LOGINจวิ้นหวังเห็นท่าทีบุตรชายแล้วก็พลันหัวเราะ เอ่ยอย่างอารมณ์ดี
“บุตรชายของข้าเองก็นับเป็นผู้รักในรสสุราผู้หนึ่งเช่นกัน แม้ปกติยามอยู่ในสนามรบจะไม่แตะต้องสุรา ทว่ายามเสร็จสิ้นสงคราม เป็นต้องร่ำสุราบรรเลงฉินอยู่ผู้เดียวทุกครั้ง”
“ดื่มผู้เดียวหรือ” เฉินจิ้งอี้ถามอย่างแปลกใจ
“ถูกแล้ว” หลี่จือหลินยิ้มน้อยๆ
เฉินจิ้งอี้แย้มยิ้ม พอใจยิ่ง “คาดไม่ถึงว่าจวิ้นหวังจ๋างจื่อกับข้าจะคล้ายคลึงกันถึงเพียงนี้”
เซียงหรงพลันเข้าใจทันที ที่แท้ก็เพราะต้องการจะ ‘ดูคน’ จริงๆ ด้วย!
เซียงหรงมองจอกสุราลูกเหมยตรงหน้าอย่างใคร่รู้
ท่านอาจารย์ชายของนางเองก็เป็นผู้ชราที่รักในรสสุราผู้หนึ่ง ครั้งหนึ่งขณะสอนนางแยกแยะกลิ่นสุรา ท่านอาจารย์ของนางกล่าวว่าสุราลูกเหมยเป็นสุรารสอ่อน ซ้ำยังมีฤทธิ์เป็นยา สตรีเช่นนางจะดื่มสักจอกสองจอกก็ไม่เป็นไร ย่อมไม่เมามาย
เทียนจินเป็นแผ่นดินที่เปิดกว้าง ค่อนข้างให้อิสระสตรี หากวันนี้นางจะลองชิมรสสุรา...
เฉินเหม่ยเซียงถามขึ้นราวกับรู้ใจ “พี่หญิงจะไม่ลองชิมรสสุราที่พี่ชายใหญ่ของพวกเราเป็นผู้ลงมือหมักด้วยตนเองสักครั้งหรือเจ้าคะ” นางยกจอกสุราของตนเองขึ้น คล้ายต้องการชักชวนให้ลิ้มรสสุราพร้อมๆ กัน “โอกาสดีๆ เช่นนี้...หาไม่ได้แล้วนะเจ้าคะ”
ท่านอาจารย์กล่าวว่า จะดื่มสักจอกสองจอกก็ยังไม่เมามาย...
เอาเถอะ...เป็นสุราที่พี่ใหญ่หมักเอง คงไม่มีสิ่งใดต้องกังวลกระมัง
เซียงหรงยิ้มน้อยๆ ก่อนยกจอกสุราของตนเองขึ้นดมและจิบ ค่อยๆ ลิ้มรสหอมหวานแปลกประหลาดไปพร้อมๆ กับน้องห้า คาดไม่ถึงว่าหลังจากจิบสุราลูกเหมยไปได้ครู่เดียวจะรู้สึกอึดอัดร้อนรุ่มขึ้นมา
“พี่หญิง...ไม่ดื่มให้หมดจอกหรือเจ้าคะ” เฉินเหม่ยเซียงเอียงคอมองนาง ดวงตากระจ่างใสงดงามฉายแววขบขัน “หรือว่าจิบเข้าไปเพียงอึกเดียวก็เมาแล้ว”
เซียงหรงก้มลงมองจอกสุราในมือ เพียงเห็นจอกสุราคล้ายมีสองจอก ก็รีบวางจอกสุราลงทันที
“ดูท่า...พี่สามจะเมาแล้วจริงๆ” เซียงหรงรีบผายมือไปทางสาวใช้ข้างกาย
ซู่ซินกับชิงเสียเห็นดังนั้นก็รีบปราดเข้ามาประคองคุณหนูสามของตน
“คุณหนู...” ซู่ซินตื่นตระหนก รีบเตือนอย่างร้อนรน “รีบกลับเรือนเถิดเจ้าค่ะ”
“อืม...รีบกลับกันเถอะ” นางบอกเสียงเบา
แม้แต่ตัวเซียงหรงเองก็รู้สึกได้ว่าตนเองไม่ปกติเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านลุง ท่านป้าสะใภ้ ท่านพ่อ จวิ้นหวังจ๋างจื่อ...หรงเอ๋อร์รู้สึกไม่ค่อยสบาย เกรงว่าคงต้องขอตัวก่อนแล้วเจ้าค่ะ”
ยามนี้ใบหน้าขาวผ่องเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อจางๆ แล้ว
คนทั้งหมดมองจอกสุราบนโต๊ะสาวงามแล้ว พลันเข้าใจว่าคุณหนูสามที่ไม่เคยลิ้มรสสุราเกิดเมามาย
จวิ้นหวังเฟยรีบกล่าวอย่างเข้าใจ “หรงเอ๋อร์ไปพักผ่อนเถอะ ล้วนแล้วแต่เป็นครอบครัวเดียวกัน จะต้องเกรงอกเกรงใจไปไย”
“หรงเอ๋อร์เสียมารยาทแล้ว” เซียงหรงยอบกายทำความเคารพอย่างนอบน้อม
หลี่จือหลินมองตามร่างบอบบางของคู่หมั้นไปจนสุดสายตา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจิตใจจึงไม่สงบ ทั้งยังเป็นห่วงกังวลมากเท่านี้
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ







