เข้าสู่ระบบเสี่ยวเซียงหรงเห็นพี่ชายใหญ่ดูฮึกเหิมจริงจังก็อดขำไม่ได้
ดูเหมือนพี่ใหญ่ของนางจะถูกเกมทายปริศนาทำให้เพลิดเพลินจนไม่อาจถอนตัวโดยง่ายแล้ว
เมื่อเห็นว่ามีการท้าทายกันเกิดขึ้น คนทั้งหลายในบริเวณนั้นต่างก็พากันแห่เข้ามาร่วมฟังคำถามจากเถ้าแก่ และรอลุ้นว่าคุณชายที่ยังเยาว์ผู้นี้จะตอบคำถามไปได้สักกี่ข้อ ชั่วอึดใจเดียวหน้าร้านทายปริศนาก็มีผู้คนมามุงแน่นขนัด
เซียงหรงเองก็เพลิดเพลินไปกับการละเล่นทายปริศนาครั้งนี้ นางยืนฟังคำถามอย่างสงบ ขณะฟังไปก็คิดตามไปด้วย เถ้าแก่ถามมาสองข้อ นางก็ตอบในใจถูกทั้งสองข้อ ขณะกำลังตั้งใจฟังคำถามข้อที่สาม คาดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะมีมือคู่หนึ่งมาปิดปาก พอหันไปมองก็เห็นว่าเป็นพี่หญิงรอง เฉินเหม่ยลี่ และน้องสี่ เฉินเหม่ยเซียง
กำลังจะเอ่ยทัก พี่หญิงรองกลับดึงนางออกไปจากกลุ่มคนทั้งอย่างนั้น
เซียงหรงเห็นว่าพี่ใหญ่และน้องเล็ก รวมถึงบ่าวชายสาวใช้ที่ติดตามมาล้วนกำลังเพลิดเพลินกับการทายปริศนา ซ้ำพี่หญิงรองและน้องหญิงสี่ยังมีสาวใช้ตามมาด้วยคนละสองคน รวมเป็นสี่คน นางจึงไม่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่รบกวนความสนุกของผู้คน ยอมเดินตามพี่หญิงน้องหญิงของตนออกไปอย่างเงียบๆ
เดินห่างออกมามากหน่อย พี่หญิงรอง เฉินเหม่ยลี่ ก็เปิดปากพูดธุระของตนทันที “น้องสาม...น้องสี่ของข้าแย่งชิงเอาถุงเงินที่ท่านย่ามอบให้มาจากเจ้าใช่หรือไม่” เฉินเหมยลี่ถามด้วยสีหน้าจริงจัง น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความละอาย
พี่หญิงรอง เฉินเหม่ยลี่ อายุห่างจากพี่หญิงใหญ่ เฉินชิวเยว่ ไม่ถึงเดือน จึงมักวางตัวเป็นผู้ใหญ่ดั่งพี่หญิงใหญ่อยู่เสมอ ช่างน่าชื่นชมจริงๆ
เซียงหรงยิ้มให้พี่หญิงรองของตน กล่าวด้วยน้ำเสียงไพเราะน่าฟัง
“อันที่จริงข้าเป็นคนมอบถุงเงินนั่นให้น้องสี่ด้วยตนเอง น้องสี่หาได้แย่งชิงสิ่งใดจากข้าไม่”
เฉินเหม่ยลี่กลับส่งถุงเงินเจ้าปัญหาคืนมาให้ กล่าวเสียงเศร้าปนน้อยใจ “เจ้ารับคืนไปเถอะ หากท่านย่ารู้เข้าจะดุพวกเราพี่น้องเอาได้”
เฉินเหม่ยเซียงรีบพยักหน้าเออออ “ถูกแล้ว พี่หญิงสามรับคืนไปเถอะ...ข้า...เป็นข้าที่คิดน้อยจนเกินไป ครั้งนี้ถึงกับแย่งชิงเอาถุงเงินของท่านมา...หากท่านย่ารู้เข้า ข้า...ข้าไม่อยากถูกท่านย่าดุว่าและทำโทษแล้ว!” เฉินเหม่ยลี่เพิ่งจะฟันหลุดออกไปสองซี่จึงพูดไม่ชัดเล็กน้อย ทั้งอย่างนั้นใบหน้าเล็กๆ กับแววตาซื่อใสของนางก็น่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง
“ท่านย่าที่ไหนเลยจะดุว่าและทำโทษพี่หญิงรองกับน้องสี่ เรื่องครั้งนี้ หากท่านย่าถาม ข้าจะอธิบายให้ท่านย่าฟังด้วยตนเอง พี่หญิงรองและน้องสี่ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น”
เห็นเซียงหรงตอบด้วยแววตาซื่อใส ใบหน้าอาบรอยยิ้ม เฉินเหม่ยลี่ก็ถึงกับขมวดคิ้วแน่น “จะได้อย่างไร...”
“เช่นนั้นเอาอย่างนี้...ท่านไม่พูด ข้าไม่พูด พวกเราไม่พูด เท่านี้ท่านย่ารวมถึงคนอื่นๆ ก็ไม่รู้เรื่องนี้แล้ว” เซียงหรงพยายามหาทางออกให้
นางไม่อยากให้พี่หญิงรองและน้องสี่ต้องคิดมากหรือรู้สึกผิดใดใด จริงอยู่ว่านางเองก็เสียดายถุงเงินที่ท่านย่ามอบให้เล็กน้อย ทว่าเงินทองล้วนเป็นของนอกกาย หากทำให้พี่หญิงน้องหญิงของตนสุขใจ เช่นนั้นก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว
กลับเป็นเฉินเหม่ยลี่ที่ไม่ยอมปล่อยผ่าน
“จะได้อย่างไร...” นางกัดริมฝีปากขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็แย้มรอยยิ้มงดงามราวกับดอกเหมยแย้มกลีบ กล่าวเสียงใส “เช่นนี้ดีหรือไม่ ให้พวกเราพี่น้องใช้เงินนี่ซื้อขนมที่เจ้าอยากกินให้เจ้าให้มากๆ หน่อย...เริ่มจากถังหูลู่เป็นอย่างไร เจ้าชอบมากไม่ใช่หรือ แต่ท่านพ่อกลับไม่ยอมให้เจ้ากินมากจนเกินไป ข้าจำได้!”
นึกถึงถังหูลู่และขนมเลิศรสแล้ว เซียงหรงก็นัยน์ตาเป็นประกาย
ทว่าของที่ท่านพ่อไม่อนุญาตให้กิน จะให้ไปลอบกินเช่นนั้น นางก็รู้สึกไม่ดีนัก
“พี่หญิงรองกับน้องสี่นำเงินนั่นไปซื้อของที่อยากได้เถอะ ข้าไม่อยากได้อะไรจริงๆ”
“เจ้าโกหก” เฉินเหม่ยลี่รู้ทัน “เมื่อครู่นัยน์ตาเจ้าส่องประกายถึงเพียงนั้นจะไม่อยากกินได้อย่างไร...รับไว้เถอะ หากเจ้าไม่ยอมรับกระทั่งถังหูลู่เพียงไม้เดียว พี่รองอย่างข้าและน้องสี่คงไม่อาจปล่อยวางเรื่องนี้แล้ว!”
เสี่ยวเซียงหรงชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง
“ครั้งนั้นท่านพ่อกล่าวว่าไม่สมควรกินของเช่นนี้มากนัก ทว่าไม่ได้กล่าวว่ากินไม่ได้...เอาตามนี้ก็ได้ ข้าจะรับถังหูลู่จากพี่หญิงและน้องสี่ไม้หนึ่ง เช่นนี้พวกท่านคงสบายใจขึ้นแล้วกระมัง?”
“ประเสิรฐ!” เฉินเหม่ยลี่ยิ้มกว้าง จูงมือน้องหญิงสามน้องหญิงสี่ให้เดินตาม เบื้องหลังมีสาวใช้ทั้งสี่ตามติด บดบังร่างคุณหนูทั้งสามของจวนเฉินกั๋วกงเอาไว้อย่างมิดชิด
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ







