ไม่รู้ว่าผ่านวันเวลามาเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว จะยังหลงเหลือหลักฐานพยานใดให้ใช้เล่นงานสามแม่ลูกที่น่าชังเหล่านี้หรือไม่...
เฉินชิวเยว่ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็แตะหลังมือน้องสาวร่วมครรภ์มารดาเบาๆ ส่งสัญญาณให้เฉินหมิงเยว่ตามตนหลบออกไปจากที่แห่งนี้เงียบๆ
สกุลหานของมารดา ทุกวันนี้เจริญก้าวหน้า มีเส้นสายอยู่ทั่วทั้งเมืองหลวง นางไม่เชื่อว่าหากตั้งใจขุดคุ้ยเรื่องครั้งนั้นจริงๆ สกุลหานของมารดาจะไม่สามารถลากตัวคนเหล่านั้นออกมาเปิดโปงความจริง ทุบทำลายหน้ากาก ‘คนดี’ ของเหล่าสตรีอ่อนหวานนุ่มนวลที่น่ารังเกียจทั้งสามคนนั้นได้
เฉินชิวเยว่ไพล่คิดไปถึงรูปโฉมอันงดงามและท่าทางอันองอาจผึ่งผายของพี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อแล้วก็อดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้
เรื่องไม่ดีก็ใช่ว่าจะต้องลงมือด้วยตนเอง หากครั้งนี้มารดาและสกุลหานของมารดาสามารถช่วยนางขุดคุ้ยจางเหม่ยหมยและบุตรสาวทั้งสองของนางได้จริง หากนางที่กุมความลับของทั้งสามคนนั้นกล่าวให้ไปซ้าย พวกนางทั้งสามไหนเลยจะกล้าไปขวา
เห็นว่าก่อนหน้านี้ยอมใช้ชีวิตเงียบๆ เหมือนคนตายอยู่ในจวน ไม่มีปากไม่มีเสียงกับผู้ใด ไม่ละโมบโลภมาก ซ้ำยังรู้จักหน้าที่และที่ทางของตน ก็อุตส่าห์คิดว่าจะยอมละเว้น...ทว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้ คงจะปล่อยน้องสาวที่เกิดมาเพื่อตอกย้ำว่านางเป็นเพียงลูกสาวของอนุผู้หนึ่งเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว
รอก่อนเถอะ เฉินเซียงหรง ก่อนหน้านี้เจ้าทรยศต่อข้า เข้าร่วมชิงชัยในเทศกาลชมบุปผา ทั้งยังหักหน้าข้าด้วยการบรรเลงลำนำเฉียนฉินทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่า ‘พิณ’ คือสิ่งที่ข้าถนัดที่สุด ชิงเอาตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีและความสนใจจากคนทั้งหมดไปจากข้า...ในเมื่อยามนี้ได้ดี ยังสามารถเสพสุขและฝันหวานว่าจะได้แต่งเข้าตำหนักจวิ้นหวังไปเป็นนายหญิงน้อยข้ามหน้าข้ามตาข้าได้อีกหนก็ทำไป อีกไม่นานข้าจะเป็นผู้มอบฝันร้าย ทำลายเจ้าให้ย่อยยับ ทั้งยังช่วงชิงทุกสิ่งที่สมควรเป็นของข้ากลับคืนมาจากเจ้าทั้งหมด!
ท้ายที่สุดแล้ว การแต่งงานออกเรือนก็ล้วนเป็นเรื่องที่บิดามารดาและแม่สื่อจัดสรร กว่าที่เซียงหรงจะรู้ตัว ก็พบว่าท่านลุงจวิ้นหวังและท่านป้าสะใภ้ของนาง ได้พูดจาสู่ขอนางจากบิดา ทั้งยังมอบเทียบชะตาของบุตรชายมาให้บิดาอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เซียงหรงได้แต่ภาวนาให้ดวงชะตาของนางไม่สมพงศ์กับคนน่าโมโหนั่น น่าเสียดายที่บิดากลับกล่าวว่าชะตาของนางและหลี่จือหลิน ไม่เพียงแต่สมพงศ์กัน ดวงของนางกับเขายังสนับสนุนส่งเสริมซึ่งกันและกันอย่างที่ยากจะหาพบ
น่าตายนัก! เหตุใดเรื่องทุกอย่างจึงเป็นใจให้คนผู้นั้นไปหมด!
