LOGINกลิ่นดอกเหมยกุ้ยหอมเย้ายวนมิสามารถดึงความสนใจของโฉมงามในวัยสิบหกปีได้ นางปล่อยให้ความคิดพัดเอื่อยไปตามสายลมหลังจากกินมื้อเช้า พลางพิจารณาเรื่องราวที่เพิ่งได้ยินมา ท่านป้าที่ทำหน้าดุเมื่อครู่คือคนสนิทของฮูหยินผู้ล่วงลับ หลี่จินหมิงจึงปฏิบัติต่อนางดีกว่าสาวใช้ทั่วไปอยู่หลายส่วน และนั่นอธิบายได้ว่าเหตุใดสายตาของหญิงสูงวัยจึงไม่เป็นมิตรนัก มิว่านางจะทำตัวสุภาพมากมารยาทเพียงใด สุดท้ายก็ได้รับเพียงสายตาเย็นชากลับมาเท่านั้น
“ฮูหยินน้อยอยากกินขนมหรือไม่เจ้าคะ”
เจียอี สาวใช้ในวัยสิบสี่ปีคือผู้ที่เล่าเรื่องราวอย่างย่อให้ฟังขณะเก็บโต๊ะอาหาร แต่แค่เรื่องย่อก็ทำให้เสวียนหนิงอันรู้สึกว่าหัวใจของนางบีบรัดด้วยความอิจฉาแล้ว
“สวนดอกเหมยกุ้ยนี่เขาทำเพื่อนางหรือ”
“มิใช่เจ้าค่ะ จ้าวฮูหยินมิชอบดอกไม้กลิ่นแรง นายท่านจึงปลูกดอกเหมยกุ้ยไว้ที่สวนหลังบ้าน เพิ่งจะปลูกเพิ่มจนทั่วเมื่อปีก่อนนี้เองเจ้าค่ะ” เจียอีตัวเล็กทว่าคล่องแคล่วว่องไวยิ่งนัก หลังจากทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วก็รีบจัดของในห้องโดยมิรอคำสั่ง ทั้งยังไม่ลืมยิ้มให้กับนายหญิงคนใหม่อย่างประจบเอาใจ
ฮูหยินน้อยงดงามอย่างมาก ผมสีดำขลับดุจท้องฟ้าในราตรีที่ปราศจากดวงดาว หากได้สัมผัสคงมิต่างจากผ้าไหมชั้นดี ส่วนผิวหรือก็ขาวจนเจียอีมิกล้ามองนานเพราะกลัวว่าจะปวดตา แต่ถึงกระนั้นก็ยังละสายตามิได้ เจียอีคิดว่าใบหน้ายามนิ่งเฉยของฮูหยินน้อยมองดูแล้วเพลินตาดียิ่งนัก แต่ยามยิ้มให้กลับทำให้รู้สึกคล้ายถูกสะกดจนมิกล้าขยับตัว
“ฮูหยินน้อยมิชอบกลิ่นดอกเหมยกุ้ยหรือเจ้าคะ”
“ชอบ บ้านที่ข้าเคยอยู่ตอนเด็ก ๆ มีดอกเหมยกุ้ยเต็มสวน วันใดอากาศดีข้ามักเล่นซ่อนหาอยู่ในนั้นทั้งวัน…”
เสวียนหนิงอันอาศัยอยู่ในเรือนเล็กหลังบ้านสกุลหลี่ที่ต่างเมืองตั้งแต่จำความได้จนกระทั่งสามขวบเศษ หากอากาศไม่หนาวมาก นางจะได้รับอนุญาตจากมารดาให้วิ่งเล่นตามใจชอบ ไม่ว่าในสวนหรือเรือนใหญ่ที่หลี่จินหมิงอาศัยอยู่ นางล้วนวิ่งเล่นทั่วทุกบริเวณ แต่ชอบที่สุดเห็นจะเป็นในสวนที่มีกลิ่นดอกเหมยกุ้ยนี่เอง
“เช่นนั้นก็ดีเลยเจ้าค่ะ เรือนนี้อยู่ไกลก็จริง แต่ก็เป็นเรือนที่ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่ฮูหยินน้อยชอบมากที่สุดแล้ว… อาจห่างเรือนใหญ่อยู่บ้าง แต่เจียอีเชื่อว่าระยะทางไม่ใช่ปัญหา หากนายท่านกลับจากต่างเมืองจะต้องแวะมาหาฮูหยินน้อยอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
เรือนเล็กที่เสวียนหนิงอันอยู่นั้นไกลจากเรือนใหญ่ค่อนข้างมาก นับได้ว่าเป็นเรือนที่อยู่ห่างไกลที่สุด แม้กลิ่นดอกไม้จะหอมอบอวล ผ่อนคลายอารมณ์เหงาของนางได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังไม่ดีมากพอที่จะช่วยให้นางหายกังวลใจ
หากเขาไม่มีวันรักนางเล่า?
“เขาไม่มาหรอก” สามีของเสวียนหนิงอันเย็นชายิ่งนัก แต่งภรรยาเข้าบ้านได้เพียงสองวันก็เดินทางออกนอกเมือง ไม่แจ้งด้วยว่าจะกลับมาเมื่อใด
“ฮูหยินน้อยงดงามหาสตรีใดเทียบได้ยาก นายท่านจะต้องแวะมาให้ฮูหยินน้อยปรนนิบัติดูแลอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“เจียอีพูดจาหวานหูน่าฟัง อีกหน่อยข้าคงนิสัยเสียจนกอบกู้ไม่ได้แล้ว”
เสวียนหนิงอันคลายความกังวลลงไปได้บ้าง อย่างน้อยในบ้านหลังนี้ก็ยังมีคนเห็นว่านางมีค่าพอให้สนทนาด้วย แม้จะไม่สนิทใจเช่นสาวใช้ที่ช่วยให้แผนจัดฉากของนางสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี แต่แค่นี้นางก็ควรจะพอใจแล้วมิใช่หรือ
เมื่อนึกถึงสาวใช้คนสนิทแล้วก็ค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง แรกเริ่มเสวียนหนิงอันยืนยันกับบิดาว่านางอยู่ห้องตามลำพังในขณะที่เขาบุกรุกเข้ามา ทว่าสายตาเย็นชาคู่นั้นกลับเค้นแผนการของนางออกมาได้หลายส่วน
‘ลูกวางยาท่านอา ทำทุกอย่างเพียงลำพัง ท่านพ่ออย่าโกรธท่านอาเลยนะเจ้าคะ’
เสวียนหนิงอันละล่ำละลักเมื่อเห็นไกล ๆ ว่าบนใบหน้าของบุรุษที่นางรักมีรอยเขียวช้ำ มิพ้นถูกบิดาของนางทำร้ายเพราะโทสะร้อน นางจำได้ดีว่าท่านพ่อขอพูดคุยกับเขาตามลำพัง หรือจริง ๆ แล้วเป็นการสอบสวนก็มิแน่ใจ แต่ยามนั้นทราบเพียงว่าต้องปกป้องเขาให้ดี สาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ของนางเองก็เช่นกัน
‘ไม่ต้องพูดมาก ในเมื่อทุกอย่างเลยเถิดแล้ว อธิบายไปก็ไร้ประโยชน์ อย่างไรก็ต้องให้มันรับผิดชอบ… อีกสามวันเจ้าค่อยแต่งเข้าสกุลหลี่’
บิดาของนางยกมือเป็นเชิงห้ามมิให้พูดต่อ ทั้งยังมองมาด้วยสายตาที่สื่อชัดว่าผิดหวังเกินบรรยาย
ก่อนจากยังทิ้งคำพูดไว้ให้นางคิดประโยคหนึ่ง
‘หลี่จินหมิงบอกว่ามีเพียงพ่อที่อบรมเจ้าได้ เห็นทีจะมิใช่เรื่องจริง หรือไม่ก็เป็นตัวของพ่อเองที่บกพร่อง ทำหน้าที่บิดาได้ไม่ดี หนิงเอ๋อร์ หากเจ้าออกเรือนแล้วยังก่อเรื่อง ไม่เห็นค่าของโอกาสที่พ่อสร้างให้ เห็นทีพ่อคงต้องทบทวนตนเองใหม่แล้ว’
คำพูดของบิดาคืออีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้เสวียนหนิงอันต้องพิจารณาทุกอย่างเสียใหม่ คิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าตนมีข้อเสียอันใดที่ต้องแก้ไขบ้าง
นางไม่ชอบพูดจาร้ายกาจ ติดออดอ้อนหว่านเสน่ห์เกินควร ทั้งน้ำใจก็มีมากไม่ต่างจากมารดา เพิ่งจะมาทำตัวไม่น่ารักก็เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
แต่เพราะเหตุใดนางจึงทำตัวเช่นนั้นเล่า?
หลังจากทบทวนอยู่นานเสวียนหนิงอันก็ตระหนักได้ว่าที่ตนทำตัวร้ายกาจเพราะถูกขัดใจอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรก หากจะมีเรื่องใดที่ผิดพลาดมาตั้งแต่ต้นก็คงเป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ใดกล้าขัดใจนางนี่เอง
วันที่บิดาเอ่ยว่าถึงเวลาต้องออกเรือน เสวียนหนิงอันที่ไม่เคยมีผู้ใดขัดใจมาก่อนก็ถึงกับนิ่งเงียบไปชั่วขณะ นางบอกกับท่านแม่ว่าไม่ต้องการแต่งงาน แต่กลับถูกแย้งอย่างนุ่มนวลว่าสมควรแก่เวลาแล้ว หรืออย่างน้อยก็ต้องมีการหมั้นหมาย ส่วนท่านพ่อนั้นเสวียนหนิงอันไม่กล้าเถียง ทำได้เพียงใช้ความเงียบเข้าสู้ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้ผล สุดท้ายนางจึงวางแผนจนทุกอย่างออกมาตามต้องการ
เสวียนหนิงอันให้สาวใช้แจ้งต่อบิดาว่าเคาะเรียกอย่างไรคุณหนูก็มิยอมตอบ ทั้งประตูห้องยังลงกลอนไว้แน่นหนา แต่ความจริงแล้วนางกำลังปลดเสื้อตัวนอกของเขาอย่างทุลักทุเล ตามด้วยเสื้อคลุมของตนเอง
เพื่อความสมจริงนางยอมคลายคอเสื้อให้หลวมจนเห็นเนินอกอวบอิ่มเกินวัย…
“เสวียนหนิงอัน เจ้ามันร้ายจริง ๆ นั่นแหละ” นางพึมพำอีกครั้งเมื่อถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง
หลายวันผ่านไป
เสียงกรีดร้องที่แว่วมาตามสายลมทำให้เสวียนหนิงอันหัวเราะอย่างขบขัน ความจริงนางมิได้ยิ้มกว้างเต็มใบหน้าหรือร่าเริงเช่นนี้นานหลายวันแล้ว หากจะชี้ให้ชัดก็น่าจะเริ่มจากวันที่นางล่อลวงหลี่จินหมิงให้รับผิดชอบ บังคับจิตใจท่านอามาเป็นสามี แต่ในวันนี้ภาพสาวใช้เจียอีที่ทำหน้าตาบิดเบี้ยวเพราะถูกหนอนตัวไม่เล็กนักเกาะบริเวณหัวไหล่ ทำให้นางกลั้นหัวเราะไม่ได้ ลืมความทุกข์ใจไปชั่วครู่ชั่วคราว
“เสียงดังไร้มารยาท!”
ซุนหยา อายุย่างเข้าห้าสิบปีแล้ว นางมีรูปร่างอวบอ้วนตามวัย บนใบหน้ายังมีเค้าโครงความงามหลงเหลืออยู่บ้าง แต่เจียอีมักพูดเสมอว่าทุกครั้งที่หญิงสูงวัยอารมณ์ไม่ดี ส่วนที่น่าชมบนใบหน้าก็จะเลือนหายไป เจียอีจึงบอกกับฮูหยินน้อยเสมอว่าต้องอารมณ์ดีให้มาก
“ท่านป้า ช่วยข้าด้วย!” เจียอีกระโดดไปตรงหน้าสตรีสูงวัยเพื่อขอความช่วยเหลือ นางไม่ชอบหนอนตัวนุ่มเอาเสียเลย ทว่าฮูหยินน้อยกลับบอกว่าพวกมันดูน่ารักดี
“ไม่จริงจัง? แต่เจ้าก็บอกว่าชอบมิใช่หรือ” หลี่จินหมิงเห็นนางเอียงอายเช่นนั้นก็ไม่รู้สึกว่าอยากดื่มสุราหรือกินกับแกล้มแล้วอยากกินภรรยามากกว่า…“พอถูไถไปได้ แต่ก็ไม่ดีเหมือนแต่ก่อน”“ลืมไปได้อย่างไรว่าภรรยาของพี่ยังสาวและร้อนแรง… วันนี้คงต้องดูแลเจ้าเต็มที่ ให้สมกับที่ละเลยมานานสักหน่อยแล้ว” หลี่จินหมิงมอบจูบวาบหวามให้กับภรรยาที่น่ารักไม่แปรเปลี่ยน มือใหญ่ลูบไล้บั้นท้ายจนนางต้องร้องห้ามเสียงสั่น“ท่านพี่ทำงานหนัก กลับมาบ้านยังช่วยดูแลลูก ๆ จนแทบไม่ได้หยุดพัก บางอย่างบางเรื่องยังไม่ต้องรีบร้อนก็ได้เจ้าค่ะ”“ร้างรามาเป็นปี กำลังวังชาพี่มีอยู่ล้นเหลือ หนิงเอ๋อร์ไม่ต้องกลัวว่าพี่จะเหนื่อย” หลี่จินหมิงเห็นนางยิ้มเจื่อนราวกับกำลังหาทางหลีกเลี่ยงจึงรีบสอบถามให้เข้าใจ “ยามอยู่เรือนใหญ่เจ้าอ้างว่ากลัวลูกตื่นกลางดึก วันใดที่พี่อยู่บ้านเจ้าก็อ้างว่าไม่ไว้ใจแม่นม ยามนี้ได้คนคุ้นหน้ากันมาช่วยเหลือดูแล หนิงเอ๋อร์คิดอ้างอันใดอีก… หรือว่าเจ้ารังเกียจสามีชราเช่นพี่เสียแล้ว”“มิใช่เช่นนั้นนะเจ้าคะ! ข้าแค่… แค่ไม่มั่นใจ”“ไม่มั่นใจ?” หลี่จินหมิงงุนงงจนกระทั่งนางนำมือเขาไปวางบนท้อง แต่แค่ครู่เดียวก็ไม่ให้
เสวียนหนิงอันกอดแขนสามีเดินออกจากเรือนใหญ่ที่ย้ายมาอยู่หลังแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณี ตัวเรือนปีกซ้ายถูกขยับขยายกว้างขวาง ส่วนฝั่งห้องเก็บของซึ่งเคยเป็นที่พำนักของจ้าวฮูหยินยังคงอยู่ตามเดิมเพื่อเป็นการให้เกียรติผู้ล่วงลับ โดยมีซุนหยาคอยดูแล“ไม่มีเรื่องอันใดมาก แค่ขันเรื่องที่ผ่านมาก็เท่านั้น” หลี่จินหมิงหอมแก้มภรรยาแผ่วเบา “นึกถึงวันที่เจ้าให้กำเนิดเจ้าก้อนแป้งทั้งสองด้วย”หวงซิงซวี่เก่งอย่างที่อวดอ้างจริง ๆ เขาจำได้ว่าภรรยาร้องเจ็บได้เพียงหนึ่งเค่อ ทารกแฝดก็ออกมาทักทายมารดา ทุกอย่างราบรื่นกว่าที่เขาจินตนาการไว้มากทีเดียว“วันนั้นเจ้าคงเจ็บมาก”“เจ็บจริงเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่ได้แย่นัก” เสวียนหนิงอันยิ้มให้กับสามี “สงสารก็แต่พี่ซิงซวี่ เขาถูกท่านพ่อกับท่านพี่ร่วมมือกันกดดันนานกว่าเจ็ดเดือน หน้าตาทนมองไม่ได้ทีเดียว”“ชอบทดลองยากับผู้อื่นก็สมควรโดนแล้ว ว่าแต่ช่วงนี้เขาเป็นอย่างไรบ้างเล่า”“เห็นว่ากำลังจะถูกบังคับให้แต่งงานเจ้าค่ะ”“แต่งกับสตรีที่ฝากรอยข่วนไว้บนหน้าของเขาน่ะหรือ?” หลี่จินหมิงนึกได้ว่าลืมเล่าภรรยาจึงรีบชี้แจงโดยเร็ว“วันที่เราแต่งงานกัน เขาแวะมาแสดงความยินดีแล้วก็รีบกลับ ข้า
