เข้าสู่ระบบกู้อิงเถาถึงกับหน้าหรา นางลืมไปว่าตนเองอยู่ที่นี่เพราะอะไร “เอ่อ… รัชทายาทหม่อมฉันยังป่วยอยู่เพคะ หากเดินทางเกรงว่าจะอาการหนัก” อิงเถารีบหันไปหาผู้ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะ
“แต่ที่ข้าจับชีพจรดู อาการของท่านดีขึ้นมากแล้วนะคุณหนูกู้ ไม่ทราบว่าหมอที่ตรวจให้ท่านก่อนหน้านี้มาจากสำนักไหนหรือ ถึงพิจารณาอาการออกมาได้ว่าไม่อาจเคลื่อนย้ายร่างกาย ดูท่าวันพรุ่งคงต้องให้รัชทายาทตรวจสอบแล้วกระมัง” จิ่นหรงลุกพรวดเดินเข้ามาหาชายาตนทันที “หมายความว่าอย่างไร เจ้าจะบอกว่าหมอหลวงที่มาตรวจวินิจฉัยผิดหรือ” “รัชทายาทก็ทรงตรวจสอบดูสิเพคะ” ตันหยางเงยหน้าขึ้นมายิ้มอ่อนให้เขา ก่อนจะหันมาหาผู้ที่นั่งอยู่บนเตียงซึ่งหน้าซีดเผือดลงไปแล้ว ไม่ต่างจากคนที่กำลังป่วยหนักเลย “พระชายาตรัสเช่นนี้ก็แสดงว่า คุณหนูผู้นี้ร่วมมือกับหมอหลวง หลอกรัชทายาทว่าตนป่วยหนักหรือเพคะ” สนมเกาเอ่ยในสิ่งที่ตนคิดออกมาดังพอให้คนบนเตียงหน้าซีดกว่าเดิม “มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่ข้าเอ่ยก็ได้ ไม่แน่ว่าอาการของคุณหนูกู้ก่อนหน้าอาจจะแพ้อะไรจริง ๆ ทว่าดื่มยาไปนางก็มีอาการดีขึ้น ทำให้ข้าตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติก็เท่านั้น” “ใช่ ๆ ก่อนนี้ข้าหายใจไม่ค่อยออก รู้สึกเวียนหัวมาก แต่ยามนี้ดีขึ้นแล้ว เลยทำให้พระชายาตรวจหาอาการไม่เจอ” อิงเถารีบเอ่ยตามคำของตันหยาง ด้วยความตื่นกลัว “งั้นหรือ ก็ดี! ในเมื่อเจ้าอาการดีขึ้นแล้วก็ดี เช่นนั้นข้าจะให้คนไปส่งเจ้าที่หน้าประตูวัง แล้วต่อไปอย่าได้มาที่นี่อีก ส่วนเรื่องบุญคุณที่เจ้าเคยช่วยดูแลข้า เอาไว้ข้าจะส่งข้าวของเงินทองไปให้ก็แล้วกัน จินเฉิง! ออกไปส่งคุณหนูกู้ประเดี๋ยวนี้” “ระ… รัชทายาทเพคะ แต่หม่อมฉันยังมีเรื่องอยากคุยกับพระองค์ ขอเวลาสักประเดี๋ยวมิได้หรือเพคะ” จิ่นหรงไม่แม้แต่จะหันมามองนาง เขากุมมือชายาได้ก็พาออกมาทันที โดยมีสนมเกาเดินตามไม่ห่าง กระทั่งมาถึงเรือนพักของตันหยาง ร่างสูงก็หันกลับมาหาผู้ที่เดินตามหลังมาติด ๆ เมื่อเขาหยุดนางจึงเดินชนอย่างจัง ทว่าจิ่นหรงกลับไม่แม้แต่จะเอื้อมมือออกไปรับ เขาแทบจะไม่ขยับด้วยซ้ำ “ระ… รัชทายาท” เกาไห่ถังยิ้มแหย “ไห่ถัง ข้ารับเจ้ามาเป็นสนมนานแค่ไหนแล้ว” “สี่เดือนเพคะ” ตอบรับแล้วนางก็ยิ้มหวานให้เขา เพราะนี่คือครั้งแรกที่ผู้เป็นสามีเอ่ยถามและพูดจาดีดีด้วย “สี่เดือน แล้วข้าไปหาเจ้ากี่ครั้ง” เกาไห่ถังถึงกับนิ่งงัน เพราะคำตอบมันคือศูนย์ “มะ… ไม่เคยเพคะ” “ไม่เคย และต่อไปก็จะไม่เหมือนเช่นเคย ฉะนั้นข้ามีทางเลือกให้เจ้า ปลดเจ้าพร้อมกับทรัพย์สินเงินทองมากมาย ให้เจ้าอยู่สุขสบายไปทั้งชาติ หรือถ้าเจ้ามีบุรุษที่พึงใจก็บอก ข้าจะจัดการให้เจ้าได้แต่งกับเขา ภายหน้าจะได้มีชีวิตที่สงบสุข ไม่ต้องมาทนทุกข์เพราะรอคอยให้ข้าไปหา แต่ถ้าตอนนี้เจ้ายังคิดไม่ได้ อีกสามวันเจ้าค่อยมาให้คำตอบข้า” สิ้นคำเขาก็จูงมือชายาตนเดินขึ้นเรือนไปโดยไม่แยแสคนด้านหลังเลย ตันหยางไม่ได้ตำหนิหรือเอ่ยอันใดเพื่อย้ำเตือนการกระทำของเขา แม้ว่าสิ่งที่พระสวามีทำมันจะใจร้ายต่อสนมเกาก็ตามที ทว่าหากเทียบกับระยะเวลาที่นางถูกรับเข้ามาถึงสี่เดือน แต่ไม่เคยได้ร่วมห้องกับสามีเลย มันน่าเวทนากว่าการถูกปลดเสียอีก แต่ถ้าเป็นนาง แน่นอนว่าการได้ออกจากรงทองแห่งนี้ ตันหยางเต็มใจยิ่งนัก เพราะตั้งแต่แรกนางก็ไม่ได้อยากมาอยู่ที่นี่ กรงทองที่สตรีมากมายล้วนแต่อยากเข้ามา เมื่อกลับเข้ามาในห้อง จิ่นหรงก็ปล่อยมือชายาตนแล้วเดินตรงไปที่เตียง ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนแผ่หราอย่างหมดอาลัย ตันหยางจึงเดินออกมาสั่งบางอย่างกับคนสนิทตน ก่อนจะเดินเข้าไปหาคนบนเตียงแล้วนั่งลงข้างศีรษะเขา “ขยับมานอนตรงนี้เพคะ” จิ่นหรงเอียงคอมองอย่างไม่เข้าใจ เมื่อเห็นมือขาวตบลงบนตัก เขาจึงขยับมานอนหนุน พร้อมกับเหลือบตามองนาง “หลับตาเพคะ” เอ่ยบอกเขาเสียงอ่อน พออีกฝ่ายทำตาม นางก็เอายาสมุนไพรปละพรมบนมือ ก่อนจะนวดลงไปตามผิวหน้าเขา ตามขมับและบนศีรษะไปเรื่อยทั่วทุกส่วนด้านบน “เจ้าคิดว่าข้าโง่ใช่หรือไม่” เขาเอ่ยถามโดยไม่ได้ลืมตา “เรื่องไหนเพคะ” ปากถามแต่มือนางก็ยังขยับ “ก็เรื่องที่กู้อิงเถาแสร้งทำเป็นว่าป่วย” ครานี้เขาเปิดเปลือกตาขึ้น พร้อมกับจ้องมองใบหน้างามที่อยู่ห่างไม่มาก “นางอาจจะป่วยจริง ๆ ก็ได้เพคะ แต่ก็หายแล้ว เพียงแต่” “เพียงแต่นางให้หมอหลวงช่วยพูดจาโป้ปดว่าอาการยังหนัก ไม่อาจขยับเขยื้อนตัว เจ้าหมายถึงเรื่องนี้ได้ใช่หรือไม่” “พระองค์ทรงรู้ในทันที ก็ไม่ได้โง่นี่เพคะ” “นี่เจ้า” จิ่นหรงถลึงตาใส่ แต่พอเห็นนางยิ้มเขาก็นิ่งไป “พระองค์ไม่ได้โง่เขลาหรอกเพคะ เพียงแต่ไม่ค่อยทันคนก็เท่านั้น รัชทายาททรงเป็นคนมีจิตใจเมตตา จึงถูกคนเห็นแก่ตัวหลอกลวงได้ง่าย ควรต้องหัดใจแข็งและรู้จักมองท่าทางการกระทำของผู้อื่นให้มาก สีหน้า แววตา มือ สิ่งที่หม่อมฉันเอ่ยมา ล้วนแต่สื่อถึงพฤติกรรมของคนผู้นั้นได้ดี” จิ่นหรงขยับลุกนั่งทันที เขามองนางราวกับคนที่ไม่เคยพบมาก่อน “เจ้ากำลังสอนข้ากระนั้นหรือ” สีหน้าเขาไม่ได้มีแววเคืองขุ่น ทว่าคำถามมันทำให้คนฟังรู้สึกเช่นนั้น “หากสอนแล้วจำและทำได้ก็อยากสอนเพคะ ภายหน้าพระองค์จะได้ไม่ถูกคนอื่นหลอกเอาง่าย ๆ อีก แต่ถ้ารัชทายาทคิดว่าหม่อมฉันล่วงเกิน ก็ต้องขอพระราชทานอภัยเพคะ” “ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น เพียงแต่… เจ้าคิดว่าข้าเป็นบุรุษอ่อนด้อยถึงกระนั้นหรือ ถึงกับให้สตรีเช่นเจ้ามาสั่งสอน” จิ่นหรงหันหน้าหนี เขารู้สึกถูกด้อยค่าอย่างไรไม่รู้ “นอนลงเพคะ หม่อมฉันจะเล่าอะไรให้ฟัง” มือขาวรั้งเอาไหล่เขาให้นอนลงมาอีกครั้ง จากนั้นนางก็บีบนวดให้เขา “ก่อนอภิเษก หม่อมฉันคือผู้ดูแลสำนักคุ้มภัยของท่านปู่ คาราวานที่พระองค์เคยเห็นเพคะ ในหนึ่งปีเราจะเดินทางไปต่างเมืองนับครั้งไม่ถ้วนพบเจอเรื่องน่าตื่นเต้นมากมาย” “ดีจริง” จิ่นหรงเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว “เพคะ มันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับหม่อมฉัน เพราะมันสนุกที่ได้เห็นแผ่นดินอันกว้างใหญ่ สถานที่หลายแห่งที่ต่างออกไป บางพื้นที่มีน้ำท่วม บางพื้นที่แห้งแล้ง บางพื้นที่อุดมสมบูรณ์ และบางคราเราก็ได้ต่อสู้กับกลุ่มโจร ทว่าทุกสิ่งที่หม่อมฉันเล่ามา กลับเป็นเพียงแค่การได้สัมผัสพบเห็น แต่มิอาจแก้ไขอันใดได้” จิ่นหรงรีบขยับพลิกตัวเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยกับนางอย่างเร่งรีบ “จะเป็นไปได้อย่างไร เจ้าสามารถเอ่ยเล่าเรื่องราวปัญหาเหล่านี้ให้ขุนนางในราชสำนักรับรู้และนำไปแก้ไขได้ หรือถ้าไม่กล้าก็บอกข้า ข้าจะจัดการแก้ไขปัญหาที่เจ้าพูดถึงเอง” ตันหยางยิ้มอ่อนก่อนจะจับเขาพลิกนอนลงตามเดิม แล้วจึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “เห็นหรือยังเพคะว่าพระองค์มิได้อ่อนด้อย มนุษย์เรามีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน ความสามารถก็เช่นกัน