“เยี่ยจงคือตัวข้า ปกป้องเขา...เยี่ยงที่เจ้า เคยลั่นวาจาต่อข้า”
เสียงอันแผ่วเบา อู้อี้อยู่กับอกแกร่งของสหายรัก ดวงตาของนางหนักอึ้งเหลือเกิน บ่าที่เคยแบกทุกอย่างเอาไว้ มาโดยตลอด ตอนนี้มันรู้สึกเบาไปมากทีเดียว
“ข้าจะรอเจ้า ต่อให้จะกี่ภพกี่ชาติ ข้าก็จะรอเจ้า เยี่ยเจา...”
“หลีกไป! ข้าต้องการพบฮูหยินใหญ่”
“ไม่ได้นะเจ้าคะ ฮูหยินกำลังพักผ่อน”
ภาพทุกอย่างพลันหายไป ดวงตาที่ปิดอยู่เปิดขึ้นอย่างช้าๆ นี่คือความจริงที่นางต้องรับมันให้ได้ อย่างน้อยก็ได้หายใจอีกครั้ง ความวุ่นวายในแต่ละครอบครัว มันไม่ใช่ธรรมดาเลยจริงๆ
หญิงสาวยันกายลุกขึ้น ก่อนจะก้าวลงจากเตียง เพื่อออกไปยังห้องชั้นนอก ที่ดูเหมือนการปะทะจะรุนแรงไม่เบา เสียงนี้คงเป็นแม่สามีเจ้าของร่าง
“ท่านแม่มีสิ่งใดต่อข้าหรือเจ้าคะ ไยไม่ให้คนมาตาม มิเห็นต้องเหน็ดเหนื่อยมาด้วยตนเองเลย”
แม้จะพูดไปตามเนื้อผ้า ทว่าท่าทางและแววตานั้น แตกต่างจากชูเหมยฮวา ราวกับคนละคนเลยทีเดียว ซึ่งนั้นเองทำให้ฮูหยินสวี ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเชิดใบหน้าขึ้นสูง เพื่อแสดงถึงอำนาจในฐานะแม่สามี
“ไยเจ้าให้ลั่งอิง เป็นเพียงอนุ นางเป็นถึงบุตรสาวคหบดี ควรได้ตำแหน่งภรรยาหนึ่งในสี่”
“เจ้าตัวเขายังไม่เป็นเดือดเป็นร้อน ไยท่านแม่ต้องคิดมากด้วยเจ้าคะ หรือนางให้ท่านแม่มาต่อว่าข้า”
สวีฮูหยิน สะบัดหน้าไปทางอื่น เมื่อสะใภ้ที่ไม่เคยปฏิเสธสิ่งใดเลย มีคำถามย้อนกลับมาเสียอย่างนั้น
“นางย่อมไม่เคยทำเช่นนั้น”
“ตอนที่ให้ข้ายอมรับนางเข้าจวน ทุกคนบอกแก่ข้าว่าอย่างไรเจ้าคะ มิใช่ว่าให้นางเป็นเช่นสตรีอื่นหรอกหรือ”
“แต่เจ้าน่าจะฉลาดคิดให้มาก นางเป็นบุตรหลานบ้านใด ฐานะก็ควรให้สมหน้าตา”
“เสี่ยวเยี่ยน ตรวจบัญชีสินเดิม สิ่งใดที่ข้าจ่ายไป นอกเหนือการใช้จ่ายของข้า จดให้ครบถ้วน”
“เจ้าค่ะ”
“นี่เจ้าคิดจะทำอะไร!”
“ในเมื่ออยากให้อนุลั่ว อยู่ในฐานะที่เหมาะสม ข้าก็จะมอบมันให้นางทุกอย่าง รวมถึงตำแหน่งฮูหยินใหญ่ และค่าเลี้ยงดูคนในจวนสวี ส่วนสิ่งใดที่เป็นของข้า มันจะติดตัวข้ากลับบ้านไปดังเดิม ส่วนที่ข้าตั้งใจให้ นั่นถือว่าเป็นสินน้ำใจที่ข้าให้ ไม่คิดเอาคืน”
“เหิมเกริมนัก เจ้าคิดว่าสตรีที่ออกเรือนมาแล้ว อยากทำสิ่งใดตามใจก็ได้เช่นนั้นรึ!”
“ข้าก็แค่ภรรยาในนาม หาใช่อย่างที่ควรเป็น เรื่องนี้รู้กันทั่วเมืองหลวง หรืออาจทั้งแผ่นดิน แล้วมันจะแปลกอะไรถ้าข้าจะกลับสู่ครอบครัวตัวเอง”
“สกุลชู ไม่เหลือใครให้เจ้ากลับไปหาแล้ว”
“พ่อแม่ข้าอาจตายไปแล้ว แต่พี่ชายข้ายังอยู่ ถึงเขาจะอยู่ไกลถึงชายแดน แต่อย่างไร เขาก็คือสายเลือดเส้นเดียวกับข้า แต่ที่นี่ไม่ใช่”
“ไปตามกงจื่อมาที่นี่ เดี๋ยวนี้!”
สวีฮูหยิน ออกคำสั่งกับสาวใช้ข้างกาย นางจะไม่มีวันยอมให้ เกิดการหย่าร้างขึ้นเป็นอันขาด
ชูเหมยฮวา เหยียดยิ้มเล็กน้อย หากนางจะไป ใครหน้าไหนก็ขวางนางไม่ได้ และถ้าคิดจะแรงเข้าหานาง ผลลัพธ์นางจะทำให้คุ้มค่าแรงที่ลงไปอย่างแน่นอน
คุณชูผู้นี้แม้จะอ่อนแอ แต่ทรัพย์ที่เกื้อหนุน มีมากกว่าสกุลสามี ที่มีเพียงชื่อ ที่ยังอยู่มาได้จนบัดนี้ ก็ด้วยสินเดิมของนาง ในเมื่อไม่รู้จักเกรงใจ ในความดีที่มอบให้ ไยต้องแยแส ว่าคนพวกนี้จะอยู่แบบยาจก หรือไร้ที่ซุกหัวนอนด้วยเล่า
“มีเรื่องอันใดกัน!”
ผ่านไปเพียงครู่เดียว แม่ทัพหนุ่มได้ก้าวเข้ามาในเรือน พร้อมคำถามที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ เพราะน้ำเสียงที่ใช้ ไม่ค่อยนุ่มนวลเอาเสียเลย
“กงจื่อ นางคิดจะไปจากเรา”
สวีฮูหยินรีบบอกบุตรชาย ก่อนจะหันกลับไปส่งสายตาฟาดฟันใส่ลูกสะใภ้
“เจ้าเป็นบ้าอะไรขึ้นมา จึงคิดเรียกร้องไร้สาระในวันนี้”
“การที่ข้าจะกลับไปอยู่บ้านข้า มันคือการเรียกร้องอย่างนั้นรึ!”
“อย่านึกว่าข้าโง่ เจ้าจงใจทำลายวันเข้าหอของข้า”
“สามี หากท่านจะเข้าหอก็เข้าไป ข้าหาได้ใส่ใจ ส่วนที่ข้าจะหย่าขาดจากท่าน นี่ก็คือเรื่องของข้า แน่นอนว่าถ้าเกิดการขัดขวางขึ้น ผลที่ตามมามันจะ...หือ!”
วืด! มือหนาที่หมายคว้าแขนภรรยา กลับได้เพียงความว่างเปล่า ส่วนเป้าหมายนั้น ยืนห่างออกไปอีกระยะ ซึ่งความว่องไวของนาง มันหาใช่สิ่งที่เขาคุ้นเคย
“ท่านจะตอบรับหรือปฏิเสธก็ย่อมได้ แต่ถ้าสิ่งใดก็ตาม ที่ข้าคิดจะทำ ผลลัพธ์ต้องสำเร็จเท่านั้น ไม่เว้นแม้แต่การหย่าขาดจากท่าน อ่อ...อย่าลืม คืนเงินที่ครอบครัวของท่าน หยิบยืมไปจากข้า ช่วยคืนมันให้ครบ”
“ชูเหมยฮวา!”
“ถ้ายังคิดก้าวเข้าหาข้าอีกครั้ง สกุลสวี ท่านต้องมั่นใจ ว่าสกุลสวีรับกับผลที่ตามมาได้ด้วย หากไม่...ก็อย่าแม้แต่จะคิด”
ทั้งคำพูดและท่วงท่า ในการก้าวเดินของหญิงสาว มันต่างจากเดิม จนสองแม่ลูกหันมองหน้ากัน จะเป็นไปได้อย่างไร สตรีอ่อนแอขี้โรค วันนี้จะสง่าราวนางหงส์
“เจ้ามันจิตใจคับแคบเกินไปแล้ว”
เท้าบางที่กำลังก้าวกลับเข้าห้องชั้นใน หยุดชะงัก...ทว่านางมิได้หันกลับไปมองด้านหลัง อย่างที่สามีคิด
“เดิมทีข้าไม่ได้รีบร้อน จะไปในวันสองวันนี้ กะว่าจะคัดเลือกอนุของท่านสักคน ขึ้นดูแลงานแทน แต่เป็นมารดาของท่าน ที่มาเรียกร้องตำแหน่งสำคัญให้สะใภ้ใหม่ ข้าหรือจะกล้าขัด และเหตุผลใดที่ข้าต้องมาเสียเวลาอยู่ที่นี่”
“เจ้าคิดว่าจะไปก็ไป จะอยู่ก็อยู่ เหมือนบ้านข้าเป็นเพียงโรงเตี๊ยมได้หรือ”
“หาใช่โรงเตี๊ยมเลย แต่เป็น...”
“เป็นอะไร!”
สวีฮูหยินรีบถามเสียงเขียว เมื่อความคิดของนาง ไปไกลถึงคำด่าทอที่ต่ำช้า
“ท่านแม่ย่อมรู้ดีแก่ใจ ไยยังอยากให้ข้าเอ่ยออกมา ให้บ่าวไพร่ได้ยินอีกเล่าเจ้าคะ”
“สาวหาว! ตราบใดที่เจ้ายังไม่มีหนังสือหย่า ต่อให้ตายเป็นผี เจ้าก็คือคนสกุลสวี”
“ไม่นานเจ้าค่ะ ข้าเป็นคนที่ถ้าได้ลงมือทำ รวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด”
เอ่ยจบร่างระหงก็ได้ก้าวเท้าต่อ โดยไม่สนใจเสียงด่าทอของแม่สามี นางอยากรู้นักว่าทำไม ชูเหมยฮวาถึงได้ทนแม่ลูกสกุลสวีมาจนป่านนี้ หากเป็นนาง คงลบชื่อพวกเขา ออกจากแผ่นไปนานแล้ว
“ไม่แล้วอย่างไรหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่สงสัยว่าสิ่งใดกัน ทำให้ท่านพ่อ มาเยี่ยมเยียนข้า ทั้งที่ตลอดหลายปีมานี้ แม้แต่คำถามไถ่ยังไม่เคยมีมา” “เจ้ามีสิทธิ์อันใด ขับไล่คนของข้าออกจากร้าน และยึดทุกอย่างไป” “คนของท่าน ไยไม่อยู่ในที่ของท่านเล่าเจ้าคะ จะมาอยู่ในพื้นที่ของข้ากับท่านแม่ได้อย่างไร ไม่มีกฎหมายข้อใดในแผ่นดิน ที่บอกว่าสินเดิม ที่ต้องส่งต่อจากแม่สู่ลูก เป็นของสามี ท่านพ่อกินใช้สิ่งของเหล่านั้นมานานปี ข้าจะไม่ถือสา แต่เมื่อข้าต้องการของ...