เข้าสู่ระบบเซียงหรงมุ่นหัวคิ้วเข้าหากันอย่างห้ามไม่อยู่ “อันที่จริง ชาดที่ทาไว้ก็สีอ่อนไปจริงๆ รบกวนพี่หญิงช่วยทาชาดตลับนั้นให้ข้าได้หรือไม่”
“คุณหนู!” ซู่ซินมองตลับชาดเหม่ยกุยอย่างระแวงระวัง
ไม่ทันที่ซู่ซินจะได้พูดอะไร เฉินเหม่ยลี่ก็รีบปราดเข้าประชิด หยิบพู่กันจุ่มน้ำมัน แตะไล้ชาดที่ตนนำมา ทาลงบนริมฝีปากจิ้มลิ้มอิ่มงาม
เฉินเหม่ยลี่พลันแย้มยิ้ม “งดงามเหลือเกิน งามเหมือนกลีบเหม่ยกุยแรกแย้มไม่มีผิด” นางบรรจงแต้มชาดอย่างเอาใจใส่ “ที่ผ่านมาน้องสามมีของดีใดก็ล้วนมอบให้พวกเราพี่หญิงน้องหญิง ไม่หวงแหน ครั้งนี้ได้มอบชาดที่ทั้งหอมและงดงามนี้ให้ตอบแทนเจ้าบ้าง พี่หญิงดีใจนัก” เฉินเหม่ยลี่บรรจงแต้มชาดอยู่ครู่ใหญ่ หลังตรวจดูว่าแต้มได้งดงามดีแล้ว ก็พยักหน้าพึงพอใจ “น้องสามช่างงดงามนัก จวิ้นหวังจ๋างจื่อจะต้องตกหลุมรักน้องสามจนถอนตัวไม่ขึ้นเป็นแน่” เฉินเหม่ยลี่ปาดน้ำตา แย้มยิ้มงดงามยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“พี่หญิง...” เหตุใดวันนี้พี่หญิงรองจึงได้อ่อนไหวนัก?
“พวกเราออกไปที่โถงรับแขกกันเถอะ” เฉินเหม่ยลี่ส่งตลับชาดให้สาวใช้ของตน ก่อนประคองน้องสาวต่างมารดาให้ลุกขึ้น
แม้เซียงหรงจะรักความสงบ แต่ก็ไม่ได้เห็นแก่ตัวถึงขั้นที่จะยอมให้จวนเฉินกั๋วกงและบิดาเสียหน้า อีกทั้งยังไม่ต้องการสร้างความลำบากใจให้พี่หญิงรอง สุดท้ายจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยไปก่อน ยอมให้พี่หญิงรองและเหล่าสาวใช้ช่วยกันประคองมุ่งหน้าไปยังโถงรับแขกเรือนประธานอย่างไม่อิดเอื้อน
ในตอนที่คุณหนูรองประคองคุณหนูสามของจวนออกมา แขกเหรื่อฝ่ายตำหนักจวิ้นหวังก็มาถึงพอดี
วันนี้หลี่จือหลินสวมชุดสีขาวปักลายเมฆมงคล ตลอดทั้งร่างดูสง่างามสูงส่งราวกับเทพเซียนจากสวรรค์ชั้นฟ้า พาให้ผู้คนตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
เซียงหรงอดรู้สึกไม่ได้ว่าสีขาวนั้นช่างเจิดจ้าโดดเด่นเหลือเกิน โดดเด่นเสียจนไม่อาจละสายตาไปจากคนผู้นั้นได้
หลี่จือหลินเองก็มองตรงมาที่นางเช่นกัน
เขาแย้มยิ้มทว่าไม่ได้กระทำตัวเสียมารยาทธรรมเนียม ทำเพียงเดินตามท่านลุงจวิ้นหวังและท่านป้าสะใภ้ของนางมานั่งยังที่ทางที่ถูกจัดเตรียมไว้ ทั้งสีหน้ากิริยาล้วนดูสงบไว้สง่า
หึ...ช่างสร้างภาพหลอกลวงผู้คนได้เก่งนัก!
เซียงหรงได้แต่ลอบเม้มริมฝีปากอย่างขัดใจ
งานเลี้ยงในวันนี้เป็นงานเลี้ยงสุราอาหารที่เรียบง่าย คนทั้งหมดก็เพียงแต่ร่วมกินอาหารและสนทนา ใช้ ‘ช่วงเวลาดีๆ’ ร่วมกันเท่านั้น
เซียงหรงไม่ได้รู้สึกว่าวันนี้คือ ‘ช่วงเวลาดีๆ’ ทั้งยังเหนื่อยหน่ายเต็มทีแล้ว จึงได้แต่คีบอาหาร ชิมน้ำแกง เลี้ยงดูปูเสื่อตนเองด้วยอาหารเลิศรส พยายามไม่มองไปทางจวิ้นหวังจ๋างจื่อบางคนที่เอาแต่จ้องมองตรงมาที่นาง
จ้องอยู่นั่นแหละ จ้องอยู่ได้ จ้องจนร่างจะพรุนอยู่แล้ว!
เซียงหรงหงุดหงิด ได้แต่คีบเนื้อปูจากต่างแดนที่ซู่ซินคอยแกะให้อย่างคล่องแคล่วเข้าปากอย่าง ‘สงบไว้สง่า’ อีกคำ
“ท่านลุง ท่านป้าสะใภ้ จวิ้นหวังจ๋างจื่อ ทุกท่าน” จู่ๆ พี่ใหญ่ของนาง เฉินจิ้งอี้ ก็เอ่ยขึ้นมา “นี่ก็คือสุราลูกเหมยที่ข้าเป็นผู้หมักด้วยตนเอง” เพียงเขาส่งสายตา เหล่าสาวใช้ก็ถือถาดบรรจุขวดและจอกสุราเข้ามาวางลงบนโต๊ะสุราอาหารของแขกเหรื่อตามลำดับศักดิ์ฐานะ
เฉินกั๋วกงส่ายหน้าน้อยๆ เอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “บุตรชายของข้า แม้จะร่ำเรียนจนสอบได้เป็นทั่นฮวา แท้ที่จริงแล้วกลับหลงใหลในรสสุราเป็นอย่างยิ่ง”
เซียงหรงชะงักไปทันที
หืม...? พี่ใหญ่ชื่นชอบสุราด้วยหรือ?
ยามอยู่ในจวน ตั้งแต่เล็กจนโต พี่จิ้งอี้ของนางดื่มสุรานับครั้งได้ แล้วจะนับเป็นผู้หลงใหลในรสสุราได้อย่างไร? กลับเป็นพี่ชายรองต่างหาก ที่ระยะนี้ดื่มสุราเมามายไม่เว้นวัน กระทั่งวันนี้ก็ยังเมาสุราไม่สร่าง จึงไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงสุราอาหารในครั้งนี้
หรือว่า...ท่านพ่อกับพี่ใหญ่หมายใจจะให้ผู้อื่นมองว่าพี่ใหญ่เองก็เป็นบุรุษมีตำหนิ ไม่ได้สะอาดหมดจดเลิศล้ำไปทุกอย่าง?
เพราะเหตุใด? หรือพี่ใหญ่สอบเข้ารับราชการแล้วพบเจอปัญหาใด?
ไม่ถูก...แม้จะเป็นงานเลี้ยง งานเลี้ยงครั้งนี้ก็เป็นเพียงงานเลี้ยงเล็กๆ ต้อนรับคนจากตำหนักจวิ้นหวัง กล่าวว่าเป็นงานเลี้ยงเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลก็ยังได้ แล้วท่านพ่อกับพี่ใหญ่จะยังต้องเล่นละครพรรค์นี้ไปเพื่ออะไร?
หรือว่า...จะดูคน?
ขณะเซียงหรงครุ่นคิดอยู่นั้น หลี่จือหลินยกจอกสุราขึ้นคลึงใต้จมูก แล้วชิม
“กลิ่นดี รสดี เป็นสุราที่ดียิ่ง!” กล่าวจบ หลี่จือหลินก็กรอกสุราที่ว่าที่พี่ภรรยาเป็นผู้หมักด้วยจนเองเข้าปากจนหมดจอก
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ







