LOGINมาเยือนจวนกั๋วกงคราใด โดยเฉพาะครั้งนี้...หลี่จือหลินสุขใจนัก
ทว่าเหล่าพี่หญิงน้องหญิงของเซียงหรงที่ต่างลอบเฝ้ามองอยู่ไกลๆ กลับรู้สึกตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
ในใจพวกนางยามนี้เหมือนมีหม้อน้ำเดือด ทั้งไม่อาจสงบใจและไม่อาจยินยอม
“น่าชังนัก คงเพราะทั้งได้รับปิ่นหงส์พระราชทานจากหวงโฮ่ว ทั้งยังใกล้จะได้ไต่ขึ้นสู่ที่สูงเป็นว่าที่จวิ้นหวังเฟยกระมัง จึงได้กล้าวางท่าเช่นนั้น กล่าววาจาเช่นนั้น หึ...ก็แค่มารยาแสร้งปล่อยเพื่อจับชั้นต่ำ ดูก็รู้แล้วว่ากำลังพยายามดึงดูดความสนใจของพี่จือหลินจะแย่!” คุณหนูห้าของจวนเฉินกั๋วกง เฉินเหม่ยเซียง บิดผ้าเช็ดหน้าในมือจนยับยู่ สองตาจ้องมองภาพพี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อคอยรินน้ำชาและส่งขนมให้พี่หญิงสามแพศยาของตนอย่างริษยาชิงชัง
ยิ่งเห็นภาพบาดตา เฉินเหม่ยเซียงก็ยิ่งห้ามปากตนเองไม่ได้
นางพึมพำเสียงสั่น “ทั้งๆ ที่ก็เป็นบุตรสาวกั๋วกงเช่นเดียวกัน รูปโฉมก็หาได้แตกต่างกันสักเท่าใด หนำซ้ำพวกเราเหล่าพี่น้องล้วนได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาอันยิ่งใหญ่ แตกต่างจากนาง...กับแค่โชคดีได้ครองตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีในปีนี้แล้วอย่างไร? นางที่เป็นเพียงสตรีในเรือนหลัง ทั้งชีวิตแทบไม่เคยก้าวขาออกจากจวนที่ไหนเลยจะเทียบชั้นกับพวกเราเหล่าพี่หญิงน้องหญิงได้! เพียงเพราะเกิดเป็นบุตรสาวเซียงเหลียนจวิ้นจูที่เป็นภรรยาเอกเท่านั้นหรอกหรือ จึงได้รับความสำคัญจากพี่จือหลินถึงเพียงนี้!”
เฉินเหม่ยลี่เองก็ไม่ได้รู้สึกต่างจากน้องสาวร่วมครรภ์มารดาสักเท่าใด ทั้งอย่างนั้น นางกลับแสร้งปรามเสียงนุ่ม “น้องห้าอย่าได้พูดจาเลอะเทอะไป ยามนี้ตระกูลจางของท่านแม่กำลังถูกสอบสวนเรื่องลักลอบกักตุนเสบียง ค้ากำไรธัญพืชในช่วงสงคราม เดิมทีสามสี่วันมานี้ ทั้งท่านแม่และพวกเราสองพี่น้องก็ใช้ชีวิตในจวนกันอย่างลำบากมากอยู่แล้ว หากมีผู้ใดมาได้ยินแล้วนำไปฟ้องท่านพ่อหรือสตรีอสรพิษจากสกุลหาน เจ้าคิดว่าท่านพ่อที่ไม่มีใจจะช่วยเหลือสกุลจางสักนิด จะยังมีใจอยากปกป้องพวกเราและท่านแม่อีกหรือ...แม้จะดูเหินห่างหมางเมิน แต่สิบกว่าปีมานี้ ในใจของท่านพ่อก็ยังคงมีพี่หญิงสามน่าตายของเจ้าเป็นบุตรสาวอยู่เพียงผู้เดียว จนบางครั้งข้ายังอดสงสัยไม่ได้ ว่าท่านพ่อหาใช่อับอายผู้คนจึงกักขังเฉินเซียงหรงไว้ในจวน แต่ทำเพื่อปกป้องนางจากเรื่องราวอันตรายและสิ่งเลวร้ายต่างๆ นาๆ ข้างนอกจวนกั๋วกงต่างหาก”
เฉินเหม่ยเซียงเบิกตาโพลง หันมามองหน้าพี่หญิงของตนทันที “จริงสิ เหตุใดข้าจึงไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน!” นางบิดผ้าเช็ดหน้ารุนแรงขึ้น “ข้ายังเคยคิดด้วยซ้ำ ว่าหากสบโอกาสออกนอกจวนพร้อมนางเหมือนเมื่อครั้งที่พวกเรายังเยาว์อีกสักครั้ง สามารถกลั่นแกล้งให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียงซ้ำๆ จะดีเพียงใด”
“เบาเสียงหน่อย” เฉินเหม่ยลี่รีบปราม “หรือเจ้าอยากให้ผู้อื่นรู้ว่าเมื่อเจ็ดแปดปีก่อน เราสองพี่น้องจงใจ อยากจะให้เฉินเซียงหรงเกิดเรื่องไม่ดีจะแย่”
สายไปเสียแล้ว เฉินชิวเยว่และเฉินหมิงเยว่ที่แอบมองอยู่ด้านหลังอีกทอดหนึ่งได้ยินบทสนทนาลับๆ นี้เต็มสองหู
สองพี่น้องจากครรภ์อนุหาน หานชิงเยว่ ซึ่งยามนี้เป็นใหญ่ที่สุดในจวนเหลียวสบตากัน ต่อให้ไม่ต้องเอ่ยให้มากความ สองพี่น้องต่างเข้าใจความคิดของซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง
เป็นอย่างที่เดาไว้ไม่มีผิด เฉินเหม่ยเซียงยังนับว่าไม่เท่าไหร่ ทว่าที่แท้แล้วอนุจางกับเฉินเหม่ยลี่กลับเสแสร้งเป็นคนดีที่มีอุปนิสัยอ่อนหวานนุ่มนวลได้เก่งนัก...เฮอะ...
หากท่านพ่อรู้ว่า ที่แท้แล้วครั้งนั้น บุตรสาวคนที่สองกับห้า เจตนาล่อลวงบุตรสาวภรรยาเอกที่ตนรักหวงแหนออกไปจากกลุ่มคน หมายใจจะให้เกิดเรื่องไม่ดีต่อเฉินเซียงหรงขึ้นจริงๆ หาใช่เกิดเรื่องเพราะความบังเอิญดังที่อนุจาง มารดาของเฉินเหม่ยลี่และเฉินเหม่ยเซียงกล่าวอ้าง ไม่แน่ว่าท่านพ่ออาจโมโหถึงขั้นตัดเป็นตัดตายกับอนุจางและบุตรสาวอสรพิษที่จิตใจสกปรก ก่อเรื่องเลวร้ายกับพี่หญิงน้องหญิงของตนได้ลงคอตั้งแต่ยังเยาว์...หากเดาไม่ผิดคนขายถังหูลู่และเหล่าผู้เป็นพยานในครั้งนั้นคงล้วนถูกอนุจางว่าจ้างให้กล่าวคำเท็จเป็นแน่...
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ







