ยามนี้ใบหน้าของนางซีดขาวราวกับไร้โลหิต ริมฝีปากที่เคยอิ่มงามและชุ่มชื้นแตกแห้งและสั่นระริกเพราะความหนาว กระแสลมหนาวเหน็บพัดเส้นผมที่ยาวสยายไร้ระเบียบของนางไปติดแก้ม บดบังทัศนวิสัยส่วนหนึ่ง นางพยายามจะยกมือขึ้นปัดมันออก แต่กลับแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้วสักนิด
ต้องหาที่หลบ...ก่อนที่คนร่างสูงนั่นกับคนพวกนั้นจะตามมาเจอ...
ยามนี้มีเพียงความคิดเหล่านี้เท่านั้นวนเวียนในหัวนาง นางพยายามเร่งฝีเท้าทั้งที่ร่างกายบอบช้ำจนแทบจะยืนไม่อยู่แล้วด้วยซ้ำ
ต้องไปต่อ...ต้องรอด...ต้องไม่ตาย...
พี่ซู่ซิน...พี่ใหญ่...น้องเล็ก...
จะต้อง...กลับไปให้ได้...
ฝ่ามือเล็กๆ ของนางกำหมัดแน่น สันกรามของนางขบกันจนปวดแปลบเพื่ออดทนกับความเจ็บปวด ดวงตาคู่หวานที่เคยทอประกายสดใสในยามปกติ บัดนี้เต็มไปด้วยแววหวาดหวั่นผสมความดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ แต่ยิ่งเดินเท่าไหร่ ผืนป่าก็ยิ่งมืดลงราวกับว่านางเลือกเส้นทางผิดพลาด
ราวกับว่า...ป่าแห่งนี้กำลังค่อยๆ กลืนกินนาง...
เซียงหรงรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังบีบรัดนางให้แหลกสลาย สองหูได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของตัวเองที่หนักหน่วงขึ้นทุกที
นางพยายามกัดฟันเดินต่อไปเรื่อยๆ แต่ร่างกายก็ไม่อาจฝืนได้อีกต่อไป
อ๊ะ!
ท้ายที่สุดขาทั้งสองข้างทรุดลงกับพื้น
เซียงหรงค่อยๆ ลากตัวไปนั่งพิงโคนต้นไม้ใหญ่
นั่นเป็นเรี่ยวแรงสุดท้ายที่นางมี
ตอนนี้นางไม่เหลือเรี่ยวแรงจะขยับกาย กระทั่งลมหายใจก็ยังรวยรินเต็มทีแล้ว
จะตายหรือ...ตายอย่างเสียเปล่าไปทั้งอย่างนี้...
นางค่อยๆ เอียงหน้ามองดวงจันทร์บนฟ้าที่เลือนรางเพราะกลุ่มเมฆหม่นเคลื่อนเข้าบดบัง
ยามนี้กระทั่งเมฆบนฟ้าก็ยังไม่เป็นใจให้นาง
“พี่ซู่ซิน...ข้าขอโทษ...” เซียงหรงพึมพำแผ่วเบา
นางยังไม่อยากยอมแพ้ ทว่าตอนนี้นางอ่อนล้าเหลือเกิน มัน...ทรมานยิ่งนัก
ความมืดค่อยๆ ถมทับร่างนางอย่างช้าๆ เสียงลมหายใจที่เบาลงเรื่อยๆ สะท้อนกับความว่างเปล่ารอบกาย
ท้ายที่สุด เฉินเซียงหรงค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง ความเจ็บปวดและความเหนื่อยล้าครอบงำจนนางหมดสติไป ร่างอ้อนแอ้นบอบบางแน่นิ่งในอ้อมแขนของราตรีที่คลี่คลุมมืดมิด
ในความมืดมิดที่ว่างเปล่าและหนาวเหน็บ เมื่อปรือตาขึ้นอีกครั้ง กลับปรากฏร่างสตรีงดงามเลิศล้ำในชุดสีขาวพิสุทธิ์ สตรีผู้นั้นดูสูงส่งสง่างามราวกับเทพเซียนจากสวรรค์ชั้นฟ้า
ทว่าเซียงหรงยังจำใบหน้านั้นได้ดี
“ท่านแม่...นั่นท่าน...” สายตาของนางพร่ามัวลงอีกครั้งด้วยกลุ่มก้อนน้ำตา เสียงที่เปล่งออกมากลับกลายเป็นเสียงสะอึกสะอื้น
ตอนนี้นางกล่าวสิ่งใดไม่ไหวอีกแล้ว
ท่านแม่...ท่านแม่...ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน!
ข้าเหนื่อย...ข้าทรมาน...ข้าเบื่อหน่าย...ตอนนี้ข้าจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว!
ที่ผ่านมาแม้จะแสร้งทำเหมือนว่าไม่รู้สึกอะไร แต่ข้าเหนื่อย...เหนื่อยเหลือเกิน
ข้าเหนื่อย ข้าทรมาน ข้าอึดอัด ข้าคิดถึงท่าน!
“โฮ!” เซียงหรงร้องไห้จนตัวโยน
‘ท่านแม่’ เข้ามาสวมกอดนางไว้และลูบผมปลอบโยน แววตาเจ็บปวดลึกล้ำ
“หรงเอ๋อร์...เด็กดี...ไม่เป็นอะไรแล้ว...เจ้าปลอดภัยแล้ว...”
เฉินเซียงหรงที่ยังคงสะอึกสะอื้นได้แต่ส่ายหน้าไปมาอยู่อย่างนั้น
“อดทนอีกนิด...อดทนไว้...”
“อดทนหรือ...” นางตอบทั้งสะอึกสะอื้น “...ได้...ฮึก...ข้าจะ...อดทน...อดทนต่อไปอีกสักนิด...”
“เฉินเซียงหรง อดทนไว้ อยู่กับข้า!” จู่ๆ เสียงของท่านแม่ก็กลายเป็นเสียงของจวิ้นหวังจ๋างจื่อ...พี่ชายผู้นั้น
นางพยายามมองหน้า ‘ท่านแม่’ ทว่ายามนี้ใบหน้าของท่านแม่กลับพร่ามัวยิ่งนัก อีกทั้งชุดสีขาวก็กลับกลายเป็นสีดำ น่าขนลุก
หรือว่าตอนนี้พญามัจจุราชจะมารับตัวนางแล้ว?
ไม่! “...ไม่เอา...ข้าไม่ยินยอม...ข้าไม่ไปกับท่าน...” นางพยายามกระถดถอยหนี แต่ความมืดกลับคลี่คลุมห่อหุ้ม รัดรั้งตัวนางไว้แน่นนัก
เซียงหรงมองชายแปลกหน้าเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง แม้จะรู้สึกหวาดระแวงอยู่ลึกๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าชายร่างใหญ่ชุดดำสวมหน้ากากปกปิดใบหน้าผู้นี้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ ช่วยนาง...ทั้งในตอนที่นางเสี่ยงชีวิตกระโดดลงมาจากหน้าผาสูงชัน และตอนนี้สายตาของเฉินเซียงหรงกวาดมองไปรอบๆ อีกครั้งกระท่อมหลังนี้ดูเหมือนจะถูกปล่อยทิ้งร้างมานานแล้ว โต๊ะไม้ที่วางตะเกียงอยู่มีรอยถลอกลึก มุมหนึ่งของผนังมีช่องโหว่ที่ลมพัดผ่านเข้ามาได้ ดังนั้น นอกจากกลิ่นสาบภายในกระท่อมแล้ว ยามนี้นางได้กลิ่นสนเขาอ่อนๆ ลอยมากับสายลมนางเริ่มรู้สึกถึงความเย็นของกระแสลมที่กัดกินเนื้อหนัง“ข้าจะจดจำบุญคุณครั้งนี้ไว้จนวันตาย...ข้าจำได้ว่าคล้ายจะเห็นท่านพลิ้วตัวมารับร่างข้าไว้ก่อนจะตกลงไปในแม่น้ำ ท่านเป็นจอมยุทธ์ใช่หรือไม่ จึงสามารถช่วยข้าไว้ได้เช่นนี้” นางถาม น้ำเสียงเจือความขอบคุณเขาไม่ตอบไม่เพียงไม่ตอบ ยังเบนสายตาไปทางอื่นด้วยซ้ำดวงตาที่มองลอดหน้ากากนั้นยังคงนิ่งลึกท่าทางเช่นนี้...ดูๆ ไปแล้ว ก็คล้ายองครักษ์ที่รับหน้าที่ติดตามคุ้มกันนางเช่นกันหรือว่า...นางอดถามไม่ได้ “ท่านคือองครักษ์จากตำหนักจวิ้นหวังที่คอยติดตามคุ้มกันข้าหรือ?”“ไม่ใช
ยามเมื่อเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา นางรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่แทรกซึมผ่านผิวกาย แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันเล็กๆ บนโต๊ะไม้ส่องประกายริบหรี่สะท้อนเงามืดบนผนังไม้ที่แตกร้าวราวกับภาพเขียนที่น่าขนลุกภาพหนึ่ง รอบตัวนางในยามนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านช่องว่างของกระท่อมเก่าคร่ำคร่า“ท่านแม่...” นางยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดมารดาด้วยซ้ำทว่า... เพียงฝันไปหรอกหรือ?“ที่นี่ที่ไหน...” นางพึมพำแผ่วเบา รู้สึกร้าวระบมไปทั่วทั้งตัว เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเสื่อเก่าขาด มีหมอนสีดำสนิทที่คล้ายจะทำขึ้นมาด้วยการเอาเสื้อคลุมเปียกๆ ตัวหนึ่งมาหุ้มฟางรองศีรษะ กลิ่นอับของไม้ผุและฝุ่นทำให้นางแสบจมูกจนแทบทนไม่ไหวดวงตาของนางเลื่อนไปหยุดที่ร่างของชายคนหนึ่ง เขาสวมชุดสีดำทั้งตัว ใบหน้าครึ่งบนกว่าแปดส่วน[1]ถูกปกปิดด้วยหน้ากากโลหะรูปพยัคฆ์ เผยให้เห็นเพียงดวงตาคมดุสะท้อนแสงไฟสลัวเหมือนตาของสัตว์ร้ายเซียงหรงสะดุ้งเล็กน้อย ความหวาดกลัวไหลย้อนกลับมาบีบรัดหัวใจของนางไว้แน่นเสื้อคลุมที่ใช้ทำเป็นหมอนยังคงเปียกชุ่ม เสื้อผ้าผมเพ้าของคนผู้นี้เองก็ไม่ต่างกัน...สังเกตได้เท่านี้เฉินเซียงหรงก็ห
ยามนี้ใบหน้าของนางซีดขาวราวกับไร้โลหิต ริมฝีปากที่เคยอิ่มงามและชุ่มชื้นแตกแห้งและสั่นระริกเพราะความหนาว กระแสลมหนาวเหน็บพัดเส้นผมที่ยาวสยายไร้ระเบียบของนางไปติดแก้ม บดบังทัศนวิสัยส่วนหนึ่ง นางพยายามจะยกมือขึ้นปัดมันออก แต่กลับแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้วสักนิดต้องหาที่หลบ...ก่อนที่คนร่างสูงนั่นกับคนพวกนั้นจะตามมาเจอ...ยามนี้มีเพียงความคิดเหล่านี้เท่านั้นวนเวียนในหัวนาง นางพยายามเร่งฝีเท้าทั้งที่ร่างกายบอบช้ำจนแทบจะยืนไม่อยู่แล้วด้วยซ้ำต้องไปต่อ...ต้องรอด...ต้องไม่ตาย...พี่ซู่ซิน...พี่ใหญ่...น้องเล็ก...จะต้อง...กลับไปให้ได้...ฝ่ามือเล็กๆ ของนางกำหมัดแน่น สันกรามของนางขบกันจนปวดแปลบเพื่ออดทนกับความเจ็บปวด ดวงตาคู่หวานที่เคยทอประกายสดใสในยามปกติ บัดนี้เต็มไปด้วยแววหวาดหวั่นผสมความดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ แต่ยิ่งเดินเท่าไหร่ ผืนป่าก็ยิ่งมืดลงราวกับว่านางเลือกเส้นทางผิดพลาดราวกับว่า...ป่าแห่งนี้กำลังค่อยๆ กลืนกินนาง...เซียงหรงรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังบีบรัดนางให้แหลกสลาย สองหูได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของตัวเองที่หนักหน่วงขึ้นทุกทีนางพยายามกัดฟันเดินต่อไปเรื่อยๆ แต่ร่างกายก็ไม่อาจฝืนได้อีกต่อไ
แต่ทุกสิ่งรอบตัวกลับไม่ช่วยให้นางมีหวังต้นไม้สูงใหญ่ที่ล้อมรอบนางดูเหมือนเงาดำมืดที่คอยซุ่มมอง ยามนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นเพียงป่ารกครึ้มที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิตราวกับว่านางเดินพลัดหลงเข้ามาในโลกของภูติผีในเรื่องเล่า มีเพียงเสียงแมลงกลางคืนที่พอจะฟังคุ้นหูและเสียงน้ำไหลเบาๆ จากที่ไกลๆ ที่บอกให้รู้ว่านางยังคงมีชีวิตเซียงหรงก้าวขาเดินโซซัดโซเซ สะดุดล้มไปกับพื้นก็หลายครั้ง แขนเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยรอยข่วนจากกิ่งไม้ใบหญ้าพยายามยันตัวลุกขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาที่พร่ามัวลงทุกขณะคอยมองหาที่หลบภัยโดยสัญชาตญาณ แต่ก็พบเพียงความมืดดำว่างเปล่าหรือสัญชาตญาณของสตรีที่เอาแต่เก็บตัวเงียบเชียบในเรือนหลังจะไม่ดีพอ?ไม่ต้องพูดถึงการเดินเท้าในป่ารกครึ้มตอนกลางคืนเช่นนี้ กับแค่การออกนอกจวน นางยังได้ทำนับครั้งได้ด้วยซ้ำ"แต่ข้าจะไม่ตาย...ต้องไม่ตาย..." นางพร่ำบอกตัวเองน้ำเสียงแหบพร่า พยายามเค้นสมองนึกให้ออกว่าสรรพตำราที่เคยอ่านมาทั้งหมดและท่านอาจารย์ผู้ชราทั้งสองของตนเคยกล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับป่าและการหาทิศเอาไว้อย่างไรดาว...พวกคนเดินเรือใช้ดาว...“กลางคืนมีดาว...ถูกแล้ว...ดาว...” นางพยายามตั
กลางดึกอันหนาวเหน็บ เสียงแมลงกลางคืนกรีดร้องผสานเสียงกระแสลมหวีดหวิวผ่านกิ่งไม้สูงฟังแล้วน่าขนลุก เฉินเซียงหรงรู้สึกตัวขึ้นมาก็พบว่าตนเองโชคดีถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากซัดมาเกยริมตลิ่ง ทว่ายามนี้ร่างกายเปียกปอนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้านางจำได้ดี ว่าก่อนหน้านี้ ตอนที่ตกลงมา มีบุรุษร่างใหญ่ผู้หนึ่งดิ่งตัวตามลงมารวบตัวนางไว้ เดาว่าคงไม่พ้นเป็นคนของพี่ชายรอง หรือไม่ก็เป็นคนของ...อนุหาน?เมื่อนึกถึงเรื่องที่เหตุการณ์ครั้งนี้อาจเป็นแผนการของอนุหาน นางก็ทั้งผิดหวังเสียใจที่ความปรารถนาดีของนางรวมถึงความใจกว้างที่แล้วๆ มา ที่มีต่อ ‘ท่านแม่ทั้งสาม’ และพี่น้องต่างมารดาในจวนรวมถึงคนของพวกเขาทั้งหมดกลายเป็นเรื่องโง่เง่า และยิ่งกว่าเสียใจที่ไม่เชื่อคำเตือนของน้องชายสาม ทั้งยังโกรธตนเองที่ได้แต่รับการปกป้องจากพี่ซู่ซินของนางเช่นนี้ทว่ายามนี้ไม่อาจย้อนเวลาไปแก้ไขสิ่งใดแล้วทั้งนั้น สิ่งที่นางทำได้มีเพียงการพยายามเอาชีวิตรอดกลับไป...กลับไปเพื่อหยุดยั้งคนเหล่านั้น ไม่ให้แตะต้องพี่ชายและน้องชายร่วมครรภ์มารดาของนาง และเผื่อว่าจะสามารถช่วยเหลือพี่ซู่ซินที่เอาตัวเองเข้าปกป้องนางในเรื่องใดได้บ้างนางจะต้องมีชีวิต
เซียงหรงรีบวิ่งไปอย่างไม่รู้ทิศทาง เมื่อมาถึงลานด้านหน้า กลุ่มบ่าวชายที่เฉินจื้อเฉิงสั่งการกลับมายืนดักหน้าไว้ด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม“พวกเจ้า...คิดจะทำอะไร!” เซียงหรงตะโกนพลางถอยหลังกรูดคนกลุ่มนั้นหัวเราะเยาะ “ก็แค่ทำให้คุณหนูหลบเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป ยังไงคุณชายรองก็รักใคร่ในตัวท่านมาก ท่านก็สมควรตอบแทนเขาเสียหน่อย”“องครักษ์! ท่านองครักษ์!” เซียงหรงร้องเสียงดังขึ้น อดแปลกใจไม่ได้ที่พวกนางเสียงดังอึกทึกครึกโครมถึงเพียงนี้ กลับไม่มีใครในวัดเยี่ยมหน้าออกมาดูเลยสักนิด“องครักษ์ตระกูลจวิ้นหวัง...พวกเจ้าทำอะไรเขา!”พวกบ่าวรับใช้ต่างหัวเราะครึกครื้น “พวกบ่าวที่ไหนจะทำอะไรยอดฝีมือจากตำหนักจวิ้นหวังท่านนั้นได้...ผู้ที่จัดการกับเขา เดาว่าคงเป็นคนของฟูเหรินกระมัง”ฟูเหรินที่ใด?! เซียงหรงพลันหนังศีรษะชาวาบ “หรือว่า...หมายถึง...อนุหาน...?”“ไม่รู้สิขอรับ สำหรับพวกเราบ่าวรับใช้ ผู้ใดคือฟูเหริน ผู้นั้นก็คือฟูเหริน”เซี