอบใจให้กับองครักษ์ที่มองภรรยารักต่างหาก
“ถ้าไม่ใช่เพราะว่าข้ารักสามีของข้าหรอกนะ ข้าถึงได้ต้องทนอยู่อย่างเดียวดายเช่นนี้ เขาน่ะไม่รู้อะไรบ้างเลยว่าข้าต้องเหงาเพียงใด ที่ถูกทิ้งให้รออยู่ที่ตำหนักทุกวัน ฮึก ฮือ” ความอัดอั้นตันใจที่มีทั้งหมดได้ถูกระบายออกมาเป็นคำพูด นางรอให้เขามาหาทุกวันก็ไม่มา พอไปหาก็มักจะบอกติดงานไม่ว่างจนนางต้องกลับมาเดียวดายที่ตำหนักตนเอง
“เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ เจ้าบอกว่ารักข้าหรือ” อ๋องหนุ่มที่ได้ยินภรรยาบอกรักถึงกับตะลึงอย่างคาดไม่ถึง คิดมาตลอดว่ารักนางฝ่ายเดียวที่แต่งงานกับเขาก็คงจะขัดคำสั่งของผู้นำตระกูลไม่ได้ ตนจึงทำได้แค่พยายามไม่เข้าหาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องอึดอัดใจ
“ม๊ายยย ข้าบอกรักสามีข้าต่างหาก ม่าย ด้าย บอกร๊ากท่าน อื้อ” ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อปากอิ่มได้ถูกจุมพิตอย่างไม่ทันตั้งตัว
ร่างบางในอ้อมแขนอ่อนระทวย รสจูบที่ร้อนแรงยิ่งทำให้นางไร้เรี่ยวแรงยิ่งขึ้น ชุดที่หลุดลุ่ยถูกมือหนาปลดทิ้งอย่างไม่ไยดี ใบหน้าคมถอนจุมพิตออกมาอย่างอ้อยอิ่ง ดวงหน้าหวานมองอีกฝ่ายด้วยสายตาหยาดเยิ้ม จนชายหนุ่มทนไม่ไหวซุกหน้าลงซอกคอหอมกรุ่น ส่วนมืออีกข้างเคล้นคลึงอกนุ่มจนคนใต้ร่างเผลอครางออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“อืมมม”
หนานเจียอีค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองคนที่อยู่ด้านบนก่อนที่รอยยิ้มร้ายกาจจะปรากฏออกมา ด้วยความเมาที่มีในตอนนี้ มันทำให้นางลืมความอายของตนเองไปสิ้น กลับมีความคิดอยากจะลองทำตามคำแนะนำ
ของหยุนชิงขึ้นมา น้องสาวบอกนางว่ามิใช่จะรอให้อีกฝ่ายทำได้อย่างเดียว หากมัวแต่เหนียมอายสามีได้หาหญิงอื่นกันพอดี เราเป็นสตรีที่เพียบพร้อมอ่อนหวานเรียบร้อยเมื่ออยู่ภายนอก
แต่เมื่ออยู่บนเตียงจงกลายร่างเป็นสตรีร้อนรัก การยั่วยวนสามีตนไม่ใช่เรื่องผิดร้อยทั้งร้อยบุรุษทุกคนย่อมไปไหนไม่รอด
เมื่อคิดได้ดังนั้นร่างบางผลักให้อีกฝ่ายลงไปอยู่ด้านล่างแทนตนเอง มองสามีด้วยแววตายั่วยวน หนานฟาหยางถึงกับหยุดชะงักไป ด้วยไม่คิดว่าภรรยาจะเป็นฝ่ายรุกตนก่อน แต่เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันหรือว่าเขาจะให้นางดื่มสุราเวลาที่อยู่ด้วยกันตามลำพังดีนะ
ร่างบางโน้มตัวเข้าหาชายหนุ่มเริ่มตั้งแต่ติ่งหูเลื่อนต่ำลงมาตามลำคอ ไม่ว่าลากผ่านตรงไหนนางก็จะดูดซับจนเป็นรอย เพื่อบ่งบอกว่าเขาจะเป็นของนางเพียงผู้เดียว
ใบหน้างามจูบซับต่ำลงเรื่อย ๆ แผงอกแกร่งกระเพื่อมไหวเริ่มหายใจแรง เมื่อนางลากลิ้นนุ่มผ่านลงมาจนถึงหน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ใจเขาเริ่มเต้นแรงมากขึ้นลุ้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในเวลาข้างหน้า
“อ๊า แบบนั้นแหละดีมากภรรยาข้า” หนานฟาหยางขบกรามแน่น ปล่อยเสียงครางออกมาอย่างอดไม่ได้
ร่างบางเมื่อเจอเป้าหมายนางกอบกุมมันไว้จนเต็มฝ่ามือ จับรูดขึ้นลงก่อนที่อ้างับเข้าปาก น้องสาวบอกว่าให้นางทำเช่นนี้บุรุษจะมีความสุขและชอบให้สตรีทำ
ด้วยความร้อนวิชานางจึงทำขั้นตอนต่อไปด้วยการวนลิ้นร้อน ไปจนทั่วส่วนหัวจูบซับไปเรื่อย ๆ และวนกลับมางับเจ้าแท่งร้อนเข้าปากอีกครั้ง
“อื้ม เจ้าช่างร้ายกาจนักใครเป็นคนสอน อ๊าส์” ชายหนุ่มเริ่มครางเสียงดังขึ้น กับอารมณ์ที่ถูกปลุกมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ท่านชอบแบบนี้หรือไม่” เมื่อเล่นกับเจ้าแท่งร้อนจนพอใจหนานเจียอีค่อย ๆ คลานอย่างช้า ๆ มองสามีด้วยสายตาหยาดเยิ้มและร้อนแรง นางคลานเข้ามาจนถึงกลางลำตัวหนา ก่อนจะจับเอาเจ้าแท่งหยกที่ร้อนวูบวาบในมือจ่อถูไถเข้ากับจุดอ่อนนุ่มของตนเอง
“ชอบสิ ข้าชอบมาก อ๊าส์... แบบนั้นแหละภรรยารัก”
ร่างบางเริ่มขยับโยกขึ้นสุดลงสุดทำให้เกิดเสียงน่าอายของเนื้อที่กระทบกันดังขึ้น ฝ่ามือหนายกขึ้นเคล้นคลึงปทุมถันเพื่อระบายอารมณ์เสียวซ่าน มือหนาเปลี่ยนจากเต้าทั้งสองมาจับสะโพกงามงอน พร้อมกับจับนางให้โยกตามอารมณ์ของตน ไม่นานร่างทั้งสองกระตุกพร้อมกันจนนำพาไปถึงขอบสวรรค์ได้สำเร็จ หนานเจียอีถึงกับหมดแรงซบลงอกแกร่ง หายใจเหนื่อยหอบดวงตาเริ่มหนักอึ้งเข้าทุกที
ร่างบางพยายามจะลงจากร่างหนาของสามีด้วยเพราะเจ้าสิ่งนั้นยังอยู่ในตัว นางรู้สึกถึงความอึดอัดอีกครั้งหรือว่าท่านอ๋องจะ ไม่นะนางไม่ไหวแล้วและตอนนี้ฤทธิ์สุราก็จางหายไปหมดสิ้น เหลือเพียงแต่ความเขินอาย แต่ยิ่งดิ้นมือหนายิ่งกดแน่นอีกทั้งสะโพกสอบเริ่มขยับอีกครั้ง มันยิ่งทำให้อารมณ์ที่เพิ่งมอดดับปะทุขึ้นมาอีกจนได้
“ท่านพี่ พอก่อนข้าไม่ไหวแล้ว”
“เจ้าไม่ไหวก็นอนเฉย ๆ เถอะ ที่เหลือพี่จัดการเอง” หนานฟาหยางเอ่ยอย่างเอาแต่ใจไม่ยอมให้ภรรยาพักง่าย ๆ
จากที่นางคิดว่าจะจบเพียงเท่านี้แต่ไม่เป็นไปอย่างที่คิด สามีเอาแต่บอกว่าขออีกรอบจากตอนแรกที่อยู่บนเตียงเขาก็พานางมาเล่นน้ำในอ่าง จบจากเล่นน้ำ ต่อที่โต๊ะตัวยาวจนตอนนี้นางไม่สามารถเดินได้ด้วยตนเอง เพราะเรี่ยวแรงทั้งหมดได้ถูกสามีสูบไปเป็นที่เรียบร้อย
หนานฟาหยางมองภรรยาหลับพริ้มซุกหน้ากับอกเขายิ้มอย่างมีความสุข กดจูบลงหน้าผากมนด้วยความรักที่มีล้นอก กอดกระชับอ้อมแขนจนหลับไปด้วยกันในที่สุด
“พี่รักเจ้า”
“ศึกนี้ก็คงจะลำบากสักหน่อย เพราะพวกเราต้องรับทั้งศึกนอกและศึกใน อีกทั้งพวกมันคงเตรียมการมาดีแล้ว การจะไม่ให้เสียกำลังพลเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้” สีหน้าของอ๋องหนุ่มมีความกังวลมากขึ้น เนื่องจากฝ่ายนั้นได้ตระเตรียมอาวุธไว้ทำศึกและวางแผนไว้นานเป็นปีแล้ว พวกเขาเองไม่ได้มีเวลาในการเตรียมพร้อม จึงทำให้กังวลอยู่มาก“ทางนี้ท่านมิต้องกังวลฝ่าบาททรงมีแผนรับมือไว้แล้วขอรับ”“เช่นนั้นข้าก็สบายใจ” หากฝ่าบาทมั่นใจว่ารับมือได้ เขาผู้เป็นน้องย่อมไม่ต้องห่วงอะไร เพราะเชื่อมั่นในฝีมือของผู้เป็นพี่“ท่านพ่อต้องรีบกลับมาหาจูกับท่านแม่นะเจ้าคะ” เจ้าเด็กน้อยนั่งมองผู้ใหญ่พูดคุยกันอยู่นาน ถึงนางจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ท่านแม่บอกว่าท่านพ่อจะไม่อยู่กับนาง อีกนานกว่าจะได้กลับมาเจอกันเพียงเท่านั้นเจ้าเด็กน้อยก็รู้สึกเศร้า ท่านพ่อตามใจนางเป็นที่สุด และนางก็รักท่านพ่อมากที่สุดอีกด้วย“พ่อต้องรีบกลับมาหาเจ้ากับแม่แน่นอน”ในคืนวันนี้พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกต่างใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุด พูดคุยกันอย่างสนุกสนานหยอกเย้ากันไปมา จนทั้งห้องมีแต่เสียงหัวเราะและหลับไปพร้อมกันอย่างมีความสุขชายแดนเป็นเวลาสิบห้าวันแล้วที่ทัพหลวงอ
วันที่อ๋องหนานฟาหยางเคลื่อนทัพหลวงออกเดินทางไปยังชายแดนก็มาถึง ประชาชนทั้งหลายต่างออกมาเพื่อรอส่งขบวนเหล่าผู้กล้า ทุกคนช่วยสวดมนต์อวยพรให้ชนะศึกปลอดภัยกลับมาหนานฟาหยางอยู่บนหลังม้านำควบอย่างสง่างาม ชุดเกราะสีดำตัดกับผ้าคลุมสีแดง ยิ่งช่วยให้ดูน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น ด้านหลังเป็นเหล่าแม่ทัพนายกองที่มีตำแหน่งลดหลั่นกันลงมา และภายในขบวนยังมีเกวียนม้าภายในมีทั้งเสบียงอาหาร ยาสมุนไพร และสิ่งของจำเป็นต่าง ๆแต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนสงสัยมากที่สุดนั้นก็คือ เกวียนม้าขนาดใหญ่ที่ใช้ม้าลากเกวียนถึงสามตัวต่อหนึ่งเกลียว มีผ้าคลุมอย่างมิดชิดผู้คุ้มกันแน่นหนา ทั้งหมดมีถึงห้าสิบเกวียนส่วนทหารหน่วยย่อยออกเดินทางไปก่อนหน้านั้นแล้ว พร้อมกับอาวุธที่ได้จากหวังอี้หลิน ก็ถูกนำไปพร้อมกัน เนื่องจากเป็นทัพใหญ่หากให้เดินทางพร้อมกันจะทำให้การเดินทางล่าช้า จึงได้แบ่งย่อยออกเป็นสิบหน่วย จำนวนหน่วยล่ะห้าพันนาย ให้ทยอยออกเดินทางไปล่วงหน้าเมื่อสามวันที่แล้ว และทัพหลักของหนานฟาหยางเป็นขบวนสุดท้ายโดยก่อนหน้าวันออกเดินทางเพียงหนึ่งวัน เขาได้พาหนานเจียอีไปส่งที่บ้านตระกูลหวัง เนื่องจากระหว่างที่เขาไม่อยู่กลัวนางจะไม่ปลอดภัย ถ
“น้องหญิงพี่หิวแล้ว” ชายหนุ่มบอกเสียงแหบพร่า พร้อมกับถอดชุดที่อยู่บนร่างกายหนาออกจนหมดภายในพริบตา ราวกับว่าหากช้ากว่านี้เขาคงจะขาดใจตาย“ดะ เดี๋ยวก่อนเพคะ เอาไว้คืนนี้ก่อนดีหรือไม่” หนานเจียอีพยายามดันอกคนตัวโตให้ออกห่าง พูดด้วยเสียงเหนื่อยหอบ“ไม่ดี” อ๋องหนุ่มกล่าวเพียงเท่านั้น ก่อนจะก้มลงประกบปากบางอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ปลายลิ้นตวัดเกี่ยวพันกันกวาดความหวานจากปากนุ่มอย่างหิวกระหายหนานฟาหยางยกร่างบางให้ขึ้นนั่งบนโต๊ะ ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปอยู่ตรงกลางระหว่างขาเรียว มือหนาก็ได้เคล้นคลึงอกคู่งามอย่างมันมือ“อือ”เสียงหวานของร่างบางครางอย่างห้ามไม่อยู่ กับความรู้สึกเสียวซ่านที่กำลังได้รับจากคนตัวโต ใบหน้าคมละจากปากนุ่มนิ่มเคลื่อนลงมาเรื่อย ๆ ซุกไซร้ตรงซอกคอขาวผ่องสูดดมเอาความหอมเย้ายวนเข้าจนเต็มปอด“พี่อยากรักเจ้าให้มากกว่านี้พี่ต้องห่างเจ้าหนึ่งปีเชียวนะ” ร่างหนาเอ่ยบอกหากแต่ใบหน้าก็ยังมิได้ห่างออกจากร่างนุ่มนิ่มแม้แต่น้อย“อ๊ะ หม่อมฉันเจ็บนะเพคะ” เสียงหวานโวยวายเมื่อชายหนุ่มดูดดึงหน้าอกขาวอวบทั้งสองจนเกิดรอย เพียงไม่นานชุดชิ้นสุดท้ายที่นางสวมอยู่ได้ถูกดึงออกจนพ้นจากปลายเท้าทั้งสองต่างก็เป
ข่าวการประกาศราชโองการให้อ๋องหนานฟาหยางยกทัพเพื่อไปปราบเผ่าซ่งหนู ที่เริ่มเข้ามารุกรานชาวบ้านทางแถบชายแดน ทำให้ประชาชนเดือดร้อนและมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก เนื่องด้วยชาวบ้านถูกปล้นทั้งของมีค่า รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงและพืชธัญญาหารซึ่งข่าวนี้เป็นหัวข้อในการพูดคุยของเหล่าชาวเมืองมาตลอดหลายวัน เพราะแคว้นหนานอยู่อย่างสงบสุขกันมาโดยตลอด ตั้งแต่องค์ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์ ทุกคนต่างอวยพรให้อ๋องหนานฟาหยางทำศึกคราวนี้สำเร็จและปลอดภัยกลับมา นำพาความสุขมาสู่ประชาชนอีกครั้งภายในวังอ๋องบ่าวไพร่ต่างก็วิ่งวุ่นกันไปหมด เพราะหลังจากได้รับราชโองการ ผู้เป็นนายหญิงของวังได้สั่งให้จัดเตรียมสิ่งที่จำเป็น สำหรับการเดินทางให้กับสวามี ด้วยเวลาที่ฝ่าบาทได้กำหนดมาให้นั้นเพียงแค่ห้าวัน ทำให้ต้องเร่งจัดเตรียมอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ทันวันที่ต้องออกเดินทางหากแต่ในยามนี้ผู้เป็นนายสูงสุดอ๋องหนานฟาหยางนั่งหน้าบูดบึ้งไม่สบอารมณ์ บ่าวคนใดก็เข้าหน้าไม่ติดไม่ว่าจะเป็นองครักษ์คนสนิท หรือแม้แต่กงกงผู้ถวายงานมาตั้งแต่ท่านอ๋องหนุ่มยังทรงพระเยาว์ ยกเว้นอยู่คนผู้หนึ่ง ที่สามารถเข้าใกล้ได้นั้นคือพระชายาเพียงหนึ่งเดียวที่ม
“ทูลฝ่าบาทท่านอ๋องหนานจิ้งเริ่มเคลื่อนไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หวังอี้หลินที่นั่งคุกเข่ากล่าวรายงานเรื่องที่ได้รับมอบหมาย“เล่นไปตามแผนของเสด็จลุงไปก่อน ให้ฟาหยางได้ออกไปเล่นยืดเส้นยืดสายที่ชายแดนสักครึ่งปีแล้วกัน” องค์ฮ่องเต้ที่กำลังตรวจงานอยู่บนโต๊ะทรงงาน กล่าวออกมาอย่างอารมณ์ดีที่ได้กลั่นแกล้งพระอนุชา“จะไม่ทรงพระทัยร้ายไปหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ ไปนานเช่นนั้นชายาของหม่อมฉันจะมิคิดถึงแย่หรือ” อ๋องหนานฟาหยางที่เดินเข้ามาได้ยินคำกล่าวของพระเชษฐาพอดีถึงกับไม่สบอารมณ์ เขาต้องห่างจากภรรยาที่รักตั้งครึ่งปีเชียวนะ คนไร้หัวใจเช่นพระองค์จะทรงเข้าใจได้เช่นไร“เราว่าคนที่จะขาดใจเพราะคิดถึงคงมิใช่ชายาเจ้าหรอกมั้ง” พระองค์ก็ยังทรงยั่วโทสะของอนุชาเช่นเดิม“เหอะ คนไร้หัวใจเช่นท่านไม่รู้จักความรักหรอก” หนานฟาหยางยังเหน็บแนมผู้เป็นพี่ไม่หยุดเช่นกัน จนเวลาล่วงเลยมาถึงวันนี้พระเชษฐาก็ยังมิยอมแต่งตั้งฮองเฮาคู่บัลลังก์ และยังไม่มีวี่แววว่าจะต้องพระทัยสนมนางในนางใดอีกด้วย“แล้วอย่างไร” ท่าทางที่เฉยเมยไม่สนกับคำพูดของผู้เป็นน้อง ยิ่งทำให้หนานฟาหยางยิ่งไม่สบอารมณ์ จนต้องตวัดสายตามองพระเชษฐาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ“เช
ผู้ครองแผ่นดินทอดพระเนตรมองยังเบื้องล่างอย่างลำบากใจ ผู้หนึ่งก็น้องร่วมพระมารดาอีกผู้หนึ่งก็เป็นลุงไม่ว่าเขาจะตัดสินเช่นไร ผลที่ได้ก็ไม่ต่างกันก่อนที่พระองค์จะทรงถอนพระปัสสาสะออกมา และตรัสด้วยเสียงอันทรงอำนาจว่า“เช่นนั้นท่านเสนาบดีเอาสัญญานั้นมาให้เราดู”“พ่ะย่ะค่ะ”จากนั้นมหาเสนาบดีเยี่ยนสือได้มอบสัญญาการซื้อขายอาวุธ ที่นำมายื่นให้กับกงกงนำไปให้กับองค์ฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตร หลังจากได้ทอดพระเนตรแล้วสีหน้าพระองค์กลับดูเคร่งเครียดมากกว่าเดิม เพราะตราประทับนั้นเป็นของจริงแท้แน่นอน พร้อมทั้งลายมือที่ลงนามก็ใช่เช่นกัน“เอาล่ะ ในเมื่อหลักฐานชัดเจนถึงเพียงนี้ ก็คงจะไม่มีอะไรแก้ตัวพวกท่านมีความคิดเห็นเช่นไร กับการลงโทษในครั้งนี้” พระองค์ได้ลองหยั่งเชิงมหาเสนาบดีทั้งสองว่าจะทำเช่นไร“ทูลฝ่าบาทกระหม่อมเห็นว่าสมควรถอดยศริบทรัพย์สินทั้งหมดเข้าคลังหลวง และเนรเทศไปอยู่ชายแดนเพื่อใช้แรงงานไม่เว้นแม้แต่บ่าวไพร่พ่ะย่ะค่ะ” มหาเสนาบดีเยี่ยนสือกล่าวถึงบทลงโทษที่คนผิดจะได้รับในครั้งนี้“กระหม่อมเห็นด้วยกับบทลงโทษนี้พ่ะย่ะค่ะ”“กระหม่อมก็เห็นชอบเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขุนนางทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายอ๋องเฒ่าหนานจิ้
จากเหตุการณ์ที่ถูกนักฆ่าเข้ามาหมายจะเอาชีวิตคนในบ้าน พวกเขาได้ตกลงกันไว้ว่าจะปิดเรื่องนี้ไว้และทำตัวไม่ให้ผิดปกติ จนกว่าจะหาตัวผู้กระทำผิดมารับผิดได้ ดังนั้นเจ้าหมายักษ์ทั้งสองตัวจึงได้เพิ่มตำแหน่งใหม่จากเพื่อนเล่นท่านหญิงน้อย เป็นผู้เฝ้าดูแลบ้านอีกหน้าที่พวกมันได้รับคำชมเป็นเนื้อกวางย่างอันแสนอร่อยเป็นรางวัล ที่ทำหน้าที่ของตนได้ดีและได้รับคำชมจนเจ้าหมาทั้งสองกระดิกหางไม่หยุดผ่านไปไม่กี่วันกลับมีเรื่องราวให้หนักใจไม่หยุดหย่อน อ๋องหนานจิ้งได้เข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้กราบทูลว่า ผู้เป็นหลานอ๋องหนานฟาหยางสมคบคิดการใหญ่ ทำสัญญาซื้อขายอาวุธจำนวนมากซ่องสุมกำลังพล ทั้งยังมีการรับเงินสินบนกับเหล่าขุนนางน้อยใหญ่อีกด้วย และไม่ใช่เพียงเท่านั้นเขามีรายชื่อสมุดบัญชี สัญญาพร้อมตราประทับของอ๋องหนานฟาหยางเป็นหลักฐานอีกด้วยท้องพระโรงบรรยากาศภายในท้องพระโรงในยามนี้มีแต่ความตึงเครียด ต่างถกเถียงกันเรื่องอ๋องหนานฟาหยางผู้เป็นอนุชาของฮ่องเต้ แต่ละคนต่างก็แบ่งฝักแบ่งฝ่ายได้อย่างชัดเจนด้วยเหตุที่อ๋องหนานจิ้งผู้มีศักดิ์เป็นลุงได้มอบหลักฐานการทุจริต รับสินบนจากพวกพ่อค้าและขุนนางเพื่อเข้ามาทำการค้าแบบเอารัดเอาเ
ด้านหวังอี้หลินและพรรคพวกที่แยกย้ายเข้าห้องของตน เมื่อได้ยินเสียงของเสี่ยวเป่าและต้าเป่าดังมาจากข้างนอก พวกเขารู้ได้ทันทีว่าพวกมันต้องมาแล้ว หยงเจาและหานลู่ต่างก็ออกมารอคุ้มกันอยู่กลางบ้าน เพื่อป้องกันเด็กและสตรีที่อยู่ภายในหากว่ามีนักฆ่าคนใดคนหนึ่งหลุดเข้ามาได้ด้านหวังอี้หลินรีบออกจากห้องเพื่อไปอุ้มบุตรสาวมาอยู่กับภรรยา และตัวเขาจะออกไปสู้กับพวกนั้นด้านนอก“ชิงเอ๋อร์เจ้าอยู่กับลูกไปก่อนนะ ประเดี๋ยวพี่กลับมา” หวังอี้หลินยื่นตัวบุตรสาวให้กับภรรยา“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” หยุนชิงถามขึ้นถึงแม้ตานางจะปิดอยู่แล้วด้วยความง่วงงุน แต่มือก็ยังยื่นออกไปรับอาจูน้อยที่ยังหลับสนิทมานอนด้านข้างตน“มีคนบุกรุกเข้ามาพี่จะไปดูสักหน่อย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะหยงเจากับหานลู่คอยป้องกันอยู่ด้านนอก”“ท่านพี่ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ” จากตอนแรกที่ตาแทบจะปิดตอนนี้นางได้หายง่วงเป็นปลิดทิ้งทันที แต่ก็ได้แต่พยักหน้ารับและบอกให้สามีระวังตัวเองได้เท่านั้นหวังอี้หลินออกจากห้องและออกมาที่หน้าเรือนทันที ด้วยความเป็นห่วงว่าคนด้านนอกจะรับมือไม่ไหว แต่ภาพที่เขาเห็นนั้นก็คือ เจ้าหมาตัวใหญ่สองตัวจ้องพวกนั้นราวกับราชสีห์จ
หญิงสาวมองตามหลังผู้เป็นสามีดูเหมือนว่าเขาจะต้องมีเรื่องให้กังวลเป็นแน่ นางก็ควรจะเชื่อฟังคำสามีดีที่สุด ในเมื่อออกไปข้างนอกไม่ได้แล้ว นางก็จะหาอะไรทำแก้เบื่อแล้วกัน คิดได้ดังนั้นจึงได้เดินเข้าไปในครัวเพราะสิ่งที่นางชอบที่สุดคืออาหารหวังอี้หลินหลังจากที่แยกตัวออกมาแล้ว เขาตรงเข้าไปหาหานลู่กับหยงเจาที่ท้ายสวนชาโดยทันที เพื่อหารือเกี่ยวกับการป้องกันและรักษาความปลอดภัยในคืนนี้ เขาจะประมาทไม่ได้เพราะนั่นหมายถึงชีวิตของทุกคนในครอบครัวด้วยเพราะบ้านตนมีเพียงชาวบ้านธรรมดา วรยุทธ์ถึงจะฝึกให้กับบ่าวทุกคนเพื่อไว้ป้องกันตัวเมื่อยามที่มีภัยมา แต่ชาวบ้านตาดำ ๆ หรือจะสู้กับพวกที่ถูกฝึกมาเพื่อจะฆ่าคนโดยเฉพาะได้ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องวางแผนให้ดีเพื่อความปลอดภัยของทุกคนหวังอี้หลินเกณฑ์บ่าวชายทุกคนให้มารวมตัวกันอยู่ตรงลานสำหรับฝึกการป้องกันตัว เขาแบ่งหน้าที่ให้กับบ่าวทุกคน โดยการเพิ่มกำลังเวรยามให้แน่นหนาขึ้นอีกขั้น และได้บอกถึงปัญหาที่มีอยู่ในตอนนี้ให้พวกเขาได้เข้าใจซึ่งชายหนุ่มได้เน้นย้ำแก่ทุกคนว่าไม่จำเป็นต้องสู้ถวายชีวิต หากแต่ให้คำนึงถึงชีวิตของตัวเองเป็นหลัก หากสู้ไม่ไหวก็ให้หนีเอาชีวิตรอดให้ได้