แม้นางจะพยายามตั้งข้อสงสัยว่าอาจตรวจสอบดวงชะตาผิดพลาด บิดากลับบอกว่า อันที่จริง นับตั้งแต่นางเกิด ก็ได้มีการตรวจสอบดวงชะตากันไปแล้วครั้งหนึ่ง ฟังจากที่กล่าว เดาว่าครั้งนั้นแม้จะไม่ได้กระทำอย่างเป็นทางการ แต่ก็ได้มีการพูดคุยหมั้นหมายกันปากเปล่าเอาไว้แล้ว
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!
กลับเป็นนางที่โง่งม หลงละเมอเพ้อพกว่าตนเองโชคดีที่เกิดเรื่อง จึงไม่เคยมีการพูดคุยเรื่องหมั้นหมายกับตระกูลใด
มิน่าเล่า คนผู้นั้นถึงได้กล้าออกตัวเรื่องหมั้นหมายต่อหน้าธารกำนัล กล้าแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของถึงเพียงนั้น
คนผู้นั้นต้องรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว เขารู้ แต่ก็ยังมาหยอกล้อก่อกวนนาง ตามตอแยแค่เพราะถังหูลู่ห้าอีแปะจนทำเอานางเข็ดขยาด ไม่อยากแตะต้องถังหูลู่พวกนั้นอีก
หลี่จือหลิน!
เซียงหรงหงุดหงิด แต่ทำอะไรไม่ได้
นางจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อบิดา หรือแม้แต่พี่ชายน้องชายร่วมครรภ์มารดาที่ควรจะเป็นกำลังให้นาง ก็ยังพลอยเห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้ด้วย
ไม่ทันที่นางจะได้ขยับตัว ตงหยางที่รัดท่อนแขนตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนาก็ก้มลงดูดที่แผลของตนเอง ดูดแล้วก็พ่นเลือดสีคล้ำเข้มออกมา ดูด แล้วก็พ่นเลือดสีคล้ำเข้มออกมา ทำวนซ้ำอยู่อย่างนี้จนเลือดที่ดูดออกมาจากปากแผลเป็นสีแดงสด ถึงยอมหยุดมือเขาปล่อยให้สายรัดเอวที่รัดท่อนแขนอยู่ค่อยๆ คลายออกเอง กระถดเข้าไปนั่งชิดผนัง ก่อนถอนหายใจออกมาตงหยางเหลียวมองซากงูตัวนั้นอีกครั้ง ก่อนจะตวัดสายตามองเฉินเซียงหรง เอ่ยอย่างหัวเสีย“ดีเหลือเกิน ข้าบอกให้อยู่นิ่งๆ เจ้าก็รีบขยับตัวทันที!”“ก็ข้านึกว่า...” นางละอายเกินกว่าจะกล้าพูดต่อเขาช่วยชีวิตนาง...อีกเป็นครั้งที่สอง นางกลับคิดว่าเขาจะฉวยโอกาสใช้กำลังข่มเหงรังแก ทำเรื่องที่นาง...ไม่ยินยอม...“คุณหนูเฉิน ข้าบอกเจ้าแล้ว ข้าไม่มีความจำเป็นต้องบังคับข่มเหงสตรีที่ไม่เต็มใจ” เขาแค่นหัวเราะ ก่อนกล่าวต่อไป “ทว่าเป็นเช่นนี้จะดีหรือ หากร่วมทางกันไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งข้าเกิดดื่มสุราเมามายจนขาดสติเล่า เจ้าจะทำอย่างไร เจ้าจะยังกล้าติดตาม ‘รับใช้’ ข้าอีกหรือ ข้าว่าเจ้ายอมกลั
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนเซียงหรงเองยังอดตกใจไม่ได้คืนหนึ่ง ขณะหลบฝนอยู่ในถ้ำเล็กๆ ตงหยางจุดไฟให้แสงสว่าง อากาศในถ้ำเย็นชื้น และเสื้อผ้าของพวกเขาเปียกชื้นจนต้องพาดไว้ใกล้กองไฟ เซียงหรงนั่งกอดเข่าห่างออกไปเล็กน้อย ดวงตาของนางมองเปลวไฟนิ่งราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์กระทั่งตงหยางมองนางด้วยสายตาขบขัน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าเคยคิดบ้างไหม ว่าแม้จะหนีการแต่งงาน แต่ในที่สุดเจ้าก็ต้องหาสามีอยู่ดี” เขาเอ่ยเสียงเบาเช่นเดิม “คุณหนูเฉิน เจ้ากล่าวว่าต้องการแน่ใจว่าจะสามารถส่งจดหมายถึงมือบิดาและพี่ชายที่อยู่ต่างเมือง จะทำเพียงส่งจดหมายบอกล่าวเล่าความ ไม่พบพวกเขา เจ้ามีพ่อและพี่ชายกลับคิดหนีหน้า เจ้าบอกว่ามีคู่หมั้น แต่ก็ไม่ปรารถนาที่จะแต่งงานกับคู่หมั้นผู้นั้น กลับมุ่งหมายออกบวชละกิเลสเสียมากกว่า ช่างไม่รู้เสียเลยว่าต่อให้เจ้าจะโกนผมโกนคิ้ว บุรุษที่ได้พบเห็นเจ้า พูดคุยกับเจ้า พวกเขาไหนเลยจะลืมเลือนเจ้าได้ลง เจ้าคิดว่าหากได้ออกบวช จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบได้จริงหรือ” เซียงหรงเงยหน้าขึ้นมองเขา สีหน้าของนางเย็นชา “ก็ยังดีกว่ามีสามี&rdquo
ยามบ่ายคล้อย แดดร่ม ลมตก เป็นช่วงเวลาที่เซียงหรงรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวที่สุดในช่วงวัน พื้นอารมณ์จึงค่อนข้างดีทว่าอารมณ์ดีๆ ของนาง กลับถูกทำลายลงด้วยเสียงเฉยชาที่ดังขึ้นทำลายความเงียบ“เป็นเช่นไรล่ะ คุณหนูเฉิน ใช้ชีวิตแบบนี้สนุกดีหรือไม่ ไม่ต้องมีคนคอยรับใช้ ไม่ต้องมีที่นอนอุ่นๆ ไม่ต้องกินอาหารดีๆ ใช้สองขาเดินทาง ร่อนเร่พเนจร ค่ำไหนนอนนั่น” นั่นประไร! นางรู้ว่าเขาคงอดทนไม่ว่านางได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามหรอก ยิ่งในตอนที่นางกำลังมี ‘ช่วงเวลาดีๆ’ รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวเช่นนี้ยิ่งแล้วใหญ่!เดินทางร่วมกันมาจนถึงตอนนี้ นางแทบจะนับเวลาที่เขาจะเอ่ยปากเหน็บแนมนางได้แม่นยำแล้ว!นางชำเลืองมองเขาด้วยสายตาขุ่นมัว “ไม่เห็นจะลำบากอะไร” นางตอบเสียงเรียบพลางรวบชายเสื้อที่ปลิวเพราะลมเย็นตงหยางหันมามองนาง หัวคิ้วของเขายกขึ้นเล็กน้อย “อ้อ เช่นนี้ไม่ลำบาก” เขาหัวเราะในลำคอ “เจ้านี่ช่างเป็นสตรีที่ดื้อดึงยิ่งนัก เจ้าอยากมีชีวิตแบบนี้ไปจนตายเช่นนั้นหรือ”นางหยุดเดิน หันไปสบตาเข
“ข้าขอร้อง...” เซียงหรงเงยหน้ามองเขาด้วยดวงตาที่เริ่มแดงก่ำ “ข้าไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ ที่บ้านของข้าในยามนี้ไม่มีใครที่ข้าจะไว้ใจได้อีก อีกทั้ง... อีกทั้งในเมืองหลวงยังมีสิ่งที่น่ากลัวมากๆ รอข้าอยู่ที่นั่น...” นางพยายามยื่นข้อเสนอ “ท่านช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ขอเพียงท่านช่วยสะสางเรื่องที่ยังค้างคาใจและพาข้าหลบหนีจากฝันร้ายเหล่านั้น ข้ายินดีติดตามรับใช้ท่านในฐานะบ่าวคนหนึ่ง จะไม่สร้างความลำบากใดใดให้ท่านจอมยุทธสักนิด”“บ่าวคนหนึ่ง...” ชายสวมหน้ากากนิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่ ก่อนถอนหายใจยาว “เอาเถิด หากเจ้าไม่สร้างปัญหาจริงดังปากว่า ข้าจะให้เจ้าเดินทางไปด้วย ระหว่างนั้นสบโอกาสค่อยหาทางส่งจดหมายไปถึงบิดาและพี่น้อง เรื่องคนของเจ้า สหายของข้าช่วยนางเอาไว้แล้ว”“จริงหรือ!”ได้ยินเช่นนี้ เซียงหรงโล่งใจเป็นอย่างยิ่งเขายังคงกล่าวต่อไป “ตงหลินผู้นี้เป็นสุภาพชน เชื่อถือได้ คนของเจ้าจะปลอดภัยอย่างแน่นอน หากเจ้าไม่มีความคิดอยากกลับบ้านก็ไม่ควรติดต่อ ‘คนของเจ้า’ ผู้นั้นอีก”แม้แว
เซียงหรงมองชายแปลกหน้าเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง แม้จะรู้สึกหวาดระแวงอยู่ลึกๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าชายร่างใหญ่ชุดดำสวมหน้ากากปกปิดใบหน้าผู้นี้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ ช่วยนาง...ทั้งในตอนที่นางเสี่ยงชีวิตกระโดดลงมาจากหน้าผาสูงชัน และตอนนี้สายตาของเฉินเซียงหรงกวาดมองไปรอบๆ อีกครั้งกระท่อมหลังนี้ดูเหมือนจะถูกปล่อยทิ้งร้างมานานแล้ว โต๊ะไม้ที่วางตะเกียงอยู่มีรอยถลอกลึก มุมหนึ่งของผนังมีช่องโหว่ที่ลมพัดผ่านเข้ามาได้ ดังนั้น นอกจากกลิ่นสาบภายในกระท่อมแล้ว ยามนี้นางได้กลิ่นสนเขาอ่อนๆ ลอยมากับสายลมนางเริ่มรู้สึกถึงความเย็นของกระแสลมที่กัดกินเนื้อหนัง“ข้าจะจดจำบุญคุณครั้งนี้ไว้จนวันตาย...ข้าจำได้ว่าคล้ายจะเห็นท่านพลิ้วตัวมารับร่างข้าไว้ก่อนจะตกลงไปในแม่น้ำ ท่านเป็นจอมยุทธ์ใช่หรือไม่ จึงสามารถช่วยข้าไว้ได้เช่นนี้” นางถาม น้ำเสียงเจือความขอบคุณเขาไม่ตอบไม่เพียงไม่ตอบ ยังเบนสายตาไปทางอื่นด้วยซ้ำดวงตาที่มองลอดหน้ากากนั้นยังคงนิ่งลึกท่าทางเช่นนี้...ดูๆ ไปแล้ว ก็คล้ายองครักษ์ที่รับหน้าที่ติดตามคุ้มกันนางเช่นกันหรือว่า...นางอดถามไม่ได้ “ท่านคือองครักษ์จากตำหนักจวิ้นหวังที่คอยติดตามคุ้มกันข้าหรือ?”“ไม่ใช
ยามเมื่อเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา นางรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่แทรกซึมผ่านผิวกาย แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันเล็กๆ บนโต๊ะไม้ส่องประกายริบหรี่สะท้อนเงามืดบนผนังไม้ที่แตกร้าวราวกับภาพเขียนที่น่าขนลุกภาพหนึ่ง รอบตัวนางในยามนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านช่องว่างของกระท่อมเก่าคร่ำคร่า“ท่านแม่...” นางยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดมารดาด้วยซ้ำทว่า... เพียงฝันไปหรอกหรือ?“ที่นี่ที่ไหน...” นางพึมพำแผ่วเบา รู้สึกร้าวระบมไปทั่วทั้งตัว เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเสื่อเก่าขาด มีหมอนสีดำสนิทที่คล้ายจะทำขึ้นมาด้วยการเอาเสื้อคลุมเปียกๆ ตัวหนึ่งมาหุ้มฟางรองศีรษะ กลิ่นอับของไม้ผุและฝุ่นทำให้นางแสบจมูกจนแทบทนไม่ไหวดวงตาของนางเลื่อนไปหยุดที่ร่างของชายคนหนึ่ง เขาสวมชุดสีดำทั้งตัว ใบหน้าครึ่งบนกว่าแปดส่วน[1]ถูกปกปิดด้วยหน้ากากโลหะรูปพยัคฆ์ เผยให้เห็นเพียงดวงตาคมดุสะท้อนแสงไฟสลัวเหมือนตาของสัตว์ร้ายเซียงหรงสะดุ้งเล็กน้อย ความหวาดกลัวไหลย้อนกลับมาบีบรัดหัวใจของนางไว้แน่นเสื้อคลุมที่ใช้ทำเป็นหมอนยังคงเปียกชุ่ม เสื้อผ้าผมเพ้าของคนผู้นี้เองก็ไม่ต่างกัน...สังเกตได้เท่านี้เฉินเซียงหรงก็ห