เข้าสู่ระบบนับจากนั้น รัชทายาทก็ไม่เสด็จมาหาชายาตนอีก จนเวลาล่วงเลยเข้าสู่วันที่สามแล้วที่เขาไม่โผล่มากวนใจ
ตันหยางจึงมีเวลาทำงานของตน แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังคอยถามหาเขาผ่านอี้ฟานที่ยังคงอยู่อารักขาเช่นเคย “วันนี้รัชทายาททรงปลดสนมเกาแล้วพ่ะย่ะค่ะ บิดานางจะส่งไปแต่งงานกับเจ้าเมืองคังในอีกสิบวันข้างหน้า” “หา! ถูกปลดไม่ทันไรก็ให้แต่งงานเลยหรือ” ตันหยางตาโต “ใจร้ายจัง ทำไมไม่ให้นางใช้ชีวิตตามที่ต้องการก่อน” “สตรีหากถึงวัยออกเรือนก็ไม่ควรอยู่กับบิดามารดาอีก ยิ่งเคยแต่งงานมาก่อนแล้ว ยิ่งต้องรีบหาที่หมายใหม่ให้นาง นี่ยังถือว่าโชคดีที่ได้แต่งกับเจ้าเมืองคังนะพ่ะย่ะค่ะ อย่างน้อยก็ยังได้เป็นภรรยาเอก ฐานะอีกฝ่ายก็ถือว่าดีเลย” อี้ฟานยังรายงาน “ใช่ แต่งกับคนธรรมดาสามัญนั่นแหละดี” ตันหยางทอดถอนใจ ก่อนจะมองไปยังร่างสูงที่เดินอยู่ไกล ๆ ดูท่าคงกำลังออกไปท้องพระโรงกระมัง ‘ชิ! ไม่คิดจะทักกันจริง ๆ สินะ' “วันนี้มีประชุมที่หอขุนนางและยังต้องไปที่หน่วยเกราะดำอีกพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินว่าวันก่อนจับมือสังหารได้ สอบสวนมาหนึ่งคืนเต็ม ทว่าพวกมันยังไม่ยอมปริปากเลยพ่ะย่ะค่ะ” อี้ฟานรายงาน “กี่คนหรือ?” ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายทันที “ห้าคนพ่ะย่ะค่ะ สามคนผูกคอตายแล้ว ที่เหลือก็ยังไม่ยอมปริปาก ถูกทัณฑ์ทรมานหลายอย่าง พวกมันก็ไม่ยอมพูด” “พาข้าไป ข้ามียาที่กินแล้วคนคนนั้นจะต้องพูดความจริง” “จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ ทว่า…” อี้ฟานลังเล เพราะผู้เป็นนายสั่งไม่ให้พระชายาออกนอกวัง หากพระองค์รู้เขาหลังลายเป็นแน่ “พี่มู่หลิง ไปเตรียมของ” “เพคะ” ร่างอรชรของสาวใช้รีบก้าวขึ้นเรือนทันที “ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะพระชายา” “เงียบ! รัชทายาทข้าจะจัดการเอง” ตันหยางชี้หน้า หลังจากนั้นนางก็พาคนของตนออกจากวังด้วยการไปขออนุญาตไทเฮาก่อน เพื่อไม่ให้ถูกตำหนิได้ในภายหน้า เมื่อรถม้าเคลื่อนออกมาจากวัง ตันหยางก็ยิ้มร่าชอบใจ เพราะเกือบสิบวันแล้วที่นางต้องถูกขังไว้แต่ในเรือน กระทั่งอภิเษกก็ยังไม่ได้ออกมาเที่ยวเล่น วันนี้มีโอกาส นางก็ขอเตร่ก่อนจะไปจัดการงานที่ตั้งใจจะมาทำสักนิดเถิด “ไปเที่ยวตลาดกัน” ออกคำสั่งกับคนของตนที่เดินขนาบข้างรถม้า อี้ฟานได้ยินเช่นนั้นก็รีบทักทวง “พระชายามันอันตรายนะพ่ะย่ะค่ะ” “อันตรายอะไร อันตรายก็เพราะเจ้าเรียกข้าเช่นนี้ต่างหาก มีใครที่ไหนรู้จักข้ากัน คุณหนูสามก็พอเข้าใจหรือไม่” “ขะ… เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ” อี้ฟานจำต้องน้อมรับ ซึ่งคำตำหนินายหญิงนั้นถูกต้องทุกประการ หากเขายังเรียกด้วยยศเต็ม ย่อมทำให้คนร้ายรู้ตัวตนพระชายาได้ง่ายอย่างว่า ‘ทรงฉลาดจริง ๆ ทว่าออกมาเช่นนี้ หากรัชทายาทรู้มีหวังข้าตายแน่’ องครักษ์หนุ่มคิดอย่างเป็นกังวล ก่อนจะสะดุ้งตกใจเพราะมือของมู่เฟิงที่ยื่นออกมาแตะไหล่เขา “ไม่ต้องกลัว อยู่ฝ่ายพระชายา เจ้าไม่มีทางถูกทำโทษแน่เชื่อข้าเถิด ต่อให้คนสั่งเป็นรัชทายาทเจ้าก็ไม่โดน” “ชิ! เจ้าไปเอาความมั่นใจนี่มาจากไหนกัน รัชทายาทคือรัชทายาท พระชายาไหนเลยจะกล้าต่อต้าน” “หึหึ เจ้าก็รอดูแล้วกัน” มู่เฟิงตบไหล่แล้วก็เดินนำ ผู้ที่เดินตามจึงคว่ำปากใส่ด้วยความหมั่นไส้ เมื่อคนทั้งห้ามาถึงใจกลางเขตค้าขายของเมืองหลวง หานฟู่ก็นำรถม้าไปพักไว้ที่ตรอกไม่ไกล จากนั้นพวกเขาก็ตรงไปยังหอเครื่องประดับเป็นที่แรก เพราะตันหยางอยากรู้ว่าที่นี่ค้าขายสิ่งใดบ้าง “แบบซ้ำกันทั้งนั้นเลย” นางบ่นพึมพำเสียงเบา ก่อนจะเดินดูไปเรื่อย ๆ จนขึ้นไปบนชั้นสองของร้าน “คุณหนูอันนี้ใช้ได้ไหมเจ้าคะ” มู่หลิงยกปิ่นมุกให้ดู “สวย เรียบดี” กล่าวพร้อมกับรับมาถือไม่นานนางก็วางไว้ที่เดิม เพื่อเดินดูในส่วนอื่น ๆ ต่อ เพราะที่นี่ถือว่าเป็นร้านที่ใหญ่มาก เดินเป็นชั่วยามก็คงจะดูของไม่ครบ กระทั่งมาถึงมุมจิบชาที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ลูกค้า นางก็พาคนสนิทตนนั่งลงตรงมุมระเบียงที่อยู่ติดกับห้องรับรองของเหล่าเศรษฐี ที่มักจะมาใช้ห้องส่วนตัวเลือกเครื่องประดับ “ดูสามคนนั่นสิเจ้าคะ มองสาวงามที่หอน้ำชากันใหญ่เลย” มู่หลิงรีบบอกผู้เป็นนายให้มองดูองครักษ์ทั้งสามที่นั่งรออยู่ตรงร้านบะหมี่ด้านล่าง “นี่ถ้าเกิดเหตุกับคุณหนูคงไม่มีใครรู้กระมัง” “หึหึ เช่นนั้นพี่ก็ต้องตะโกนดัง ๆ แล้วล่ะ เขาถึงจะได้ยิน” ตันหยางหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะรินชาดื่มอย่างใจเย็น ทว่ามันยังไม่ทันถึงปาก เสียงคุ้นหูที่ได้ยินประจำกลับแว่วมา “เจ้าเลือกเอาได้เลย ชอบอันไหน กี่อันก็เลือกเอา” “ขอบคุณคุณชายเจ้าค่ะ” อิงเถายิ้มหวานส่งให้ “รีบหน่อย ยังต้องไปดูเรือนอีกมิใช่หรือ” “เจ้าค่ะ” อิงเถารับคำแล้วยิ้มกริ่ม วันนี้มีโอกาสได้อยู่กับรัชทายาทลำพังมีหรือนางจะยอมพลาด “ชาที่นี่รสดีนัก คุณชายดื่มดับกระหายสักนิดนะเจ้าคะ” นางรินชายื่นส่งให้เขา ”วางไว้” จิ่นหรงเอ่ยบอกเสียงเรียบ อิงเถายิ้มแหยก่อนจะหันมาเลือกเครื่องประดับตรงหน้าต่อ ทว่าสายตายังคอยเหลือบมองผู้ที่ตนหมายปอง และถ้วยชาที่นางเพิ่งหยดยาปลุกกำหนัดลงไป แต่ผ่านไปหลายอึดใจแล้ว รัชทายาทจิ่นหรงก็ยังไม่ยอมยกมันขึ้นดื่ม “ชาจะชืดหมดนะเจ้าคะ” นางเงยหน้าขึ้นมาหาเขา “งั้นหรือ เช่นนั้นเจ้าก็เอาไปดื่มเถิด” มือเรียวดันถ้วยคืนให้นาง พร้อมกับจ้องหญิงสาวด้วยแววตาอ่านไม่ออก “ขะ…ข้าน้อยรินให้คุณชาย จะเอามาดื่มเองได้เยี่ยงไร” “ทำไมจะไม่ได้ ถ้วยชานี้ข้าก็ยังไม่ทันได้แตะ เว้นแต่เจ้าใส่อะไรลงไปเท่านั้นจึงไม่กล้าดื่ม” จิ่นหรงจ้องนางเขม็ง “มิใช่นะเพคะ! เอ่อ… ไม่ใช่เจ้าค่ะ ดะ… ดื่ม ข้าน้อยดื่มเจ้าค่ะ” อิงเถารีบยกถ้วยชาขึ้นมากระดกรวดเดียวหมด “ดี!” เสียงชมดังขึ้น อิงเถาก็ได้แต่ยิ้มแหย ก่อนจะหันมาทำทีเลือกเครื่องประดับต่อ ทว่าในใจกลับว้าวุ่นนัก ‘ทำอย่างไรดี อีกประเดี๋ยวยาก็ออกฤทธิ์แล้ว’ นางคิดอย่างร้อนรน เหงื่อตามตัวก็เริ่มผุดขึ้นมา “เสร็จหรือยัง” “เสร็จแล้วเจ้าค่ะ ระ…เรารีบไปดูเรือนกันเถิดเจ้าค่ะ ข้าน้อยอยากเห็นเต็มทีแล้ว” นางเอ่ยติดขัดมือก็ลูบแขนตนไปมา “ก็ดี ข้ายังมีงานต้องทำอีก” สิ้นคำร่างสูงก็หันมาหาคนสนิทให้จัดการข้าวของที่ถูกเลือกเหล่านี้ ส่วนเขาก็เดินนำอิงเถาออกมา ทว่าเพียงแค่ก้าวเดียวเขาก็ต้องหยุดชะงักเท้าลง “ไยเจ้ามาอยู่ที่นี่” ร่างสูงหมายจะเดินตรงเข้ามาหาชายาตน ทว่าเอวสอบกลับถูกคนด้านหลังกอดรัดเอาไว้ก่อน “คุณชายอย่าทิ้งข้าน้อยนะเจ้าคะ ไหนท่านบอกจะพาไปดูบ้านของเรา รีบไปกันเถิดเจ้าค่ะ” อิงเถาได้โอกาสสร้างความเข้าใจผิด นางก็ไม่รีรอที่จะลงมือ หากมีคนเห็นด้วยยิ่งเป็นเรื่องที่ดี ถึงยามนั้นรัชทายาทก็ไม่อาจปฏิเสธอันใดได้ “ปล่อยข้า” จิ่นหรงหมุนตัวไปมาเพื่อให้นางดิ้นหลุด ทว่าสองแขนของอิงเถากอดรัดเขาแน่นเหลือเกิน สลัดอย่างไรนางก็ไม่ยอมปล่อย “จินเฉิงมาช่วยที เอานางออกไปให้พ้นข้า” ตันหยางยกยิ้มเมื่อเห็นสามีตนพลาดท่าให้กู้อิงเถาอีกแล้ว ขนาดสองคนยังแกะแขนของนางที่รัดเอวสอบไม่ออก จิ่นหรงหันมองชายาตนราวกับต้องการให้ช่วย เพราะยามนี้เริ่มมีคนมามุงดูมากขึ้นทุกทีแล้ว พอเห็นตันหยางลุกเดินมาหาเขาก็ยิ้มร่าดีใจเหมือนเด็กไม่มีผิด “อ๊ายย… เจ็บ ๆ” อิงเถาร้องลั่น เพราะมีบางสิ่งทิ่มลงที่แขนของนาง ทำให้หญิงสาวต้องรีบปล่อยมือจากเอวสอบ ถึงกระนั้นนางก็ยังไม่ยอมลดละ เพราะนี่มันคือโอกาสดี นางรีบตรงเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าตันหยางพร้อมกับเอื้อนเอ่ยวาจาน่าสงสาร “ฮูหยิน ข้าน้อยรู้ว่าตนทำผิด แต่ก็เป็นเพราะคำพูดของคุณชายที่บอกว่ารู้สึกดีกับข้าน้อย ข้าน้อยจึงได้หลงผิดตามเขามาซื้อเครื่องประดับที่นี่ และคุณชายยังบอกอีกว่าจะพาไปซื้อเรือนเอาไว้ ภายหน้าจะได้ไปมาสะดวก ทว่ายามนี้คุณชายกลับทำทีเหมือนรังเกียจข้าน้อย เพียงเพราะเห็นฮูหยินอยู่ตรงนี้กระนั้นหรือเจ้าคะ” อิงเถายกมือขึ้นทำทีปาดน้ำตา เสียงซุบซิบของคนในหอจึงเริ่มดังมาให้ได้ยิน และส่วนมากล้วนแต่ตำหนิสองสามีภรรยาว่าใจจืดใจดำกันทั้งนั้น ‘หึหึ ตันหยางข้าจะรอดูว่าเจ้าจะแก้สถานการณ์เช่นนี้เยี่ยงไร หากเรื่องแพร่กระจายไปถึงราชสำนัก อย่างไรข้าก็ต้องได้เข้าไปอยู่ที่ตำหนักบูรพาแน่’ อิงเถายกยิ้มอย่างเป็นสุขสองเค่อต่อมา [ครึ่งชั่วโมง]มู่หลิงก็ปรากฏตัวในห้องผู้เป็นนาย“พวกเจ้าออกไปเถิด มีแค่คนของข้าก็พอแล้ว” ตันหยางเอ่ยบอกนางกำนัลทั้งสอง เมื่อประตูปิดลงนายบ่าวก็เดินมาที่โต๊ะ“พระชายาจะทำอันใดหรือเพคะ”“ข้าสงสัยว่าคนที่เลี้ยงนกน่าจะเป็นสนมผิง”“สนมผิง” มู่หลิงเอ่ยเสียงแผ่ว “จะเป็นไปได้เช่นไรเพคะ”“เมื่อกลางวันข้าได้กลิ่นสาปบนตัวของนางกำนัลที่อยู่ข้างกายสนมผิง ข้าจึงแสร้งขอตามนางไปที่ตำหนักเพื่อดูโรงเพาะสมุนไพร นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับสิ่งผิดปกติหลายอย่าง เรือนเก่าด้านหลังน่าจะเป็นที่เลี้ยงนก แต่นางรอบคอบมาก แขวนกระดิ่งไว้ทั่วตำหนักเชียว คงคิดเอามากลบเสียงของพวกมันกระมัง แต่เผอิญกลิ่นสาปมันรุนแรงเกินไป แม้จะใช้กลิ่นดอกไม้รวมถึงพืชสมุนไพรในตำหนักมากลบ มันก็ยังลอยเล็ดลอดมาให้สัมผัสพบเจอเข้าจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน”“ทราบแล้วเพคะ” มู่หลิงตอบรับ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกว่า“แล้วพระชายาจะไม่แจ้งให้รัชทายาทรู้หรือเพคะ”“แจ้งสิ แต่ต้องหลังจากเราหาหลักฐานที่แน่ชัดได้ก่อน ยามนี้เขาก็คงวุ่นวายอยู่เหมือนกัน” ช่วงหลังน้ำเสียงนางแผ่วลง“มีเรื่องหนึ่ง หม่อมฉันไม่รู้ควรทูลหรือไม
นับจากวันนั้นทั้งคู่ก็เหมือนจะห่างกันมากขึ้น จิ่นหรงออกจากตำหนักเช้ากว่าจะกลับก็มืดค่ำ วนเวียนเช่นนี้มานานกว่าห้าวันแล้ว ซึ่งตันหยางรู้ดีว่าเขากำลังยุ่งกับงาน นางจึงไม่เข้าไปวุ่นวายอะไร แต่ก็ยังมีแอบไปสืบข่าวที่ตำหนักใหม่ไทเฮาอยู่บ้างอย่างเช่นวันนี้นางก็กำลังจูงพระหัตถ์ไทเฮาเดินเล่นอยู่ในสวน มีข้ารับใช้เดินตามอีกหกคน นางจึงคอยสังเกตุท่าทางคนเหล่านี้ แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นคนที่ตนเคยช่วยชีวิตไว้ก็ตาม“หยางเอ๋อร์ ย่าได้ยินว่าเจ้ากับรัชทายาทยังไม่เข้าหอกันอีกหรือ เป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่ย่าจะได้อุ้มเหลนกันล่ะ” คนแก่เอ่ยมาทีก็ทำให้คนที่เดินประคองต้องหยุดชะงักตันหยางยิ้มแห้งก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “เสด็จพี่ทรงงานหนัก หม่อมฉันจึงไม่อยากรบกวนเขาเพคะ”คนแก่จึงหันมาหาพร้อมกุมมือแล้วเอ่ยว่า “เป็นสามีภรรยากัน ใช้คำว่ารบกวนไม่ได้นะ สิ่งที่เจ้าควรทำคือต้องรีบมีทายาทสืบสกุลให้เชื้อสายเรา รากฐานบ้านเมืองจะได้มั่นคง”“เพคะ เอาไว้หม่อมฉันจะหาโอกาสเหมาะ รีบทำเหลนให้เสด็จย่าเพคะ” ตันหยางเอ่ยเอาใจคนแก่“ดี! ต้องอย่างนี้สิ” ไทเฮายิ้มชอบใจ ก่อนจะพากันเดินชมสวนต่อ ตันหยางก็ได้แต่ฉีกยิ้มซ้ายทีขวา
หลังจากชายาตนกลับมาพูดดีด้วย จิ่นหรงก็เริ่มหันมาหารือกับขุนนางทั้งสามต่อ “วันพรุ่งข้าจะให้หัวหน้าองครักษ์จินอู่ตรวจสอบว่าตำหนักใดเลี้ยงนก รวมถึงคนที่มีบาดแผลขีดข่วน คาดว่าไม่เกินสามวันคงได้ความ เพราะช่วงนี้ในวังตรวจตราเข้มงวดขึ้น เราก็อาศัยเรื่องนี้ตรวจหนอนบ่อนไส้เสียเลย”“มันคงนึกไม่ถึงว่าเราจะสืบรู้การวางแผนของพวกมัน ไม่แน่ยามนี้อาจกำลังติดต่อวางแผนการใหม่อีกก็ได้” อินหลางเอ่ย“เป็นเช่นนั้นก็ดี หากเราหาตัวผู้สมรู้ร่วมคิดในวังได้ เราจะได้ซ้อนแผนพวกมันเสียเลย” จิ่นหรงยกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “ท่านอา ส่งคนสืบหาตัวซูเหวินอี้ที ข้าอยากรู้ว่ามันกบดานอยู่ที่ใด และอีกเรื่อง ข้าไม่อยากให้ข่าวลือบ้า ๆ นั่นแพร่ไปถึงพระกัณฑ์เสด็จอา เกรงว่าพระองค์จะทรงร้อนพระทัยจนอยู่ไม่เป็นสุข แค่แก้ปัญหาภัยแล้วมันก็หนักหนาพอแล้ว ข้าไม่อยากให้เสด็จอากังวลพระทัยเพราะเรื่องนี้อีก”“กระหม่อมจะรีบทำตามรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ” อินหลางรับคำ“ประเดี๋ยวเพคะ รัชทายาทอยากได้คนสืบข่าว เช่นนั้นให้คนของสำนักมู่ตานช่วยอีกแรงนะเพคะ เรามีคนอยู่ทั่วทุกมุมเมือง ให้พวกเขาช่วยสืบและขจัดข่าวลือตามเมืองต่าง ๆ น่าจะง่ายกว่า
หลังจากนั้นคนร้ายก็ถูกพาตัวกลับไปขังตามเดิม และยังคงคุมเข้มเพื่อไม่ให้สองคนนี้คิดสั้นปลิดชีพตน เพราะต้องเอาทั้งคู่ไว้เป็นพยานเอาผิดซูเหวินอี้ก่อนภายในห้องรับรองของคุกหลวง…กลุ่มขุนนางยังคงหารือกันต่อ แม้จะมีคำสั่งออกมาบ้างแล้ว ทว่าคนที่ออกไปทำงานก็ล้วนแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาระดับล่าง เพราะจิ่นหรงไม่อยากให้เรื่องมันกระโตกกระตาก “นึกไม่ถึงว่ามันจะใช้พ่อค้าธรรมดามาลอบสังหารคนในวัง ความคิดช่างแยบยลนัก ใช้ชาวบ้านที่เคยขายโคมทุกปีมาทำเรื่องชั่วแทน ชั่วช้านัก!” ใต้เท้าเจิ้นเอ่ยถึงสิ่งที่ได้ฟังเมื่อครู่ “มันคงวางแผนไว้นานแล้ว จึงได้อาศัยช่วงเวลาทดลองโคมไฟของเหล่าพ่อค้าที่ทำกันเป็นประจำ พวกมันใช้วิธีนี้หลอกล่อสายตาผู้คน และยังใส่พิษไว้ในโคม เมื่อมันถูกความร้อนมันก็แพร่กระจายตกเป็นละอองลงมาทำให้คนที่สูดดมเข้าไปหมดแรง ช่างเจ้าแผนการนัก” อินหลางเอ่ยอย่างแค้นใจ“ถึงว่า คนในตำหนักรอบบริเวณ รวมถึงด้านนอกตามระยะเส้นทางของโคม ผู้คนถึงได้นอนเกลื่อนเต็มทาง เอ๋! แล้วเหตุใดโคมถึงมาตกแต่ที่ตำหนักไทเฮาล่ะเจ้าคะ ตำหนักอื่นได้ยินว่าไม่เสียหายมิใช่หรือ” ตันหยางมองหน้าทุกคนสลับกันไปมา
ต่อมา…รถม้าที่เคลื่อนมาตลอดทางก็หยุดลง ณ สถานที่ที่ไม่มีใครอยากก้าวเข้าไป หากไม่มีธุระคงไม่มีใครอยากเฉียดเข้ามาใกล้ เพราะเกรงสิ่งอัปมงคลจะติดตัวออกไปด้วยเมื่อรถม้าหยุด จิ่นหรงก็ขยับดันร่างอรชรที่เขากอดออกห่างตัว แล้วเอ่ยถามเสียงอ่อน “แน่ใจหรือว่าจะเข้าไป”“เพคะ” คนตัวเล็กตอบรับโดยไม่เงยหน้ามองเขา จึงถูกมือเรียวเชยคางขึ้นเพื่อให้ได้สบตากัน“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้มีท่าทางเขินอายเช่นนี้นี่”“ขะ… เขินอะไร อายอะไรเพคะ ไม่มี๊…”“ไยเจ้าต้องทำเสียงสูง” จิ่นหรงแสร้งเย้านาง“ไม่ได้เสียงสูงนะเจ้าคะ” ตันหยางรีบเถียงเพราะเกรงเขาจะจับได้ นางปัดมือเขาหนีก่อนจะรีบลุกออกมาจากรถม้า คนด้านหลังลุกตามพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า“ช้าก่อน ประเดี๋ยวข้าให้คนนำตัวคนร้ายออกมาให้เจ้าสอบสวนที่ห้องขังด้านนอก เจ้าไม่ต้องเข้าไปด้านใน”“เจ้าค่ะ” รับคำโดยไม่มองหน้าเขาอีกแล้ว ผู้เป็นสามีจึงอดที่จะยิ้มเอ็นดูนางไม่ได้ เพราะปกติตันหยางนางมักจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเสมอ สุขุม นิ่ง ราวกับคนไร้ใจทว่าเขาเพิ่งรู้วันนี้เองว่า แท้ที่จริงนางก็เหมือนสตรีทั่วไป ที่รู้จักเขินอาย และมีมุมออดอ้อนอันแสนน่ารักแฝงไว้ด้วย
จิ่นหรงขบกรามแน่น เขานึกไม่ถึงจริง ๆ ว่ากู้อิงเถาจะกล้าเอ่ยวาจาบิดเบือนจากข้อเท็จจริงเหล่านี้ออกมา ทั้งที่เขาเองก็ย้ำนักย้ำหนาว่ามันคือการตอบแทนบุญคุณ มิได้มีเรื่องความรู้สึกใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อยเรื่องที่เขาเคยพึงใจนาง ก็แค่เอ่ยถึงเรื่องเก่าก่อนในช่วงเวลาสั้น ๆ มายามนี้เขาไม่ได้รู้สึกอันใดกับนางแม้เพียงนิด ที่ยอมพบหน้าก็เพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณให้มันจบสิ้นเท่านั้นเพราะเหตุนี้กระมัง มู่ตันหยางจึงได้เอ่ยว่าเขาไม่ทันคน “ข้าไม่ได้เอ่ยเช่นที่นางว่า” เขาหันมาหาชายาตน พร้อมกับมองลึกลงไปในดวงตาคู่สวย เพราะอยากรู้ว่านางจะเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวหรือไม่ และสิ่งที่ตอบกลับมาก็ยังเป็นยิ้มอ่อนเช่นเคย“น้องเชื่อท่านพี่เจ้าค่ะ” เอ่ยจบร่างอรชรก็หันมาหาผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยอบกายลงแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะไม่อยู่เฉยแล้วนะคุณหนูกู้” คำพูดไม่กี่ประโยค กลับทำให้ร่างของกู้อิงเถาหยุดชะงักทันที“ขะ… ข้า” แววตาอิงเถาดูหวาดกลัวไม่น้อย“หยุดความคิดของเจ้าเสีย แล้วอย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อนเช่นนี้อีก เพราะหากมีคราวหน้าข้าจะไม่เอาเจ้าไว้แน่”“ขะ…ข้า ข้าเปล่านะ”