หนึ่งปีผ่านไป...เสียงอ้อแอ้ของทารกน้อยวัยห้าเดือนทำให้หลี่จินหมิงอดหัวเราะไม่ได้ บุตรชายของเขาเลี้ยงง่ายที่สุด แทบไม่เคยร้องไห้ให้บิดาหรือมารดาต้องเหนื่อยปลอบใจ ต่างจากบุตรสาวที่ส่งเสียงร้องบ่อยกว่ามาก แต่อุ้มไม่นานก็หลับไป นิสัยคล้ายคลึงกับมารดาผู้ให้กำเนิดไม่ผิดเพี้ยนหลี่จินหมิงมองภรรยาที่เอนตัวพักหลังในช่วงบ่ายด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก พลางนึกถึงเรื่องเมื่อปีก่อนที่เขาต้องง้อนางอยู่เกือบเดือน พอเข้าใจกันดีกลับมีอีกเรื่องที่ทำให้เขากินไม่ได้นอนไม่หลับ นั่นคือเรื่องที่ภรรยาตั้งครรภ์ แต่กระนั้นนางก็หมั่นปลอบใจเขาจนคลายความวิตก ทั้งยังเปลี่ยนเรื่องได้อย่างฉลาด ว่าคนที่อาการน่ากังวลกว่ามากก็คือตัวเขาที่ปวดศีรษะเป็นประจำยามนั้นหมอหลวงสกุลหวงงานเข้าจนแทบไม่ได้พักผ่อน สามีของเฟยฮวาอาการบาดเจ็บกำเริบจากการฝืนเดินทางจึงต้องให้การดูแลอย่างใกล้ชิด หลังจากทำความสะอาดบาดแผลในช่วงเช้า หวงซิงซวี่ก็ต้องมาตรวจดูเขาอย่างละเอียดว่าป่วยเป็นโรคอันใด ยังมีเรื่องที่ต้องเดินทางตรวจคนไข้ประจำ รวมทั้งต้องเตรียมตัวเดินทางไปยังนอกเมืองเพื่อควบคุมสถานการณ์โรคระบาด เสวียนหนิงอันจึงเสนอแกมบังคับว่าให
“นานถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” หลี่จินหมิงพักผ่อนไม่ดีมาหลายวัน ได้หลับสนิทนาน ๆ จึงรู้สึกว่าตนมีกำลังวังชาขึ้นมาก “ยาของหวงซิงซวี่ได้ผลดีเกินคาดจริง ๆ”“อย่าพูดจาเหลวไหลสิเจ้าคะ ยาของเขาอันตรายที่สุด เชื่อถือไม่ได้สักนิด เขาพูดว่าท่านควรได้สติภายในหกชั่วยาม แต่ท่านกลับหลับนานจนข้ากังวล เสียงดังอย่างไรก็ไม่ยอมฟื้น เขย่าอย่างไรก็ไม่รู้สึกตัว ข้าตกใจมากเลยนะเจ้าคะ” เสวียนหนิงอันตัดพ้อพลางเช็ดน้ำตาแรง ๆ“คงเป็นเพราะกินยาเกินกว่าที่เขาสั่งไว้กระมัง”หลี่จินหมิงไม่คิดว่าตัวยาจะมีฤทธิ์แรงจึงกินไปสองเม็ดในคราวเดียว “หนิงเอ๋อร์ พี่ขอโทษที่ทำให้เจ้ากังวล แต่ที่ผ่านมาพี่พยายามดูแลตนเองอย่างที่ให้คำสัญญาไว้กับเจ้า เพื่อที่จะได้อยู่ดูแลเจ้าไปนาน ๆ ใช่อยู่ว่าสามวันแรกที่เข้าใจว่าสูญเสียเจ้านั้นพี่ผิดคำพูดไปบ้าง กินเพียงกับแกล้ม ดื่มแค่สุรา แต่พอตั้งสติได้ก็รีบกลับมารักษาสุขภาพ ไม่เลือกกินอาหาร เดินออกกำลังในบ้านวนไปวนมาทุกวัน เพิ่งจะบังคับตนเองให้นอนไม่ได้ก็ราวเจ็ดวันที่ผ่านมานี้เอง”“เพิ่งจะนอนไม่ได้หรือเจ้าคะ” เสวียนหนิงอันถามอย่างมิเข้าใจนัก“เรื่องการนอนก็ยังเป็นปัญหาอยู่บ้างจริง ๆ พอไม่ได้ฟังคำข
สาวงามที่ถูกเรียกถึงกับส่ายหน้า นับวันเจียอียิ่งโตยิ่งเอาแต่ใจ บางครั้งก็พูดยากจนน่าตี เช่นบอกให้เรียกว่าคุณหนูเสวียนก็ไม่ยอมเรียก ทั้ง ๆ ที่ตักเตือนหลายหนแล้วว่าที่นี่ไม่ใช่เรือนเล็กในบ้านสกุลหลี่ ควรระมัดระวังกิริยาให้มาก แต่นางก็ยังไม่ยอมรับฟัง ทั้งยังไม่ปรับปรุงตัว มาวันนี้คงต้องดุมากสักหน่อยจะได้รู้ความเสียบ้าง ว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำกันแน่ทว่าเสวียนหนิงอันยังมิทันได้สั่งสอนอย่างที่ตั้งใจไว้ สาวใช้คนโปรดก็รีบรายงานเรื่องสำคัญที่ทำให้นางถึงกับต้องเสียกิริยา“นายท่านหมดสติไปตั้งแต่เมื่อวาน ผ่านมาสิบสองชั่วยามแล้วยังไม่ฟื้นเลยเจ้าค่ะ!”เสวียนหนิงอันวิ่งออกจากจวนของบิดาทันที!เสียงตวาดดังลั่นทำให้หวงซิงซวี่สะดุ้งสุดตัว แต่กระนั้นก็ยังไม่น่ากลัวเท่ายามที่เห็นน้องสาวคนงามถลาร่างเข้ามายืนข้าง ๆ บุรุษที่ยังไม่ได้สติ บนใบหน้างามเผยความเกรี้ยวกราดอย่างไม่ปิดปัง“ท่านพี่เป็นอย่างไรบ้าง!” เสวียนหนิงอันเขย่าแขนสามีแรง ๆ ทว่าเขายังคงนอนนิ่งเฉยดังเดิม “ท่านทำอันใดกับเขา บอกข้ามาตามตรงเดี๋ยวนี้!”“หนิงเอ๋อร์ใจเย็นก่อน...”“ท่านจะพูดหรือไม่!” เสวียนหนิงอันเดินเร็ว ๆ ไปยังหวงซิงซวี่ สองตาจ้อง
ยามพ่อบ้านหวังอู่แจ้งว่ามีแขกขอพบ เสวียนหนิงอันฟังแล้วไม่ใส่ใจ คิดไปว่าเป็นเล่ห์กลของสามีที่ต้องการวางแผนให้นางใจอ่อน แต่พอได้ยินชัด ๆ ว่าคนที่มาคือสตรีตั้งครรภ์นามว่าเฟยฮวากับสามี เสวียนหนิงอันก็พลันนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจ เลือดลมในร่างกายแปรปรวน โทสะร้อนพลุ่งพล่านเสียยิ่งกว่าเดิม“นางอายุครรภ์ไม่น้อยแล้ว แต่เขากลับใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้พบข้า! ต่อให้ไม่อยากพบหน้าก็คงต้องพบ พูดคุยให้รู้เรื่องว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ!”เสวียนหนิงอันให้สาวใช้เชิญเฟยฮวาและสามีใจร้ายไปพบกันที่สวน หลายวันมานี้อาการของนางดีขึ้นมากเพราะยอมรับกับตนเองแล้วว่าบางอย่างตัดออกจากชีวิตไปก็ใช่ว่าจะให้ผลดี สวนสวยใกล้เรือนนางในยามนี้จึงมีกลิ่นดอกเหมยกุ้ยหอมเย้ายวน เชิญชวนให้คนที่ผ่านทางไปมาอารมณ์ดีนางเดินเร็ว ๆ ตรงไปยังร่างอวบอ้วนที่ยืนรออยู่ในศาลา ระหว่างนั้นก็เตรียมถ้อยคำเสียดสีเอาไว้มอบให้กับบุรุษที่นั่งอยู่ด้วย แต่พอเดินไปใกล้ ๆ ก็ตระหนักได้ว่าเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่นั่งผินหน้าชมดอกไม้โดยรอบ มิใช่บุรุษที่นางคะนึงหาแต่อย่างใดเขาคนนั้นร่างกายผ่ายผอมราวกับคนป่วยหนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นคนงามที่มองแล้วละสายตา






![จอมนางคู่บัลลังก์ [NC30+]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)