หม่อมฉันทำได้แค่บอกเล่าเรื่อง เพราะไม่มีความรู้เกี่ยวกับการแก้ปัญหาตรงนี้ ทว่าพระองค์สามารถทำได้ เพราะพระองค์เรียนรู้หลักการนี้มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ส่วนเรื่องที่หม่อมฉันอยากสอนมิใช่เกี่ยวกับว่าพระองค์โง่เขลา หม่อมฉันแค่อยากเติมสิ่งที่ขาดหายของพระองค์ให้มันเต็มเท่านั้น เมื่อถึงเวลาปกครองบ้านเมือง จะได้เป็นกษัตริย์ที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม เมตตาและเด็ดขาดเพคะ” จิ่นหรงขยับลุกนั่งอีกหน พร้อมกับมองใบหน้าหวานที่เผยยิ้มอ่อนให้เขา มันเป็นเช่นนี้เสมอแม้ในยามที่เขาตำหนินาง “เจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อตำแหน่งฮองเฮาในวันหน้าสินะ” เอ่ยถามสิ่งที่อยู่ในใจ อีกฝ่ายก็ยังยิ้มให้ก่อนจะเอ่ยว่า “หากรัชทายาททรงคิดว่าหม่อมฉันไม่เหมาะที่จะเป็นฮองเฮา เช่นนั้นพระองค์ก็ทรงสั่งปลดหม่อมฉันเลยสิเพคะ หม่อมฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่” ตันหยางตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ จิ่นหรงนิ่งงันไปกับคำพูดนาง แต่เพียงไม่นานเขาก็ตอบกลับเสียงดัง “มู่ตันหยาง เจ้ารู้ดีว่าต่อให้ข้าอยากทำ เสด็จพ่อและเสด็จย่าก็ไม่มีทางยอมให้ข้าปลดเจ้า ฉะนั้นอย่าได้มาพูดจาหาเรื่องให้ข้าเสียดีกว่า” สิ้นคำร่างสูงก็ลุกเดินหนีออกไปจากห้อง จิ่นหรงนึกไม่ถึงจริง ๆ ว่านางจะไม่ไยดีฐานะชายาเขาเพียงนี้ ‘สำหรับเจ้า ข้ามันไม่ควรค่าที่จะยื้อไว้เลยหรือ’สองเค่อต่อมา [ครึ่งชั่วโมง]มู่หลิงก็ปรากฏตัวในห้องผู้เป็นนาย“พวกเจ้าออกไปเถิด มีแค่คนของข้าก็พอแล้ว” ตันหยางเอ่ยบอกนางกำนัลทั้งสอง เมื่อประตูปิดลงนายบ่าวก็เดินมาที่โต๊ะ“พระชายาจะทำอันใดหรือเพคะ”“ข้าสงสัยว่าคนที่เลี้ยงนกน่าจะเป็นสนมผิง”“สนมผิง” มู่หลิงเอ่ยเสียงแผ่ว “จะเป็นไปได้เช่นไรเพคะ”“เมื่อกลางวันข้าได้กลิ่นสาปบนตัวของนางกำนัลที่อยู่ข้างกายสนมผิง ข้าจึงแสร้งขอตามนางไปที่ตำหนักเพื่อดูโรงเพาะสมุนไพร นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับสิ่งผิดปกติหลายอย่าง เรือนเก่าด้านหลังน่าจะเป็นที่เลี้ยงนก แต่นางรอบคอบมาก แขวนกระดิ่งไว้ทั่วตำหนักเชียว คงคิดเอามากลบเสียงของพวกมันกระมัง แต่เผอิญกลิ่นสาปมันรุนแรงเกินไป แม้จะใช้กลิ่นดอกไม้รวมถึงพืชสมุนไพรในตำหนักมากลบ มันก็ยังลอยเล็ดลอดมาให้สัมผัสพบเจอเข้าจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน”“ทราบแล้วเพคะ” มู่หลิงตอบรับ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกว่า“แล้วพระชายาจะไม่แจ้งให้รัชทายาทรู้หรือเพคะ”“แจ้งสิ แต่ต้องหลังจากเราหาหลักฐานที่แน่ชัดได้ก่อน ยามนี้เขาก็คงวุ่นวายอยู่เหมือนกัน” ช่วงหลังน้ำเสียงนางแผ่วลง“มีเรื่องหนึ่ง หม่อมฉันไม่รู้ควรทูลหรือไม
นับจากวันนั้นทั้งคู่ก็เหมือนจะห่างกันมากขึ้น จิ่นหรงออกจากตำหนักเช้ากว่าจะกลับก็มืดค่ำ วนเวียนเช่นนี้มานานกว่าห้าวันแล้ว ซึ่งตันหยางรู้ดีว่าเขากำลังยุ่งกับงาน นางจึงไม่เข้าไปวุ่นวายอะไร แต่ก็ยังมีแอบไปสืบข่าวที่ตำหนักใหม่ไทเฮาอยู่บ้างอย่างเช่นวันนี้นางก็กำลังจูงพระหัตถ์ไทเฮาเดินเล่นอยู่ในสวน มีข้ารับใช้เดินตามอีกหกคน นางจึงคอยสังเกตุท่าทางคนเหล่านี้ แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นคนที่ตนเคยช่วยชีวิตไว้ก็ตาม“หยางเอ๋อร์ ย่าได้ยินว่าเจ้ากับรัชทายาทยังไม่เข้าหอกันอีกหรือ เป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่ย่าจะได้อุ้มเหลนกันล่ะ” คนแก่เอ่ยมาทีก็ทำให้คนที่เดินประคองต้องหยุดชะงักตันหยางยิ้มแห้งก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “เสด็จพี่ทรงงานหนัก หม่อมฉันจึงไม่อยากรบกวนเขาเพคะ”คนแก่จึงหันมาหาพร้อมกุมมือแล้วเอ่ยว่า “เป็นสามีภรรยากัน ใช้คำว่ารบกวนไม่ได้นะ สิ่งที่เจ้าควรทำคือต้องรีบมีทายาทสืบสกุลให้เชื้อสายเรา รากฐานบ้านเมืองจะได้มั่นคง”“เพคะ เอาไว้หม่อมฉันจะหาโอกาสเหมาะ รีบทำเหลนให้เสด็จย่าเพคะ” ตันหยางเอ่ยเอาใจคนแก่“ดี! ต้องอย่างนี้สิ” ไทเฮายิ้มชอบใจ ก่อนจะพากันเดินชมสวนต่อ ตันหยางก็ได้แต่ฉีกยิ้มซ้ายทีขวา
หลังจากชายาตนกลับมาพูดดีด้วย จิ่นหรงก็เริ่มหันมาหารือกับขุนนางทั้งสามต่อ “วันพรุ่งข้าจะให้หัวหน้าองครักษ์จินอู่ตรวจสอบว่าตำหนักใดเลี้ยงนก รวมถึงคนที่มีบาดแผลขีดข่วน คาดว่าไม่เกินสามวันคงได้ความ เพราะช่วงนี้ในวังตรวจตราเข้มงวดขึ้น เราก็อาศัยเรื่องนี้ตรวจหนอนบ่อนไส้เสียเลย”“มันคงนึกไม่ถึงว่าเราจะสืบรู้การวางแผนของพวกมัน ไม่แน่ยามนี้อาจกำลังติดต่อวางแผนการใหม่อีกก็ได้” อินหลางเอ่ย“เป็นเช่นนั้นก็ดี หากเราหาตัวผู้สมรู้ร่วมคิดในวังได้ เราจะได้ซ้อนแผนพวกมันเสียเลย” จิ่นหรงยกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “ท่านอา ส่งคนสืบหาตัวซูเหวินอี้ที ข้าอยากรู้ว่ามันกบดานอยู่ที่ใด และอีกเรื่อง ข้าไม่อยากให้ข่าวลือบ้า ๆ นั่นแพร่ไปถึงพระกัณฑ์เสด็จอา เกรงว่าพระองค์จะทรงร้อนพระทัยจนอยู่ไม่เป็นสุข แค่แก้ปัญหาภัยแล้วมันก็หนักหนาพอแล้ว ข้าไม่อยากให้เสด็จอากังวลพระทัยเพราะเรื่องนี้อีก”“กระหม่อมจะรีบทำตามรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ” อินหลางรับคำ“ประเดี๋ยวเพคะ รัชทายาทอยากได้คนสืบข่าว เช่นนั้นให้คนของสำนักมู่ตานช่วยอีกแรงนะเพคะ เรามีคนอยู่ทั่วทุกมุมเมือง ให้พวกเขาช่วยสืบและขจัดข่าวลือตามเมืองต่าง ๆ น่าจะง่ายกว่า
หลังจากนั้นคนร้ายก็ถูกพาตัวกลับไปขังตามเดิม และยังคงคุมเข้มเพื่อไม่ให้สองคนนี้คิดสั้นปลิดชีพตน เพราะต้องเอาทั้งคู่ไว้เป็นพยานเอาผิดซูเหวินอี้ก่อนภายในห้องรับรองของคุกหลวง…กลุ่มขุนนางยังคงหารือกันต่อ แม้จะมีคำสั่งออกมาบ้างแล้ว ทว่าคนที่ออกไปทำงานก็ล้วนแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาระดับล่าง เพราะจิ่นหรงไม่อยากให้เรื่องมันกระโตกกระตาก “นึกไม่ถึงว่ามันจะใช้พ่อค้าธรรมดามาลอบสังหารคนในวัง ความคิดช่างแยบยลนัก ใช้ชาวบ้านที่เคยขายโคมทุกปีมาทำเรื่องชั่วแทน ชั่วช้านัก!” ใต้เท้าเจิ้นเอ่ยถึงสิ่งที่ได้ฟังเมื่อครู่ “มันคงวางแผนไว้นานแล้ว จึงได้อาศัยช่วงเวลาทดลองโคมไฟของเหล่าพ่อค้าที่ทำกันเป็นประจำ พวกมันใช้วิธีนี้หลอกล่อสายตาผู้คน และยังใส่พิษไว้ในโคม เมื่อมันถูกความร้อนมันก็แพร่กระจายตกเป็นละอองลงมาทำให้คนที่สูดดมเข้าไปหมดแรง ช่างเจ้าแผนการนัก” อินหลางเอ่ยอย่างแค้นใจ“ถึงว่า คนในตำหนักรอบบริเวณ รวมถึงด้านนอกตามระยะเส้นทางของโคม ผู้คนถึงได้นอนเกลื่อนเต็มทาง เอ๋! แล้วเหตุใดโคมถึงมาตกแต่ที่ตำหนักไทเฮาล่ะเจ้าคะ ตำหนักอื่นได้ยินว่าไม่เสียหายมิใช่หรือ” ตันหยางมองหน้าทุกคนสลับกันไปมา
ต่อมา…รถม้าที่เคลื่อนมาตลอดทางก็หยุดลง ณ สถานที่ที่ไม่มีใครอยากก้าวเข้าไป หากไม่มีธุระคงไม่มีใครอยากเฉียดเข้ามาใกล้ เพราะเกรงสิ่งอัปมงคลจะติดตัวออกไปด้วยเมื่อรถม้าหยุด จิ่นหรงก็ขยับดันร่างอรชรที่เขากอดออกห่างตัว แล้วเอ่ยถามเสียงอ่อน “แน่ใจหรือว่าจะเข้าไป”“เพคะ” คนตัวเล็กตอบรับโดยไม่เงยหน้ามองเขา จึงถูกมือเรียวเชยคางขึ้นเพื่อให้ได้สบตากัน“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้มีท่าทางเขินอายเช่นนี้นี่”“ขะ… เขินอะไร อายอะไรเพคะ ไม่มี๊…”“ไยเจ้าต้องทำเสียงสูง” จิ่นหรงแสร้งเย้านาง“ไม่ได้เสียงสูงนะเจ้าคะ” ตันหยางรีบเถียงเพราะเกรงเขาจะจับได้ นางปัดมือเขาหนีก่อนจะรีบลุกออกมาจากรถม้า คนด้านหลังลุกตามพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า“ช้าก่อน ประเดี๋ยวข้าให้คนนำตัวคนร้ายออกมาให้เจ้าสอบสวนที่ห้องขังด้านนอก เจ้าไม่ต้องเข้าไปด้านใน”“เจ้าค่ะ” รับคำโดยไม่มองหน้าเขาอีกแล้ว ผู้เป็นสามีจึงอดที่จะยิ้มเอ็นดูนางไม่ได้ เพราะปกติตันหยางนางมักจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเสมอ สุขุม นิ่ง ราวกับคนไร้ใจทว่าเขาเพิ่งรู้วันนี้เองว่า แท้ที่จริงนางก็เหมือนสตรีทั่วไป ที่รู้จักเขินอาย และมีมุมออดอ้อนอันแสนน่ารักแฝงไว้ด้วย
จิ่นหรงขบกรามแน่น เขานึกไม่ถึงจริง ๆ ว่ากู้อิงเถาจะกล้าเอ่ยวาจาบิดเบือนจากข้อเท็จจริงเหล่านี้ออกมา ทั้งที่เขาเองก็ย้ำนักย้ำหนาว่ามันคือการตอบแทนบุญคุณ มิได้มีเรื่องความรู้สึกใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อยเรื่องที่เขาเคยพึงใจนาง ก็แค่เอ่ยถึงเรื่องเก่าก่อนในช่วงเวลาสั้น ๆ มายามนี้เขาไม่ได้รู้สึกอันใดกับนางแม้เพียงนิด ที่ยอมพบหน้าก็เพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณให้มันจบสิ้นเท่านั้นเพราะเหตุนี้กระมัง มู่ตันหยางจึงได้เอ่ยว่าเขาไม่ทันคน “ข้าไม่ได้เอ่ยเช่นที่นางว่า” เขาหันมาหาชายาตน พร้อมกับมองลึกลงไปในดวงตาคู่สวย เพราะอยากรู้ว่านางจะเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวหรือไม่ และสิ่งที่ตอบกลับมาก็ยังเป็นยิ้มอ่อนเช่นเคย“น้องเชื่อท่านพี่เจ้าค่ะ” เอ่ยจบร่างอรชรก็หันมาหาผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยอบกายลงแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะไม่อยู่เฉยแล้วนะคุณหนูกู้” คำพูดไม่กี่ประโยค กลับทำให้ร่างของกู้อิงเถาหยุดชะงักทันที“ขะ… ข้า” แววตาอิงเถาดูหวาดกลัวไม่น้อย“หยุดความคิดของเจ้าเสีย แล้วอย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อนเช่นนี้อีก เพราะหากมีคราวหน้าข้าจะไม่เอาเจ้าไว้แน่”“ขะ…ข้า ข้าเปล่านะ”







