Masukกลิ่นดอกเหมยกุ้ยหอมเย้ายวนมิสามารถดึงความสนใจของโฉมงามในวัยสิบหกปีได้ นางปล่อยให้ความคิดพัดเอื่อยไปตามสายลมหลังจากกินมื้อเช้า พลางพิจารณาเรื่องราวที่เพิ่งได้ยินมา ท่านป้าที่ทำหน้าดุเมื่อครู่คือคนสนิทของฮูหยินผู้ล่วงลับ หลี่จินหมิงจึงปฏิบัติต่อนางดีกว่าสาวใช้ทั่วไปอยู่หลายส่วน และนั่นอธิบายได้ว่าเหตุใดสายตาของหญิงสูงวัยจึงไม่เป็นมิตรนัก มิว่านางจะทำตัวสุภาพมากมารยาทเพียงใด สุดท้ายก็ได้รับเพียงสายตาเย็นชากลับมาเท่านั้น
“ฮูหยินน้อยอยากกินขนมหรือไม่เจ้าคะ”
เจียอี สาวใช้ในวัยสิบสี่ปีคือผู้ที่เล่าเรื่องราวอย่างย่อให้ฟังขณะเก็บโต๊ะอาหาร แต่แค่เรื่องย่อก็ทำให้เสวียนหนิงอันรู้สึกว่าหัวใจของนางบีบรัดด้วยความอิจฉาแล้ว
“สวนดอกเหมยกุ้ยนี่เขาทำเพื่อนางหรือ”
“มิใช่เจ้าค่ะ จ้าวฮูหยินมิชอบดอกไม้กลิ่นแรง นายท่านจึงปลูกดอกเหมยกุ้ยไว้ที่สวนหลังบ้าน เพิ่งจะปลูกเพิ่มจนทั่วเมื่อปีก่อนนี้เองเจ้าค่ะ” เจียอีตัวเล็กทว่าคล่องแคล่วว่องไวยิ่งนัก หลังจากทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วก็รีบจัดของในห้องโดยมิรอคำสั่ง ทั้งยังไม่ลืมยิ้มให้กับนายหญิงคนใหม่อย่างประจบเอาใจ
ฮูหยินน้อยงดงามอย่างมาก ผมสีดำขลับดุจท้องฟ้าในราตรีที่ปราศจากดวงดาว หากได้สัมผัสคงมิต่างจากผ้าไหมชั้นดี ส่วนผิวหรือก็ขาวจนเจียอีมิกล้ามองนานเพราะกลัวว่าจะปวดตา แต่ถึงกระนั้นก็ยังละสายตามิได้ เจียอีคิดว่าใบหน้ายามนิ่งเฉยของฮูหยินน้อยมองดูแล้วเพลินตาดียิ่งนัก แต่ยามยิ้มให้กลับทำให้รู้สึกคล้ายถูกสะกดจนมิกล้าขยับตัว
“ฮูหยินน้อยมิชอบกลิ่นดอกเหมยกุ้ยหรือเจ้าคะ”
“ชอบ บ้านที่ข้าเคยอยู่ตอนเด็ก ๆ มีดอกเหมยกุ้ยเต็มสวน วันใดอากาศดีข้ามักเล่นซ่อนหาอยู่ในนั้นทั้งวัน…”
เสวียนหนิงอันอาศัยอยู่ในเรือนเล็กหลังบ้านสกุลหลี่ที่ต่างเมืองตั้งแต่จำความได้จนกระทั่งสามขวบเศษ หากอากาศไม่หนาวมาก นางจะได้รับอนุญาตจากมารดาให้วิ่งเล่นตามใจชอบ ไม่ว่าในสวนหรือเรือนใหญ่ที่หลี่จินหมิงอาศัยอยู่ นางล้วนวิ่งเล่นทั่วทุกบริเวณ แต่ชอบที่สุดเห็นจะเป็นในสวนที่มีกลิ่นดอกเหมยกุ้ยนี่เอง
“เช่นนั้นก็ดีเลยเจ้าค่ะ เรือนนี้อยู่ไกลก็จริง แต่ก็เป็นเรือนที่ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่ฮูหยินน้อยชอบมากที่สุดแล้ว… อาจห่างเรือนใหญ่อยู่บ้าง แต่เจียอีเชื่อว่าระยะทางไม่ใช่ปัญหา หากนายท่านกลับจากต่างเมืองจะต้องแวะมาหาฮูหยินน้อยอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
เรือนเล็กที่เสวียนหนิงอันอยู่นั้นไกลจากเรือนใหญ่ค่อนข้างมาก นับได้ว่าเป็นเรือนที่อยู่ห่างไกลที่สุด แม้กลิ่นดอกไม้จะหอมอบอวล ผ่อนคลายอารมณ์เหงาของนางได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังไม่ดีมากพอที่จะช่วยให้นางหายกังวลใจ
หากเขาไม่มีวันรักนางเล่า?
“เขาไม่มาหรอก” สามีของเสวียนหนิงอันเย็นชายิ่งนัก แต่งภรรยาเข้าบ้านได้เพียงสองวันก็เดินทางออกนอกเมือง ไม่แจ้งด้วยว่าจะกลับมาเมื่อใด
“ฮูหยินน้อยงดงามหาสตรีใดเทียบได้ยาก นายท่านจะต้องแวะมาให้ฮูหยินน้อยปรนนิบัติดูแลอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“เจียอีพูดจาหวานหูน่าฟัง อีกหน่อยข้าคงนิสัยเสียจนกอบกู้ไม่ได้แล้ว”
เสวียนหนิงอันคลายความกังวลลงไปได้บ้าง อย่างน้อยในบ้านหลังนี้ก็ยังมีคนเห็นว่านางมีค่าพอให้สนทนาด้วย แม้จะไม่สนิทใจเช่นสาวใช้ที่ช่วยให้แผนจัดฉากของนางสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี แต่แค่นี้นางก็ควรจะพอใจแล้วมิใช่หรือ
เมื่อนึกถึงสาวใช้คนสนิทแล้วก็ค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง แรกเริ่มเสวียนหนิงอันยืนยันกับบิดาว่านางอยู่ห้องตามลำพังในขณะที่เขาบุกรุกเข้ามา ทว่าสายตาเย็นชาคู่นั้นกลับเค้นแผนการของนางออกมาได้หลายส่วน
‘ลูกวางยาท่านอา ทำทุกอย่างเพียงลำพัง ท่านพ่ออย่าโกรธท่านอาเลยนะเจ้าคะ’
เสวียนหนิงอันละล่ำละลักเมื่อเห็นไกล ๆ ว่าบนใบหน้าของบุรุษที่นางรักมีรอยเขียวช้ำ มิพ้นถูกบิดาของนางทำร้ายเพราะโทสะร้อน นางจำได้ดีว่าท่านพ่อขอพูดคุยกับเขาตามลำพัง หรือจริง ๆ แล้วเป็นการสอบสวนก็มิแน่ใจ แต่ยามนั้นทราบเพียงว่าต้องปกป้องเขาให้ดี สาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ของนางเองก็เช่นกัน
‘ไม่ต้องพูดมาก ในเมื่อทุกอย่างเลยเถิดแล้ว อธิบายไปก็ไร้ประโยชน์ อย่างไรก็ต้องให้มันรับผิดชอบ… อีกสามวันเจ้าค่อยแต่งเข้าสกุลหลี่’
บิดาของนางยกมือเป็นเชิงห้ามมิให้พูดต่อ ทั้งยังมองมาด้วยสายตาที่สื่อชัดว่าผิดหวังเกินบรรยาย
ก่อนจากยังทิ้งคำพูดไว้ให้นางคิดประโยคหนึ่ง
‘หลี่จินหมิงบอกว่ามีเพียงพ่อที่อบรมเจ้าได้ เห็นทีจะมิใช่เรื่องจริง หรือไม่ก็เป็นตัวของพ่อเองที่บกพร่อง ทำหน้าที่บิดาได้ไม่ดี หนิงเอ๋อร์ หากเจ้าออกเรือนแล้วยังก่อเรื่อง ไม่เห็นค่าของโอกาสที่พ่อสร้างให้ เห็นทีพ่อคงต้องทบทวนตนเองใหม่แล้ว’
คำพูดของบิดาคืออีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้เสวียนหนิงอันต้องพิจารณาทุกอย่างเสียใหม่ คิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าตนมีข้อเสียอันใดที่ต้องแก้ไขบ้าง
นางไม่ชอบพูดจาร้ายกาจ ติดออดอ้อนหว่านเสน่ห์เกินควร ทั้งน้ำใจก็มีมากไม่ต่างจากมารดา เพิ่งจะมาทำตัวไม่น่ารักก็เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
แต่เพราะเหตุใดนางจึงทำตัวเช่นนั้นเล่า?
หลังจากทบทวนอยู่นานเสวียนหนิงอันก็ตระหนักได้ว่าที่ตนทำตัวร้ายกาจเพราะถูกขัดใจอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรก หากจะมีเรื่องใดที่ผิดพลาดมาตั้งแต่ต้นก็คงเป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ใดกล้าขัดใจนางนี่เอง
วันที่บิดาเอ่ยว่าถึงเวลาต้องออกเรือน เสวียนหนิงอันที่ไม่เคยมีผู้ใดขัดใจมาก่อนก็ถึงกับนิ่งเงียบไปชั่วขณะ นางบอกกับท่านแม่ว่าไม่ต้องการแต่งงาน แต่กลับถูกแย้งอย่างนุ่มนวลว่าสมควรแก่เวลาแล้ว หรืออย่างน้อยก็ต้องมีการหมั้นหมาย ส่วนท่านพ่อนั้นเสวียนหนิงอันไม่กล้าเถียง ทำได้เพียงใช้ความเงียบเข้าสู้ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้ผล สุดท้ายนางจึงวางแผนจนทุกอย่างออกมาตามต้องการ
เสวียนหนิงอันให้สาวใช้แจ้งต่อบิดาว่าเคาะเรียกอย่างไรคุณหนูก็มิยอมตอบ ทั้งประตูห้องยังลงกลอนไว้แน่นหนา แต่ความจริงแล้วนางกำลังปลดเสื้อตัวนอกของเขาอย่างทุลักทุเล ตามด้วยเสื้อคลุมของตนเอง
เพื่อความสมจริงนางยอมคลายคอเสื้อให้หลวมจนเห็นเนินอกอวบอิ่มเกินวัย…
“เสวียนหนิงอัน เจ้ามันร้ายจริง ๆ นั่นแหละ” นางพึมพำอีกครั้งเมื่อถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง
หลายวันผ่านไป
เสียงกรีดร้องที่แว่วมาตามสายลมทำให้เสวียนหนิงอันหัวเราะอย่างขบขัน ความจริงนางมิได้ยิ้มกว้างเต็มใบหน้าหรือร่าเริงเช่นนี้นานหลายวันแล้ว หากจะชี้ให้ชัดก็น่าจะเริ่มจากวันที่นางล่อลวงหลี่จินหมิงให้รับผิดชอบ บังคับจิตใจท่านอามาเป็นสามี แต่ในวันนี้ภาพสาวใช้เจียอีที่ทำหน้าตาบิดเบี้ยวเพราะถูกหนอนตัวไม่เล็กนักเกาะบริเวณหัวไหล่ ทำให้นางกลั้นหัวเราะไม่ได้ ลืมความทุกข์ใจไปชั่วครู่ชั่วคราว
“เสียงดังไร้มารยาท!”
ซุนหยา อายุย่างเข้าห้าสิบปีแล้ว นางมีรูปร่างอวบอ้วนตามวัย บนใบหน้ายังมีเค้าโครงความงามหลงเหลืออยู่บ้าง แต่เจียอีมักพูดเสมอว่าทุกครั้งที่หญิงสูงวัยอารมณ์ไม่ดี ส่วนที่น่าชมบนใบหน้าก็จะเลือนหายไป เจียอีจึงบอกกับฮูหยินน้อยเสมอว่าต้องอารมณ์ดีให้มาก
“ท่านป้า ช่วยข้าด้วย!” เจียอีกระโดดไปตรงหน้าสตรีสูงวัยเพื่อขอความช่วยเหลือ นางไม่ชอบหนอนตัวนุ่มเอาเสียเลย ทว่าฮูหยินน้อยกลับบอกว่าพวกมันดูน่ารักดี
“อย่ามาใกล้ข้า!” ซุนหยาตวาดเพราะตนเองก็มิได้ชอบสัตว์ประเภทนี้เช่นกัน แต่ก่อนที่จะได้ทำอันใด นายหญิงคนใหม่ก็ปราดเข้ามาใกล้ ใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนบางคลุมลงบนตัวหนอนและนำมันออกจากร่างของเจียอีทันที
“ฮูหยินน้อยฆ่ามันเลยเจ้าค่ะ น่าเกลียดน่ากลัวยิ่งนัก!” เจียอีกรีดน้ำตา แสบจมูกเล็กน้อยเพราะเมื่อครู่ตกใจจนเกือบร้องไห้ แต่พอตัวหนอนไม่อยู่บนร่างนางแล้วก็เปลี่ยนเป็นโกรธแค้นขุ่นเคืองแทน
“อย่าทำบาปเลย มันเป็นหนอนผีเสื้อเท่านั้น ทำอันใดเจ้าไม่ได้หรอก”
“แต่มันน่ากลัวนะเจ้าคะ” เจียอียืนยันตามเดิม
“ยามนี้อาจไม่น่ามอง แต่พอถึงเวลาที่เหมาะสมก็งดงามน่าชมมิใช่หรือ” เสวียนหนิงอันก้าวให้ห่างจากเจียอีและซุนหยา สองมือยังคงถือเจ้าตัวปัญหาอย่างทะนุถนอม ราวกับกลัวว่ามันจะถูกสาวใช้ทุบให้ตายต่อหน้านาง
“เจ้าอย่าโกรธมันเลยนะเจียอี เป็นข้าไม่ดีเองที่ไม่ได้ช่วยเอามันออกจากตัวเจ้าเร็วมากพอ หากจะโกรธ… เจียอีโกรธข้าแทนได้หรือไม่”
“เรื่องแค่นี้เหตุใดจึงต้องพูดจาใหญ่โต ฮูหยินน้อยก็เช่นกัน เหตุใดจึงต้องกลัวว่านางจะโกรธ ที่นี่หากสาวใช้ทำเรื่องอันใดไม่ถูกใจก็โบยสักสิบไม้ เรื่องง่าย ๆ เช่นนี้ที่บ้านฮูหยินน้อยมิได้สอนหรือเจ้าคะ” ซุนหยาตัดบท นางไม่ชอบนายหญิงคนใหม่จึงไม่ต้องการฟังน้ำเสียงออดอ้อนอันตรายนานเกินความจำเป็น
“ทำเช่นนั้นหาได้ไม่ ท่านแม่ข้าสอนว่ามีเรื่องอันใดก็จงใจเย็นให้มาก ค่อย ๆ พูดจา ไม่ผลีผลามโวยวาย เจียอีแม้เป็นสาวใช้แต่ก็มีหัวใจ อีกทั้งนางยังเด็ก ควบคุมความตกใจหรือความโกรธยังไม่ชำนาญ ให้เวลานางสักหน่อยก็คงดีขึ้น ท่านป้าเห็นด้วยกับข้าหรือไม่”
วาจาของเสวียนหนิงอันไม่อ่อนน้อม ไม่แข็งกระด้าง ทว่าดวงตาที่ทอดมองไปยังซุนหยานั้นเย็นชาดุจน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย กดดันหญิงสูงวัยให้รู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก ท่าทางราวกับพวกคุณหนูสกุลใหญ่ไม่ผิดเพี้ยน
นางเป็นบุตรสาวพ่อค้ามิใช่หรือ?
“เจียอียังเด็กอย่างที่ฮูหยินน้อยว่าจริง ๆ” ซุนหยายอมรับอย่างเสียมิได้ ก่อนเอ่ยเรื่องที่ทำให้ต้องเดินมายังเรือนเล็ก “นายท่านต้องการพบฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ”
สามีของนางกลับมาแล้วหรือนี่!
เสวียนหนิงอันพยักหน้ารับคำอย่างสงบนิ่งก่อนออกคำสั่งให้เจียอีไปทำความสะอาดเรือน ทว่าหัวใจดวงน้อยกลับเต้นโครมครามขณะเดินตามซุนหยาไปยังเรือนใหญ่ที่นางยังมิเคยได้ย่างกรายเข้าไปสักครั้ง
นึกไม่ถึงว่าหญิงสูงวัยจะพานางเดินตรงไปยังเรือนเล็กที่อยู่ข้างกัน มิใช่เรือนใหญ่อย่างที่เสวียนหนิงอันเข้าใจ
‘จ้าวฮูหยินอยู่เรือนใหญ่กับนายท่านตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่เจ้าค่ะ’
นางผ่อนลมหายใจช้า ๆ เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ได้ฟังจากสาวใช้เจียอี
อิจฉาคนที่จากไปแล้วไม่ใช่เรื่องสมควร จ้าวฮูหยินเป็นภรรยาผูกผมที่เขารักใคร่อย่างมาก ถึงขั้นให้อยู่เรือนเดียวกันไม่ยอมแยกจาก นางควรเคารพความรักของเขาสองคนให้มากจึงจะถูกต้องมิใช่หรือ
“นายท่านอารมณ์ไม่ดีเจ้าค่ะท่านป้า ได้ยินว่ามีปัญหาเรื่องบัญชี”
สาวใช้ที่เดินออกจากเรือนหลังเล็กกระซิบเสียงเบา เสวียนหนิงอันจึงถือโอกาสที่ประตูเปิดกว้างมองสำรวจอย่างรวดเร็ว พบว่าข้างในคือห้องหนังสือที่เขาน่าจะใช้เป็นห้องทำงาน
“หากอารมณ์ไม่ดีย่อมต้องดื่มสุรา แต่สุราดอกท้อที่เก็บไว้มีเหลือไม่มากแล้ว เจ้าอย่าลืมส่งคนไปซื้อที่โรงเตี๊ยมนอกเมืองเล่า”
ซุนหยาสั่งงานอีกหลายคำ ปล่อยให้เสวียนหนิงอันยืนรออย่างอดทน
แม้ในชีวิตนี้มิเคยต้องรอผู้ใดมาก่อน ทว่าเสวียนหนิงอันกลับไม่รู้สึกว่าการถูกปล่อยให้รอในครั้งนี้เป็นเรื่องลำบาก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะทราบดีว่าอีกไม่นานจะได้พบคนที่นางอยากพบหน้า แม้ในใจมีเรื่องราวมากมาย แต่สุดท้ายกลับไม่รู้ว่าต้องพูดคุยเรื่องอันใดก่อนดี
ยิ่งเขามิใช่ท่านอาใจดีอย่างที่จำได้ด้วยแล้ว นางก็ยิ่งรู้สึกหน่วงหนักในหัวใจ
เสวียนหนิงอันก้มมองชายกระโปรงที่ลอยสูงกว่าที่ควรเกือบสองชุ่น[1]แล้วพลันรู้สึกว่าตนเองน่าเกลียดอย่างมาก เสื้อผ้าของนางเก่าแล้ว บริเวณหน้าอกรัดจนหายใจลำบาก นางจึงตัดปัญหาด้วยการไม่สวมบังทรง เรื่องนี้มีเพียงเจียอีเท่านั้นที่รู้ สาวน้อยในวัยสิบสี่ปีเสนอว่าให้บอกเรื่องความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นต่อนายท่าน แต่เขาหายตัวไปหลังจากแต่งงานได้เพียงสองวัน นางจึงหาโอกาสที่ว่านั้นไม่ได้เสียที
พูดแล้วก็น่าอาย เป็นถึงบุตรสาวของตวนอ๋องแต่กลับต้องพึ่งพาเงินทองของสามี
“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ” ซุนหยาเรียกนายหญิงคนใหม่ถึงสามครั้งนางจึงได้สติและหันมารับถาดน้ำชาก่อนเดินเข้าห้องหนังสือ ทุกย่างก้าวหนักแน่นปราศจากความเขินอาย ต่างจากภรรยาที่เพิ่งแต่งเข้าบ้านของสามีโดยสิ้นเชิง
“ท่านอาเจ้าคะ…” เสวียนหนิงอันกลั้นหายใจเมื่อเขาเงยหน้า พบว่าดวงตาสีเข้มวาววับชั่วพริบตาก่อนฉายแววชัดว่ามีเรื่องไม่สบอารมณ์
นางอยากถามว่ามีเรื่องใดให้ช่วยบ้างหรือไม่ แต่กลับกลั่นกรองคำพูดออกมาได้ยากยิ่ง เมื่อเรื่องเป็นเช่นนั้นนางจึงเลือกปิดปากเงียบ วางกาน้ำชาไว้บนมุมโต๊ะและถอยหลังไปสามก้าว
“ตวนอ๋องมิได้สอนเจ้ารินน้ำชาหรือ”
“หนิงเอ๋อร์เห็นท่านอากำลังตรวจสอบบัญชี กลัวว่าหากไม่ระวังน้ำชาอาจหกเลอะเทอะเจ้าค่ะ” เสวียนหนิงอันเห็นว่าขอบตาของเขาแดงก่ำคล้ายคนไม่ได้นอน จึงแสดงความเห็นออกมาอย่างกังวล
“เหนื่อยล้ามากไปอาจทำงานผิดพลาด ท่านอาเอนหลังพักผ่อนสักครึ่งชั่วยามเถิดนะเจ้าคะ”
“เช่นนั้นจะพักสักหน่อย… แล้วเจ้าขาดเหลือสิ่งใดหรือไม่” เขาถามโดยไม่มองหน้า จัดการสมุดบัญชีที่อยู่บนโต๊ะทำงานอย่างไม่รีบร้อน ก่อนพาร่างสูงโปร่งของตนไปนั่งพักบนตั่งริมหน้าต่าง
“ยังขาดของใช้ส่วนตัวบางอย่างเจ้าค่ะ”
“อยากได้อันใดเพิ่มเติมก็แจ้งซุนหยา… เจ้าไปได้แล้ว” หลี่จินหมิงกดขมับของตนเองเบา ๆ พยักพเยิดเป็นเชิงให้นางออกจากห้องได้แล้ว แต่เจ้าของเรือนร่างบอบบางกลับยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“ต้องการสิ่งใดอีก”
“ข้าอยากจะขออนุญาตท่านอาออกไปซื้อของข้างนอกเจ้าค่ะ”
“ไม่อนุญาต อยากได้อันใดก็บอกซุนหยา หากไม่ชอบนางก็ให้เจียอีจัดการแทน”
“ข้าไม่ได้ไม่ชอบท่านป้าซุนหยา แต่ของบางอย่างจำต้องเลือกด้วยตนเองเจ้าค่ะ” เสวียนหนิงอันเว้นจังหวะ ก่อนกล่าวออกมาอย่างกระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก “ท่านพ่อลงโทษข้า เสื้อผ้าในหีบที่ส่งมาล้วนเป็นของเก่า สวมใส่ไม่สบายตัว”
“หึ! ที่แท้ก็ห่วงเรื่องความงาม”
“มิใช่เช่นนั้นนะเจ้าคะ”
เสวียนหนิงอันก้มมองอาภรณ์ที่สวมใส่อยู่อีกครั้ง ก่อนเอ่ยออกมาอย่างคับแค้นใจ “เรื่องเสื้อผ้าเก่าข้าไม่ว่าอะไร แต่บังทรงนั้นสวมไม่ได้ รัดแน่นจนหายใจไม่ออก หากข้าสวมมันอยู่คงเป็นลมต่อหน้าท่านแล้ว”
“เสวียนหนิงอัน!”
หลี่จินหมิงผุดลุกจากตั่งแทบมิทัน ใบหน้าของเขาแดงก่ำ มิแน่ใจว่าเพราะความโกรธหรือความอาย
“ข้าไม่ได้โกหกนะเจ้าคะ หากท่านอาไม่เชื่อจะลองถามเจียอี…”
“ออกไปได้แล้ว!”
เสียงตวาดนั้นทำให้เสวียนหนิงอันวิ่งออกจากห้องหนังสือแทบไม่ทัน!
[1] ๑ ชุ่น = ๑ นิ้ว
ลูกค้าประจำของร้านซิงเยียนทยอยออกจากร้านในช่วงปลายยามอู่[1]เนื่องจากทราบดีว่าในทุก ๆ สิบห้าวันร้านจะเปิดเพียงครึ่งวันและปิดในช่วงบ่ายเพื่อตรวจรับสินค้าจากต่างเมือง ส่วนลูกค้าใหม่ที่ยังไม่ทราบก็ยังคงเลือกดูสินค้าต่อไปเรื่อย ๆ เสวียนหนิงอันที่เข้ามาสืบความเองก็เช่นกันนางมั่นใจเหลือเกินว่าจะไม่มีผู้ใดจำได้ มิใช่เพราะสวมเสื้อผ้าธรรมดาหรือทำผมต่างไปจากเดิม แต่เป็นเพราะหมวกที่สวมอยู่มีผ้าโปร่งปิดบังใบหน้า ช่วยพรางตัวให้พ้นจากสายตาของผู้คนได้เป็นอย่างดีเสวียนหนิงอันคิดผิด…เจ้าของร่างสูงเอ่ยลาลูกค้าสตรีอย่างมีมารยาท ก่อนเบือนหน้าหนีเหล่าแม่สื่อที่ขยันแวะเวียนมาบ่อยจนน่ารำคาญ แต่กระนั้นพวกนางกลับมิใช่สาเหตุที่ทำให้เขาปวดหัวจนแทบกุมขมับ แต่เป็นสาวงามในวัยสิบหกปีที่แสร้งทำเป็นเลือกสินค้าอยู่ต่างหากเล่าหลี่จินหมิงอยากตรงเข้าไปว่ากล่าวตักเตือนนาง แล้วพากลับบ้านเพื่อลงโทษให้หลาบจำ แต่สายตาสอดรู้สอดเห็นในร้านนั้น
“แต่ถ้าไม่เอ่ยปากขอโทษ นายท่านก็จะโกรธฮูหยินน้อยต่อไปเรื่อย ๆ ไม่แวะมาหาที่เรือนให้ฮูหยินน้อยปรนนิบัติ ไม่นอนร่วมเตียง ไม่ผูกสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา…”“พอแล้วเจียอี ข้าไม่อยากฟัง”“ไม่อยากฟังก็ต้องฟังเจ้าค่ะ” เจียอีทราบดีว่าบิดาของฮูหยินน้อยน่ากลัวเพียงใด แต่กระนั้นก็ยังทำใจกล้า กล่าวขัดใจออกไปอีกหลายคำ “หากไม่ทำความเข้าใจกันในเร็ววัน นายท่านอาจเบื่อหน่ายและเลือกบุปผางามที่ว่านอนสอนง่ายมาประดับเรือน”“เจ้าหมายความว่า…” เสวียนหนิงอันหัวใจเต้นเร็ว เอ่ยถามทั้ง ๆ ที่เข้าใจเรื่องที่สาวใช้ต้องการสื่อชัดเจนดี“โธ่! ฮูหยินน้อยเจ้าคะ ม่ายหนุ่มรูปงามฐานะร่ำรวยอย่างนายท่านเปรียบได้ดั่งขนมหวานสำหรับสาวแก่แม่ม่ายในเมืองหลวง ยิ่งยามอยู่ในร้านค้าเลี่ยงการพบปะผู้คนมากมายไม่ได้ด้วยแล้ว… เจียอีกลัวว่านายท่านจะหลงผิดไปเจ้าค่ะ”“เจ้าคิดว่าเขาจะมีคนอื่นอย่างนั้นหรือ”“หากฮูหยินน้อยยังดีกับนายท่านก็คงไม่น่ากังวลใจ แต่ในเมื่อตอนนี้ยังไม่ดี ยังไม่เข้าใจกัน โอกาสที่นายท่านจะสานสัมพันธ์กับสตรีอื่น…”“ไม่ต้องพูดแล้ว” นางคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อ “เจียอี วันนี้อากาศดี เราไปเดินเล่นข
บาดแผลเล็ก ๆ ของเสวียนหนิงอันจางลงจนแทบมองไม่เห็น แม้ก่อนหน้าจะแสดงทีท่าว่าไม่สนใจหากต้นแขนของตนต้องมีตำหนิ แต่ความจริงแล้วนางใส่ใจอย่างมาก ช่วงแรกถึงขั้นตรวจเกือบทุกสองเค่อเพื่อดูว่าแผลแห้งแล้วหรือยัง จนกระทั่งถูกขู่ว่ามองมากไปแผลอาจหายช้า เสวียนหนิงอันจึงได้ยอมปล่อยวางคนขู่ให้กลัวก็มิใช่ใครอื่น เป็นหลี่จินหมิงหรือท่านอาใจร้ายของนางนั่นเอง นอกจากจะไม่ให้มองแผลบ่อย ๆ แล้ว เขายังยืนยันว่าต้องทาขี้ผึ้งให้ตรงเวลาและขอเป็นคนดูแลด้วยตนเองเสวียนหนิงอันปฏิเสธ ทว่าคนหน้าไม่อายกลับไม่ยอมรับฟัง นางจึงต้องยกเอาเรื่องที่ถูกหยิกแก้มจนช้ำมาต่อรอง ขอร้องว่าหากยอมให้เจียอีช่วยดูแลแทนแล้วนางจะไม่โกรธเขาอีก หลังจากเจรจาอยู่นานเขาก็ยอมแพ้ แต่ก็ไม่ลืมเตือนว่าอย่าให้แผลโดนน้ำ หากครบเจ็ดวันแล้วก็ต้องมาให้ตรวจดูอีกครั้งเมื่อครบกำหนดเสวียนหนิงอันจึงสวมเสื้อคลุมตัวสวยเพราะอากาศค่อนข้างเย็น เดินไปยังห้องหนังสือเพื่อให้เขาตรวจสอบดูว่าผิวของนางไม่เป็นอะไรแล้วจริง ๆ“ท่านอาเจ้าคะ…”เสวียนหนิงอันเอ่ยเรียกเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงตอบรับก็เปิดประตูห้องหนังสือและสาวเท้าตรงเข้าไปหาคนที่กำลังนั่งตรวจบัญชี นางเห็นเขายกม
ยามอยู่ตำหนักเยว่ฉีเสวียนหนิงอันชอบทำอาหารอย่างมาก ท่านพ่อและท่านแม่ล้วนชมว่ารสชาติดีกว่าโรงเตี๊ยมชื่อดัง แม้กระทั่งขนมนางก็ยังทำออกมาได้อย่างไร้ที่ติ จนบิดาต้องขอร้องว่าให้เลิกเข้าครัวเพราะกลัวว่ารูปร่างของตนจะไม่งดงาม กลัวว่าพระชายาเสวียนจะไม่รัก‘ท่านพี่จะอ้วนหรือผอม ซือชิงก็รักเจ้าค่ะ’‘เรื่องนั้นทราบแล้ว แต่พี่อยากดูดีในสายตาเจ้า…’ตวนอ๋องเฉินฟาหยางแสดงความรักต่อพระชายาอย่างไม่ปิดบัง หลายครั้งกอดและหอมอย่างไม่เกรงใจ เพิ่งลดลงก็ตอนที่เสวียนหนิงอันเติบโตเป็นสาวน้อย แต่กระนั้นก็ยังมีหลุดพูดจาหยอกเย้าให้ท่านแม่แก้มแดงอยู่เรื่อย ๆแรก ๆ เสวียนหนิงอันก็เบื่อหน่ายอยู่บ้างที่ไม่ได้ทำอาหาร แต่หลังจากรับหน้าที่ดูแลร้านค้าเต็มตัว นางก็ยุ่งวุ่นวายจนลืมการเข้าครัว แต่นาน ๆ ครั้งก็ยังต้องแสดงฝีมือ เอาใจบิดาที่ขุ่นเคืองนางให้อารมณ์ดี หรือไม่ก็ยามที่น้องชายตัวน้อยเฉินหรานโอดครวญว่าอยากกินขนม โดยไม่ลืมกระซิบว่าอย่าลืมชงชาดอกโมลี่ฮวา[1]ให้ท่านแม่ด้วยยามซุนหยาชวนเข้าครัว นางที่คิดถึงครอบครัวอย่างมากจึงไม่ปฏิเสธเสวียนหนิงอันมีความสุขจนลืมปัญหากวนใจ ไม่นึกถึงบุรุษที่ทำให้ตนเองต้องเสียน้ำตาอีก นางทั
ยามถูกบิดาว่ากล่าวตักเตือนเสวียนหนิงอันมักหนีไปกอดมารดาอย่างเงียบ ๆ ไม่ต่อความยืดยาวเพราะทราบดีว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด แทบทุกครั้งนางเอนตัวนอนนิ่งเฉยข้างมารดาหลายชั่วยาม พิจารณาว่าเหตุใดจึงทำผิด สำนึกได้แล้วจริงหรือไม่ ควรทำอย่างไรเพื่อบรรเทาโทษของตนเองตวนอ๋องเฉินฟาหยางมิได้ตามใจบุตรสาวอย่างที่คนร่ำลือ หลายครั้งถึงขั้นกักบริเวณและไม่พูดด้วยนานกว่าเจ็ดวัน แต่กระนั้นนางกลับไม่นึกกังวลเพราะทราบดีว่าบิดารักตนมาก อย่างไรก็ต้องได้รับการให้อภัยอย่างแน่นอนเสวียนหนิงอันเคยคิดว่าท่านพ่อคงไม่รู้สึกอันใดมากเพราะเป็นฝ่ายเลือกที่จะไม่พูดกับนางเอง แต่พอพบเจอกับสถานการณ์เดียวกัน โกรธเคืองคนที่ตนรักจนไม่อยากสนทนาด้วย เสวียนหนิงอันจึงเข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมานางไม่ใช่บุตรสาวที่ว่านอนสอนง่ายสักเท่าใดนัก‘ท่านพ่อคงเหนื่อยใจมากเป็นแน่’ยามนั้นนางไม่รู้สึกว่าการถูกลงโทษเป็นเรื่องร้ายแรง ทำเพียงรออย่างใจเย็นสักสามวันแล้วค่อยเข้าไปคุกเข่าขอรับโทษ ร่ายความผิดของตนให้ฟังและสัญญาว่าจะไม่ทำอีก หลังจากนั้นตวนอ๋องผู้เป็นบิดาก็จะเผยรอยยิ้มเพียงเล็กน้อย โคลงศีรษะอย่างไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร ก่อนโบกมือให้นางกลับไปพักผ่อน
บ้านสกุลหลี่ที่ตั้งอยู่ตลาดฝั่งตะวันออกมีขนาดไม่ใหญ่โตนัก แต่กระนั้นก็ยังมีเรือนเล็กใหญ่มากกว่าห้าเรือน เรือนที่ใหญ่ที่สุดเป็นของหลี่จินหมิงอย่างมิต้องสงสัย เรือนที่อยู่ถัดไปนั้นมีไว้สำหรับต้อนรับแขก อีกสองเรือนปิดตายไร้ผู้คนอยู่อาศัย ส่วนเรือนสุดท้ายซึ่งเป็นเรือนหลังเล็กที่สุดนั้นเสวียนหนิงอันคือผู้ครอบครองตวนอ๋องเฉินฟาหยางส่งข้าวของเครื่องใช้ของบุตรสาวมายังบ้านสกุลหลี่หลังจากเกิดเรื่องได้เพียงวันเดียว ในยามนั้นเขาเห็นทุกอย่างที่เกี่ยวกับนางแล้วรู้สึกเกรี้ยวกราด มองอย่างไรก็ไม่สบอารมณ์ จึงสั่งให้สาวใช้นำข้าวของไปให้พ้นตา นึกไม่ถึงว่าหีบห้าใบจะอยู่ในห้องเก็บของ ส่วนอีกสองใบที่สาวใช้นำไปไว้ในเรือนเล็กนั้นล้วนมีแต่ของเก่าที่ใช้การไม่ได้ แต่กระนั้นนางก็ยังไม่ปริปากบ่น หรือพูดให้ถูกต้องคือเขาจงใจหลบหน้านาง กอปรกับต้องเดินทางอย่างกะทันหัน ความลำบากเรื่องเครื่องแต่งกายนั้นจึงถูกแก้ไขช้าไปสักหน่อยหลี่จินหมิงจำได้ดีว่ารู้สึกปั่นป่วนในท้องมากเพียงใดยามที่นางบอกว่ามิได้สวมบังทรง ยังจำได้อีกด้วยว่าตนตวาดเสียงดังจนนางหนีเตลิดจากห้องหนังสือ แต่หลังจากรวบรวมสติกลับมาสุขุมดังเดิมได้แล้ว เขาก็สั่งใ