ของข้าคืน ท่านพ่อก็ไม่มีสิทธิ์ทัดทาน” “เผยอิงเถา! เจ้าก็รู้ว่าร้านค้าสองแห่ง คือรายได้หลักของสกุลเผย และมันต้องเป็นสินเดิมของข้าในภายหน้า” เผยอันหลิง เอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ หญิงโง่คนนี้มิรู้ที่ตายจริงๆ อาจหาญมาต่อกรกับบิดาของนาง “รายได้หลัก มิใช่เบี้ยหวัดของท่านพ่อหรือ ส่วนเรื่องสินเดิม มันเกี่ยวอันใดกับทรัพย์สินของข้า มารดาเจ้าก็มี ก็ใช้สินเดิมของนางสิ! นี่ของแม่ข้า” “แต่เจ้าออกเรือนไปแล้วนะ!” เผยอันหลิง ยังคงตอบโต้ ด้วยน้ำเสียงของคนไม่ยอมแพ้ “นั่นยิ่งสมควรเป็นของข้า ตั้งแต่วันที่ข้า ก
“พาส่งตำรวจเถอะ” คล้ายกับเขา รู้ถึงความต้องการของพี่สาว จึงเลือกที่จะส่งลู่ถิงให้กับตำรวจ เพราะยังไงเมื่อเข้าไปอยู่ในคุก ลู่ถิงก็ไม่รอดอยู่ดี แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น “ฉันไม่กลัวแกหรอก นังฉู่หร่าน! แกด้วยไอ้ปัญญาอ่อน ฉันจะส่งพวกแกไปตายอีกครั้ง” ลู่ถิงพุ่งไปที่ขอบระเบียงกว้าง ก่อนจะพุ่งลงไปเบื้องล่าง โดยไม่มีใครคิดห้ามปราม อาจด้วยยังตกตะลึง กับคำพูดของหญิงสาวอยู่ก็เป็นได้ ฉู่หร่านมองไปจุดที่ลู่ถิงหายไป ชายหนุ่มที่มีรอยยิ้มประดับ โบกมือให้กับเธอ กู้เจี๋ยน้อยของสกุลฉู่ น้องชายและลูกชายที่ทุกคนรัก กำลังโบกมือลา และเริ่มเลือนหายไปทีละน้อย “หรานหร่าน อย่าร้อง เจี๋ยจะเป็นเด็กดี จะไม่ดื้อด้วย เจี๋ยจะดูแลหรานหร่านเอง” หญิงสาวปล่อยโฮออกมา เหมือนเด็กในทันที เมื่อรอยยิ้มของกูเจี๋ย เลือนหายไป พร้อมกับร่างกาย ที่กลายเป็นเพียงแสงสีขาว จนเหลือเพียงความว่างเปล่า ในสายตาเธอ กู้เจี๋ย ลูกชายของเพื่อนพ่อ ที่ครอบครัวประสบอุบัติเหตุ เหลือรอดเพียงเด็กชายกู้เจี๋ย ที่สมองได้รับความกระทบกระเทือน จนทำให้สมองไม่สามารถ ที่จะพัฒนาได้ทันร่างกาย
ภายในห้องนอนเล็กๆ สามแม่ลูกหลับใหลไปด้วยความเหนื่อยล้า เพราะตลอดสองวัน ทั้งร่างกายและจิตใจ ล้วนต้องใช้พลังงานเหลือล้นเผยอิงเถา นอนตรงกลาง ขนาบสองข้าง ด้วยลูกชายหญิง ทว่าเวลานี้ ใบหน้างามกลับมีเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ราวกับในความฝันของนาง มันคือสิ่งที่นางมิอยากพานพบ....‘หรานหร่าน...หรานหร่าน!’ เสียงร่ำร้องดังอยู่แสนไกล ทำให้หญิงสาวที่เวลานี้ ยืนอยู่ท่ามกลางความมืด พยายามวิ่งตามเสียงเรียกนั้นไป จนสุดฝีเท้า ทว่ายิ่งไล่ล่า ยิ่งดูเหมือนจะห่างไกลออกไป จนอยากจะตามทัน‘พ่อคะ แม่คะ หนูอยู่นี่...’มิติคู่ขนาด ปัจจุบัน ฉู่หร่านวิ่งตามเสียงจนสุดฝีเท้า ก่อนจะหยุดลง เมื่อภาพเบื้องหน้า ทำให้เธอรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัว ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดสีดำแบรนด์ดัง เป็นที่คุ้นตาของเธอเหลือเกิน หญิงสาวเดินเข้าใกล้ชายหนุ่มให้มากขึ้น เสียงที่ได้ยิน เธอมั่นใจว่านั่นคือคิงส์ น้องชายแท้ๆ ของเธอ ที่ถูกเก็บเป็นความลับ เพราะคิงส์อยู่ในท้องแม่ ได้เพียงสองเดือน พ่อกับแม่ของเธอก็ตกลงแยกทางกันอย่างถาวร แม่จึงเลือกที่จะให้น้องชาย มีชีวิตที่ไม่ต้องวุ่นวาย กับธุรกิจหรือตระกูลของพ่ออีก แต่ก
“ไม่ขอรับ น้ำค้างเริ่มลงแล้ว เชิญฮูหยินน้อยด้านในเถิดขอรับ” พ่อบ้านจวงรีบปฏิเสธ เมื่อน้ำเสียงของฮูหยินน้อย แสดงชัดว่าไม่ยินยอม ต่อคำทัดทานใดๆ ทั้งสิ้น “อืม” เผยอิงเถา อุ้มบุตรสาว มืออีกข้างจับมือบุตรชาย ก้าวผ่านเข้าไปภายในจวน แน่นอนว่าบ่าวชายหญิง ที่ติดตามเข้าไปนับสิบ ล้วนมีใบหน้าที่เย็นยา เยี่ยงนายสาวทั้งสิ้น สายตาที่มองคนในจวน เฉยชาเหมือนคนเหล่านั้น เป็นเพียงฝุ่นผงในสายตา “ท่านแม่” เจาเยียน กระทืบเท้าราวเด็กถูกขัดใจ เหล่ยฮูหยินที่เคยเอ็นดูลูกสะใภ้คนรอง บัดนี้นางทำได้เพียงเมินหน้าหนี เพราะความต่างของสะใภ้ใหญ่กับสะใภ้รอง ในตอนนี้มันราวฟ้ากับเหวลึก ยิ่งเห็นเผยอิงเถา พาบ่าวชายหญิง ที่ล้วนมีลักษณะดี ก้าวผ่านนางไป มันตอกย้ำว่านับจากนี้ อำนาจในมือจะถูกลิบคืน เห็นทีนางคงต้องนิ่งมองสถานการณ์ไปก่อน หากผลีผลามลงมือ อาจไม่ส่งผลดีเท่าใดนัก “ท่านแม่...” “เจ้ารู้ตัวไหม ว่าทำอะไรลงไป มิเพียงเจ้าที่ต้องอับอาย มันรวมถึงข้า และสกุลเจาของบิดาเจ้าด้วย ที่อบรมลูกหลานได้ไม่ดี” “นางกำลังเสแสร้งอยู่นะเจ้าคะ” “แล้วอย่าง
จวนสกุลเหล่ย ในช่วงเวลาเดียวกัน รถม้าหยุดหน้าจวนแม่ทัพ ก่อนที่ร่างสูงของถงเจี้ยน จะเดินมายื่นแขน ให้แก่นายหญิงได้วางมือ หญิงสาวคลี่ยิ้มน้อยๆ หากใบหน้าอัปลักษณ์นี้ สวมหน้ากากปิดทับ มันจะดูดียิ่งนัก แต่ก็แล้วแต่เจ้าตัวเขา นางไม่คิดก้าวก่าย “เริงร่าเสียจริงนะ มิรู้สำรวม” คำพูดที่ดังขึ้นจากหน้าประตู เรียกสายตาเย็นเยียบ ให้หันมองอย่างมิใคร่ใส่ใจ น้องสะใภ้คนงามนั่นเอง หึๆ คิดจะมายั่วยุ ให้นางอับอายต่อหน้าชาวบ้าน ที่ยังคงมีสัญจรผ่านไปมาสินะ! คิดดีแล้วกระมัง จึงได้อาจหาญเยี่ยงนี้ “การที่ข้าพาลูกๆ ออกไปเที่ยวเล่น มีสิ่งใดเสียหายกัน ในเมื่อข้าอยู่ท่ามกลางผู้คนในเมือง หาได้ลักลอบอยู่ลำพังกับผู้ใด” “แล้วที่เจ้าพาบุรุษหน้าผีกลับมาด้วย จะให้ข้าและสกุลเหล่ยเข้าใจว่าอย่างไร” น้ำเสียงที่ดังกว่าเดิม เรียกสายตาผู้คน อย่างที่น้องสะใภ้ตั้งใจ คงมีคนกลับมา รายงานล่วงหน้าแล้วกระมัง จึงได้ตั้งใจมาดักรอหาเรื่องเช่นนี้ “คนของมารดาข้า ไยเขาจะติดตามมารับใช้นายมิได้” “ที่นี่จวนสกุลเหล่ย” “ใช่! ที่นี่สกุลเหล่ย และเป็นสกุลที่ใหญ่โต ทว่า
โรงเตี้ยมนอกเมืองหลวง คณะเดินทางของแม่ทัพหนุ่ม ได้หยุดพักค้างแรมในโรงเตี้ยมเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่มากนัก หากเดินทางแบบมิหยุดพัก ไม่เกินสามวันก็ถึงเมืองหลวง การที่เขาเดินทางล่วงหน้ามาก่อน นั้นเพราะเขาอยากพบหน้าใครบางคน ก่อนที่จะกลับจวน เพื่อไปสะสางเรื่องที่ค้างคา ในเมื่อสตรีต่ำช้า อยากใช้เล่ห์กล เพื่อให้ได้เขามาครอง เขาก็จะทำให้นางซมซานออกไป เยี่ยงสุนัขเช่นกัน “ท่านแม่ทัพ จะให้ข้าน้อยส่งคนไปแจ้งแก่สกุลเหล่ย ก่อนไหมขอรับ” รองแม่ทัพคนสนิท เอ่ยถามผู้เป็นนาย ด้วยการกลับเมืองหลวง ในรอบหลายปีนี้ นับเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย สำหรับสกุลเหล่ย “ไม่ต้อง! ข้าอยากรู้ ว่าสิ่งที่ท่านแม่ ส่งข่าวให้จะจริงเท็จแค่ไหน หากเป็นอย่างที่ท่านแม่บอกมา ข้าจะได้หลุดพ้นเสียที” เจ็ดปีก่อน ณ จวนลั่วอ๋อง แม่ทัพหนุ่ม ผู้กำลังเป็นที่หมายปอง ของหญิงสาวทั่วทั้งเมืองหลวง ได้ร่วมดื่มกับเหล่าขุนนางใหญ่ ที่ต่างพากันเชิญชวนให้เขาดื่มด้วย แม่ทัพหนุ่มไม่อาจปฏิเสธได้ เนื่องจากนี่คือมารยาท ที่เขาต้องพึงรักษา แม้ว่าสายตาของเขา จะไม่ค่อยอยู่ในวงสนทนาเท่