มิติคู่ขนาน เรือนท้ายจวนเหล่ย “ปล่อยน้องสาวข้า ฮือๆ ไยพวกเจ้าใจร้ายเยี่ยงนี้” เสียงที่ดังเข้ามาในหู ทำให้คนที่ถูกตีหัว จนหมดสติไป พยายามขยับเปิดเปลือกตาขึ้น แต่ทำไมคำพูดมันแปลกๆ และหัวของเธอไม่ได้เจ็บ เหมือนถูกของแข็งเลย หรือมีคนมาช่วยเธอไว้ได้ ทำไมถึงเสียงดังแบบนี้ ไม่เกรงใจคนเจ็บกันบ้างเลย หือ! ฉู่หรานลืมตาโพลง เมื่อนึกได้ว่าเธออาจแค่กำลังฝันไป เพราะใครที่ไหน จะบุกเข้าห้องของเธอ ได้ง่ายขนาดนั้น แต่ความแตกตื่น มันเหมือนเพิ่งเริ่ม เพราะตรงหน้าของเธอ มีชายหญิง สวมเสื้อผ้าย้อนยุคไปเป็นพันปี ไหนจะเด็กที่ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวนั่นอีก หญิงสาวหลับตาลงแน่น หวังว่าเธอจะตื่นจากความฝัน แต่เสียงร้องของเด็กชายหญิง ทำให้ความรู้สึกบางอย่างในตัวเธอ มันทำให้ไม่สามารถนิ่งเฉยได้ ฉู่หร่านลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะเหลือบตามองไปรอบๆ เท่าที่จะทำได้ จริงๆ ก็มีแค่ไม่กี่คน จากการแต่งตัว ก็ไม่น่าจะเป็นคนรวย แต่พิมพ์เดียวกันหมด เหมือนพวกสาวใช้ในละคร หรือเมดในบ้านของเธอ ที่จะมียูนิฟอร์ม เพื่อบอกหน้าที่ของตัวเอง “ท่านแม่ ฮือๆ ช่วยเราด้วย กรี๊ด!”
มิติคู่ขนาน ปัจจุบัน ปักกิ่ง ท่ามกลางเสียงฝนโหมกระหน่ำ ราวกับฟ้ารั่ว ทำให้หญิงสาวที่กำลังหลับใหล พลันตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะรีบขยับก้าวลงจากเตียง เพื่อไปปิดม่านที่เปิดอยู่ เอ๊ะ! หญิงสาวนิ่งค้างไปชั่วขณะ เมื่อนึกขึ้นได้ ว่าเธอปิดม่านประตูระเบียงไปแล้วนี่! เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะลืม ปึก! ร่างอวบอิ่มถูกกดแนบประตูระเบียงบานใหญ่ มันเกิดขึ้นเร็วจนเธอไม่ทันตั้งตัว มือหยาบกร้านของผู้ชาย กำลังลูบไปตามสัดส่วนจากด้านหลัง เสียงลมหายใจฟืดฟาด บอกได้ถึงอารมณ์ของผู้บุกรุกได้เป็นอย่างดี “คิดดีแล้วเหรอ ที่เข้ามาแบบนี้” หญิงสาวยังทำใจดีสู้เสือ เรื่องนี้ไม่ปกติ คนนอกไม่มีทางเข้ามาได้ง่ายดายขนาดนี้ ที่สำคัญ...เป็นไปได้อยากที่เธอจะไม่รู้ตัว นอกจากทุกอย่างมีคนในคอยจัดการ “คุณหนูฉู่ ผมต้องคิดดีแล้วสิครับ ถึงได้มา...หึๆ คืนนี้ฝนตกอากาศกำลังดี ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง” หญิงสาวยังคงนิ่งเฉย เธอกำลังรอจังหวะ ที่จะหลีกหนีจากตรงนี้ แต่มันน่าแปลกอีกเรื่อง ทำไมเธอถึงได้รู้สึก เหมือนคนง่วงนอนตลอดเวลา หรือว่า... “หรานหร่าน”
ยามบ่าย จวนสกุลเหล่ย ณ เรือนท้ายจวน ที่ดูเก่าซอมซ่อ ซึ่งเป็นที่พักอาศัย ของเผยอิงเถา และบุตรชายหญิง นางผู้เป็นฮูหยิน ที่สามีไม่ต้องการ แต่เพราะเล่ห์กลของสกุลเผย นางจึงได้มาอยู่ในจวนแห่งนี้ ในฐานะสะใภ้ใหญ่ ทว่าแท้จริงนางกับลูก มีชีวิตแร้นแค้นกว่ายาจกเสียอีก “พวกเจ้าคิดจะทำสิ่งใด!” หญิงสาวในชุดเก่ามอซอ เอ่ยถามสาวใช้อาวุโส ที่พาบ่าวชายหญิง บุกเข้ามาในเรือนของตนเอง ชีวิตนางในแต่ละวัน ล้วนทุกข์ทรมาน เพื่อให้ตนเองกับลูกรอดชีวิต แม้ว่าครั้งนี้นางพอจะเดาได้ ว่าสาเหตุนั้นมาจากเรื่องใด ด้วยความหิวโหย บุตรชายของนาง จึงไปแย่งชิงขนมของลูกพี่ลูกน้อง ที่อยู่ดีกินสบายในเรือนหน้า จนเกิดการลงไม้ลงมือกัน ทำให้นางที่เป็นแม่ มีปากเสียงกับน้องสะใภ้ “ดูเหมือนเจ้าจะไม่เคยสอนลูก ให้รู้ที่ต่ำที่สูง ถึงได้บังอาจไปรังแกคุณชายเชียวเอิน โทษของคนไม่รู้เจียมตน คงมิให้ข้าต้องเอ่ยปากแจกแจงกระมัง” สาวใช้อาวุโส พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ มิว่าท่าทางหรือคำพูด มิเคยมองนางว่าเป็นนายสักนิด “เจ้ากล้ารึ!” หญิงสาวรู้ดี ว่านางไม่เป็นที่ต้องการของสามี เขาจา
‘ข้ากลับมาแล้ว แผ่นดินเกิดของข้า’ “สตรีผู้งดงามทั้งสองนาง ไยออกมาเที่ยวเล่น มิยู่เฝ้าเรือน” แม่นมถังยิ้มจนแก้มแทบปริ เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคย นานแค่ไหนที่นางไม่ได้ยิน น้ำเสียงหยอกเย้าเยี่ยงนี้ ของท่านแม่ทัพ ร่างสูงก้าวออกจากมุมตึก ตรงเข้าสวมกอดสตรีต่างวัยทั้งสอง พร้อมเอ่ยกระเช้าเย้าแหย่ เสียจนหญิงชราหัวเราะร่า “นี่ถ้าท่านลุงมาด้วย แม่นมถังคงมีสหายให้สนทนา” “ใครหรือเจ้าคะ” “ท่านลุงจู เป็นพ่อบ้านเก่าแก่ ของสกุลชูเจ้าค่ะ ทั้งขี้บ่น และเจ้าระเบียบนัก” “หากมีวาสนา ย่อมต้องได้พบเจ้าค่ะ” “ข้าหิวแล้ว...” ชูเหมยฮวา ถึงกับมองค้อนสามี เมื่อสายตาของเขา มันสื่อความหมาย ที่มิใช่อาหาร... ทั้งสามพากันเดิน ไปยังเหลาจงชิง ซึ่งเวลานี้ คงคับคั่งไปด้วยผู้คน จากการได้ดื่มกิน ที่ไม่ต้องเสียเงิน ชูเหมยฮวา ไม่ต้องต่อคำ หรือลงมือใดมากไปกว่า ที่นางหว่านเม็ดเงินลงไป พร้อมน้ำใจอันมากล้น เพื่อทำให้ผู้คนลืมเลือน ถึงตำหนิที่ผ่านมา แต่จะมีใครรู้ดีไปกว่าชายหนุ่ม ผู้เดินโอบประคองนางในตอนนี้เล่า ว่านางเสียไปเพียงชื่อ เมื่อครั้งใน
“ทะ...ท่านเป่ย ขะ...ข้าอธิบายได้นะขอรับ” มู่เฉิน คลานเข้าหาเป่ยหวัง หมายจะกอดขาแกร่งนั้น ทว่าเขาคว้าได้เพียงอากาศ เมื่ออีกฝ่ายขยับถอยห่าง “แน่นอน เจ้าต้องอธิบายเรื่องนี้ กับนายหญิง” มู่เฉิง มองตามสายตา ของเป่ยหวังไปในทันที สตรีที่นั่งอยู่เบื้องหน้า คือนายหญิงหรอกหรือ แล้วนางมิใช่ ฮูหยินแม่ทัพอวี่ด้วยรึอย่างไร แล้วไยตอนไปรอดูนางที่ประตูเมือง เขาถึงได้ไม่เห็นเป่ยหวังเล่า ถ้าเขาเห็นตัวแทนนายหญิง เขาย่อมต้องระวังตัว ให้มากกว่านี้ หรือหลบหนีไปก่อนหน้าแล้ว “นางบอกว่าเป็นเจ้าของร้าน แล้วข้าเล่าเป็นใครกัน” ชูเหมยฮวา เอ่ยถามพร้อมชี้นิ้ว ไปที่หญิงวัยกลางคน “ท่านพี่ นะ...นางเป็นใครกันเจ้าคะ” “ยังจะมีหน้ามาถามอีกรึ! นางก็คือนายหญิง เจ้าของร้านตัวจริงอย่างไรเล่า” “เจ้าของร้าน! แล้วไม่ใช่ท่านหรอกหรือ” “ขะ...ข้าแค่ผู้ดูแลสาขาเท่านั้น หุบปากเจ้าซะ! แล้วคุกเข่า” “ไม่! ข้าไม่ทำ และข้าก็มิเกี่ยวกับเรื่องนี้” กึก! ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวไปที่ใด เป่ยหวัง ได้ก้าวเข้าขวางไว้เสียก่อน “สิ่งที่นายหญิงของข้
ยามค่ำคืน“ดูเหมือนข้า จะถูกสตรีของท่านจ้องเล่นงาน”“หยุดปากช่างเจรจานี่ซะ! ไม่มีสตรีใด นอกจากเจ้าภรรยา”“อื้อ...คุยกันก่อน อ๊ะ...อื้อ...”สามีผู้คลั่งรัก แทบจะมิเคยว่างเว้น เรื่องชายหญิงเลย นับตั้งแต่เข้าหอ จนวันนี้ ขอแค่เขาไม่ติดภารกิจใด เวลาทั้งหมด ล้วนคลอเคลียข้างกายนางมิห่าง“ข้าจะสี่สิบในอีกสามวันข้างหน้า หากยังรอช้า ทายาทของข้าจะกำเนิดเมื่อใดกัน”คำพูดที่ชิดอยู่ข้างใบหู ทำให้คนฟังอดค้อนไม่ได้ ทว่าก็มิได้ขัดขืน ความวาบหวามที่สามีมอบให้ สองร่างเปลือยเปล่า กอดรักคลอเคลีย เสียงครางกระเส่า ปนคำหวาน ที่บอกรักต่อกัน ทำให้บทรักซาบซ่านยิ่งขึ้น อีกนับเท่าทวีคูณเช้าวันถัดมาชูเหมยฮวา ได้ออกมาตลาดในเมือง โดยมีเป่ยหวัง และแม่นมถังติดตามมาด้วย แน่นอนว่าสายตามากมาย ต่างจับจ้องมาที่นาง สตรีต่างแคว้น ผู้คว้าหัวใจ ของท่านแม่ทัพอวี่ไปครอบครองทั้งสามเดินมาหยุด ยังหน้าร้านเครื่องประดับ ที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน แต่กลับมีลูกค้าแน่นขนัด ชูเหมยฮวา เงยหน้าขึ้นมองป้ายร้าน เรียวปากอิ่มคลี่ยิ้มละมุนสมกับที่นางสร้างมัน เพื่อรอการกลับบ้าน แต่ด้วยตัวนางอยู่ห่างไกล คงมีเพียงเป่ยหวังเท่านั้น ที่เคยมาเยือนร้านแห