สองวันถัดมา ณ เรือน
ร่างงามในชุดสีหวาน เดินเข้ามาภายในเรือน พร้อมกับสาวใช้หลายคน โดยในมือนั้นมีถาดในอาหาร และกล่องไม้หลายอัน อนุลั่วยิ้มน้อยๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสาวใช้ของฮูหยินใหญ่
“ข้าต้องการเข้าพบฮูหยินใหญ่”
“นายหญิงลั่ว โปรดรอสักครู่”
ต่อให้เสี่ยวเยี่ยนไม่พอใจ แต่นางก็มิอาจหักหน้านายตน ด้วยการแสดงความใจแคบต่อผู้มาเยือน
“นายหญิงลั่ว เชิญด้านในเจ้าค่ะ”
เสี่ยวเยี่ยนกลับออกมา เชื้อเชิญอนุลั่ว ก่อนจะเดินนำกลับเข้าไปภายในห้องโถง อนุลั่วก้าวน้อยๆ อย่างสตรีชั้นสูง รอยยิ้มพริ้มเพราที่ประดับใบหน้ามิเสื่อมคลาย คือสิ่งที่นางมีมิเคยขาด
“ลั่งอิง คารวะฮูหยินใหญ่”
“นั่งสิ...เสี่ยวเยี่ยนชา”
“ขอบคุณ ฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ”
ลั่วอิงเดินไปนั่งเก้าอี้ ที่อยู่ไม่ห่างออกไปมากนัก หญิงสาวหันไปพยักหน้าให้สาวใช้ติดตาม นำสิ่งของต่างๆ ไปวางไว้บนโต๊ะข้างกายเจ้าของเรือน
“ลั่วอิงมิรู้ว่าฮูหยินใหญ่ ชื่นชอบสิ่งใดเป็นพิเศษ จึงได้นำของเหล่านี้มาเสียทั้งหมด เพื่อแสดงความเคารพเจ้าค่ะ”
“เจ้ากำลังคิดว่าข้าใจแคบสินะ...”
“ไยท่านคิดเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ”
“เพราะวันเข้าหอของเจ้า ข้าขอหย่าขาดจากท่านแม่ทัพ และการที่เจ้ามาที่นี่ ก็เพื่อทำให้ข้าเปลี่ยนใจ หรือข้าคิดเข้าข้างตนเองมากไป”
“ลั่วอิงรู้เจียมตัวเสมอเจ้าค่ะ ไม่ว่าอย่างไร ลั่วอิงมิเคยที่จะแทนที่ฮูหยินใหญ่เลยนะเจ้าคะ”
“หึๆ เดิมทีข้าก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เมื่อมีเท้าก้าวล้ำเส้น ข้าก็แค่...ปกป้องพื้นที่ ของข้าก็เท่านั้น”
ชูเหมยฮวา เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะยกชาขึ้นเป่าเบาๆ เพื่อขับไล่ความร้อน และในจังหวะนั้นเอง ใบหน้างามของอนุลั่ว มีความมาดร้ายพาดผ่าน ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ
“ข้าอยากให้ฮูหยิน ช่วยทบทวนเรื่องนี้ อีกสักครั้งเจ้าค่ะ”
“ไยข้าต้องทบทวนด้วยเล่า ในเมื่อทุกการตัดสินใจ ข้าได้ไตร่ตรอง มาก่อนหน้านั้นนานแล้ว”
“ข้าจะไม่รบกวนเวลาของท่านแม่ทัพ กับฮูหยินมากจนเกินไปเจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่อยากอยู่เรือนใหญ่นี้หรือ”
“ข้าย่อมรู้สถานะ ของตัวเองเจ้าค่ะ”
“แม้ข้าจะไม่ได้ออกท่องโลกมากนัก แต่ดวงตาของข้าเปิดกว้างมิน้อย”
ในทุกแผ่นดิน ผู้ที่มีลูกเมียมากที่สุด ย่อมหนีไม่พ้นฮ่องเต้ นางจึงคุ้นชิน กับการแก่งแย่งตำแหน่ง ของเหล่าสตรีเป็นอย่างดี ลั่วอิงเป็นบุตรสาวคหบดีผู้ร่ำรวย เสียแค่ลั่วอิงมิใช่บุตรสาวขุนนาง จึงไม่อาจก้าวสู่ตำแหน่งสูงกว่านางได้
แล้วอย่างไรเล่า...ในเมื่อแม่สามีของนาง สนใจเพียงเงินทองหาใช่ความดีของนาง เมื่อมีสะใภ้คนใหม่ที่ร่ำรวย นางก็ควรปล่อยวางทุกอย่าง และจากไปก็ถูกแล้ว
“ข้าสาบานว่า...”
“เก็บมันเอาไว้ใช้กับผู้อื่น เพราะข้า...ไม่ได้เชื่อมั่น ลมปากของใครทั้งสิ้น”
“จะมากไปแล้วนะ ข้ายินยอมมาอ้อนวอนเจ้าถึงที่นี่ เจ้ายังจะเล่นตัวอยู่อีก”
“หือ...เสี่ยวเยี่ยน อนุลั่วไปที่ใดแล้ว ไยนางกลับไม่บอกข้าสักคำ”
มุมปากที่กระตกยิ้มของฮูหยินใหญ่ ทำให้ลั่วอิงสะบั้นความอดทนในทันที หญิงสาวกำหมัดแน่น
“ยังไม่ได้ไปไหนเจ้าค่ะ แค่ถอดหน้ากาก ที่สวมออกก็เท่านั้นเจ้าค่ะ”
“แก...”
“อิงเอ๋อร์”
เสียงเรียกด้วยความร้อนใจจากด้านหน้าเรือน ทำให้ท่าทีของลั่วอิงเปลี่ยนไป หมับ! เพียงร่างสูงก้าวพ้นประตูเข้ามา ร่างบางก็วิ่งโถมเข้าสวมกอดชายหนุ่มเอาไว้แน่น อาการสั่นน้อยๆ ทำให้ท่อนแขนแกร่ง รีบโอบกระชับนางเอาไว้แนบอก
“เจ้าทำสิ่งใด ชูเหมยฮวา!”
แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามภรรยาเสียงกร้าว ดวงตาที่มองนางราวกับจะ ฉีกทึ้งร่างนั้นให้แหลกเหลวคามือ
“ข้าต้องซับน้ำตา เรียกร้องความเห็นใจจากท่านไหม ในเมื่อที่นี่คือเรือนของข้า เท้าข้า...ยังไม่ได้ก้าว ไปในพื้นที่ของผู้ใด”
ชูเหมยฮวา รู้สึกขัดใจไม่น้อย ที่นางลงมือเช่นร่างเดิมมิได้ นี่คือความต่างทางฐานะสินะ! นางเข้าใจแล้วว่าทำไม การได้ครองบัลลังก์ มันจึงหอมหวนสำหรับใครหลายคน
“ท่านแม่ทัพ...”
“ลั่วอิงมาหาเจ้า พร้อมของกำนัลมากมาย เจ้ายังกล้ารังแกนางอีก”
“เช่นนั้นรึ!”
ชูเหมยฮวายังคงความเยือกเย็น เพราะต่อให้นางอยู่ในร่างบอบบางนี้ ใช่ว่านางจะสิ้นความสามารถเชิงยุทธ์ แต่ไม่เลยมันกลับมีพลังไหลเวียนในร่างกาย ราวกับว่าร่างกายนี้เป็นของนางเอง
“หากเจ้าไม่ถูกลงทัณฑ์จริงๆ เสียที เจ้าคงไม่สำนึก!”
“ท่านแม่ทัพ อย่าได้ถือสา ฮูหยินใหญ่เลยเจ้าค่ะ สตรีทุกคนย่อมมีใจหึงหวงสามี หากเป็นข้า ก็คงน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนางเจ้าค่ะ”
“เห็นหรือไม่ ลั่วอิงเข้าใจเจ้าเพียงใด พ่อบ้านจง! นำตัวฮูหยินใหญ่ไปเรือบรรพบุรุษ ให้นางคุกเข่าจนกว่าข้าจะสั่งให้หยุด”
“สวีกงจื่อ รับราชโองการ”
ทว่าสิ้นคำสั่ง เสียงประกาศก้อง จากหัวหน้าขันทีดังขึ้น ทำให้แม่ทัพหนุ่มรีบคลายอ้อมแขน ก้าวออกไปด้านหน้าเรือน โดยมีภรรยาทั้งสอง รวมถึงทุกคนที่อยู่ในเรือน
“สวีกงจื่อ ถวายพระพร ขอให้ฮ่องเต้ทรงพระเจริญ”
“ท่านแม่ทัพ โปรดฟังรับสั่ง สวีกงจื่อ แต่งงานกับบุตรสาวสกุลชู ยาวนานถึงสิบห้าปี ทว่ากลับไร้ทายาทสืบสายเลือด ฝ่าบาทจึงมีรับสั่ง ให้สวีกงจื่อ และชูเหมยฮวา สิ้นสุดการเป็นสามีภรรยา นับตั้งแต่บัดนี้ไป
รวมถึงให้คืนสินเดิม ที่สกุลสวีนำของชูเหมยฮวาไปใช้ คืนให้นางทั้งหมด ห้ามขาดแม้แต่อีแป๊ะ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นต่อนาง ถือว่าสกุลสวี คิดกระด้างกระเดื่องต่อบัลลังก์ สิ้นสุดราชโองการ ท่านแม่ทัพสวีโปรดรับ”
ทางด้านเรือนรับรองแขก เหล่ยฟู่เฉา หลีเกอ พากันยืนหน้าบอกบุญไม่รับ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแขกของจวน เชี่ยอ๋อง แสร้งเบนหน้าไปทางอื่น ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเขาไม่นึกว่าบุตรชาย ที่ไม่เคยสนใจมองสตรีใด หรือแม้แต่จะพูดคุยกับใคร จะมาต้องตากับท่านหญิงจวนกู้ เด็กหญิงที่มีบิดาถึงสองคน และมีน้าชายที่ดุยิ่งกว่าเสืออีกคน เจ้าตัวดีของเขาจะผ่านได้สักด่านไหมเล่า!“เชี่ยอ๋อง ไม่คิดที่จะไปพักยังจวนเหล่ย หรือจวนเผยรึขอรับ ที่นี่คนมากมาย คงดูแลได้ไม่ทั่วถึงกระมัง”หลีเกอ รีบที่จะชักชวนเชี่ยอ๋อง ให้พาครอบครัว ออกจากจวนอ๋องนี้เสีย ด้วยเกรงว่าท่านอ๋องน้อย จะลักลอบพบหลานสาว“พระชายาได้จัดที่พัก ให้แก่ครอบครัวเราเป็นอย่างดี ท่านแม่ทัพทั้งสอง โปรดอย่าได้กังวลไปเลย”เชี่ยอ๋องตอบอย่างสุภาพ ทว่าสายตาของแม่ทัพหนุ่มทั้งสอง หาได้มองที่เขา แต่เป็นบุตรชายที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ“เช่นนั้น ข้าสองคนไม่กวนแล้ว ฝันดีขอรับท่านอ๋อง”แม่ทัพทั้งสอง เลือกที่จะล่าถอยกลับไปเอง แต่ทิศทางเดินนั้น ตรงไปยังเรือนของท่านหญิงใหญ่ คืนนี้อย่างไรเสีย พวกเขาก็ไม่คิดกลับจวน“เจ้ายังมีเวลาพบผู้คนอีกมาก เชี่ยหลาง”“ท่านพ่อมิชอบท่านหญิงหรือขอรับ”“นางเพ
“จะรีบไปทำไมเจ้าคะ ลูกบอกแล้วว่า จะเลือกสตรีเพียงหนึ่งเดียว มันต้องใช้เวลาเจ้าค่ะ”พระมารดาของฮ่องเต้ ผู้ไม่รับตำแหน่งใดๆ ในวัง เอ่ยกับสามีด้วยรอยยิ้มกว้าง วันนี้นางได้เป็นเพียงสตรีธรรมดาคนหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตบั่นปลายกับตาแก่ขี้บ่น มีเวลาปลูกผักทำอาหาร ตกปลายามว่าง จะมีสิ่งใดสุขไปกว่านี้เล่า“จะต้องรอจนแก่แบบเจี๋ยรึ! ถึงจะมีหลานสาวให้ข้าอุ้ม”“อ้าว...ทำไมตอนข้าให้มีลูกชาย แล้วทีหย่งซางถึงต้องมีลูกสาวเล่าขอรับ”“ก็เจ้ามีท่านหญิงในจวนแล้ว นางเป็นธิดาคนโต ต้องมีน้องชายมาคอยปกป้อง เพราะฟู่หลงต้องทำหน้าที่ลูกชายคนโตของเหล่ยฟู่เฉา มิช้าต้องแบกหลายสิ่งอย่างบนบ่า ถ้ามีน้องชายอีกสักสี่ห้าคนมาดูแล นางจะได้ปลอดภัยไร้กังวล”“ฮ่าๆ ตาเฒ่านี่พูดไปเรื่อย เพราะท่านรู้ตัวต่างหาก ว่าถ้าได้หลานชาย เขาจะต้องให้อยู่ในวัง เอาออกไปเลี้ยงเป็นตุ๊กตาข้างนอก แบบหลานสาวไม่ได้”“อย่ามารู้ทันข้า”“ฮ่าๆ”ทุกคนต่างหัวเราะร่า ทำให้เจ้าสาวที่ถูกพาตัวไปห้องหอ ได้แต่เขินอายอยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว เรื่องร้ายๆ มันอาจเกิดขึ้นในอนาคตก็เป็นได้ แต่นั้นคือเวลาที่ยังมาไม่ถึง วันนี้ขอให้มันมีเพียงความสงบสุขเท่านั้นก็ดีมากแล้วเ
รุ่งสาง มีครอบครัวขุนนางหลายสกุล ได้ออกเดินทาง โดยไร้ทรัพย์สินติดตัวออกนอกเมืองหลวง ชาวบ้านคิดเพียงแค่ว่าขุนนางเหล่านี้ถูกโยกย้าย แต่หารู้ไม่ว่ามันคือการเคลื่อนย้ายนักโทษ ส่วนขุนนางที่เป็นผู้นำตระกูล ได้ถูกมอบยาพิษให้แล้วทั้งสิ้น ที่เดินทางมีเพียงครอบครัว ที่โทษยังไม่ถึงตาย แต่ให้ย้ายไปอยู่ตามชายแดนต่างๆ ในฐานะทาสเท่านั้น นี่คือเมตตาเดียวที่ฮ่องเต้จะมอบให้ เผยฮูหยิน ที่ไม่อาจทนรับเรื่องราวทั้งหมดได้ เลือกที่จะปลิดชีพตนเอง ด้วยยาพิษอยู่ภายในเรือนการกวาดล้างกบฏในครั้งนี้ ไม่มีข่าวใดแพร่งพรายออกไป ให้เกิดความโกลาหล เพราะต่อให้คิดว่ากำจัดทรราชไปจนสิ้นแล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีคลื่นลูกใหม่ซัดเข้ามา การทำทุกอย่างให้เงียบเข้าไว้ ย่อมส่งผลดีต่อภายหน้าองค์ชายใหญ่ที่ได้ก้าวขึ้นเป็นองค์รัชทายาทได้เพียงข้ามคืน ก็ต้องแตกตื่นเมื่อเขา ต้องกลายเป็นฮ่องเต้ในเช้าวันถัดมา ส่วนอดีตฮ่องเต้ไม่รอการปฏิเสธ รีบพาพระชายาคนแรกของพระองค์ ออกจากวังไปอย่างไร้ร่องรอย ส่วนองค์ชายสาม ที่เป็นสายเลือดแท้อีกคนของฮ่องเต้ เลือกที่จะขอผู้เป็นพี่ชายออกจากวัง เพื่อตามหาความฝันของตนเอง ฮ่องเต้ห
“อีกอย่างเป็นเขา ที่สารภาพด้วยตนเอง เจ้าเก่งมากชุนหนิง ที่เบี่ยงเบนทุกสายตา ไปที่หลี่เหยากับลูก เพราะเจ้ารู้ดีว่าหย่งฉี เป็นลูกอีกคนหนึ่งของคนผู้นั้น เจ้าจึงใช้อำนาจที่เหนือกว่าหลี่เหยา ทำให้คนรักของเจ้า ยืมมือหลี่เหยาและหย่งฉีกำจัดข้า ก่อนจะวกกลับไปจัดการกับนางสองแม่ลูก” ใบหน้างามเชิดขึ้นสูง เมื่อความจริงออกจากปากของสวามี นางหรือจะมีข้อโต้แย้ง หากเขาไม่เสื่อมทางการสืบพันธ์ จนนางต้องอาศัยชายอื่น มาเพื่อสืบทอดทายาท ไยนางต้องเอาตนเองไปเกลือกกลั้วกับคนอย่างเผยหลี่ “ทรงรู้แล้ว แต่ไยยังนิ่งเฉยเล่าเพคะ” “ข้าแค่รอเก็บกวาดเพื่อชำระล้าง ให้มันสะอาดหมดจด เลยนั่งมองละครฉากใหญ่ของพวกเจ้า ด้วยความสุนทรีย์ และอดทนเป็นที่สุด ทั้งยังยอมให้พวกเจ้าแต่ละคน รังแกลูกของข้าต่อหน้าต่อตานับครั้งมิถ้วน” “ลูก...หึๆ คงหมายถึง องค์ชายตำหนักเย็นสินะเพคะ เขามีค่าอะไรให้คนใส่ใจเล่า สมองรึ! ก็น้อยนิด” “ขอบพระทัยฮองเฮา ที่ชื่นชมกระหม่อม” “เจ้า! ไยจึง...” “กระหม่อมกู้หย่งซาง องค์ชายใหญ่จากตำหนักเย็นพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่จริง!/ไม่จริง!” สตรีสองนา
“ข้าจะทำให้...อึก!”ดวงตาคู่งามเบิกโพลง ด้วยไม่คิดว่าชายที่รักนางนักหนา จะอาจหาญลงมือต่อนาง ทั้งที่เขาเคยบอกว่าจะปกป้องนางมิใช่หรือ...“ท่านพี่...”“ความตายที่เจ้าคิด จะให้เป็นภาพทรงจำ ของพวกข้าทุกคน มันย่อมไม่เกิดขึ้นอยู่แล้วอันหลิง เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไร ว่าทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ ล้วนช่ำชองในเรื่องการ ฆ่า!”“อีกด้านของท่านสินะ! พรู๊ด!”“ข้ารักเจ้า และหวังดีต่อเจ้าเสมอ และนี่คือเมตตาที่ข้ามอบให้ และขอให้ความรักของข้า ตายไปพร้อมเจ้าเสีย”คำพูดที่เย็นชา ช่างหนาวเหน็บในใจยิ่งนัก เขาคือคนที่นางมองเป็นเพียงหมาก ที่เอาไว้ชักใยตามใจชอบ แต่ไม่คิดว่าคนที่ตาบอดเพราะความรักเยี่ยงเขา จะมีวันนี้ วันที่ลงมือกับนางอย่างเลือดเย็น “เรื่องในบ้านของเจ้า ข้าเองหาได้อยากสอดมือ แต่เพราะเขาคือคนของราชวงศ์ ข้าจึงต้องติดตามมาพาตัวกลับไปตัดสินโทษ ส่วนเรื่องของครอบครัวเจ้า ข้าจะไม่ขอก้าวล่วงแล้ว” องค์รัชทายาท ส่งสัญญาณมือ ให้องครักษ์พาตัวขององค์ชายรองไป ก่อนจะหันไปพยักหน้าน้อยๆ ให้แก่หลีเกอ แล้วจึงเดินหายไปในความมืด “หวังว่าเรื่องวุ่นวายนี้ จะไม่ติดตามไปยุ่งเกี่ยวกับหลานๆ ของข้าอีก”
“กรี๊ด!!! องค์ชายใหญ่!” ด้วยความห่วงใยชายหนุ่ม หญิงสาวเผลอปล่อยมีดสั้นในมือ ก่อนที่นางจะถลาเข้าประคองร่างบอบช้ำนั้น ด้วยอาการทะนุถนอม “ขอโทษด้วยเหล่ยฟู่เฉา พอดีข้ามีเรื่องต้องทำอีกหลายอย่าง จึงต้องออกมาขัดจังหวะ การสะสางของเจ้ากับครอบครัว” “กระหม่อมขอบพระทัย องค์รัชทายาทที่ช่วยเหลือพ่ะย่ะค่ะ” “อะไรนะ!” ทุกสายตาหันไปมององค์ชายรอง ซึ่งก้าวออกมายืนเคียงข้างแม่ทัพหนุ่ม เผยอันหลิงที่เอาแต่ปลอบประโลมชายคนรัก ยังไม่ฉุกใจกับคำพูดก่อนหน้าขององค์ชายหย่งฉี “องค์ชายรอง!” เหล่ยฮูหยิน ที่ตอนนี้เซถอยหลังไปเสียหลายก้าว เรียกชื่อของผู้มาใหม่ ราวคนกำลังตกอยู่ในห้วงละเมอ “หลีเกอ พาเด็กๆ กลับไปเถอะ เรื่องทางนี้ข้าจัดการเอง ออ...พี่สาวของเจ้า กับท่านอาของข้า คงจะค้างแรมอยู่นอกเมือง พวกเขาคงกลับเข้าเมืองหลวงไม่ทันประตูปิด” “พ่ะย่ะค่ะ” หลีเกอ ที่เดินออกมายืนอยู่ข้างหลานสาว สะบัดมือเล็กน้อย ชายชุดดำที่จ่อมีดกับลำคอเล็ก ได้เก็บมีดสั้น และโค้งกายให้แก่คุณชายและคุณหนู เพื่อเป็นการขออภัย ที่ต้องล่วงเกินเมื่อครู่ “น