ด้านในจวน แขกเหรื่อเริ่มทะยอยกลับมากินดื่มอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงดนตรีที่ดังขึ้นเพื่อขับกล่อมผู้คนในงาน แต่ในมุมสวนริมกำแพงกลับมีกลุ่มสตรีกำลังพูดคุยหารือกัน
“ไม่น่าเชื่อว่าข่าวลือพวกนั้นจะเกิดจากสาวใช้นางนี้ผู้เดียว ลูกว่ามู่ตันหยงจะต้องบังคับให้สาวใช้รับผิดแทนแน่ ๆ ” คุณหนูสามฟู่ซือหลินเอ่ยกับมารดาและน้องสาวของตน หนึ่งในสี่ยังมีบุตรสาวของราชครูเจียงรวมอยู่ด้วยอีกคน “ลูกก็ว่าต้องเป็นเช่นนั้นท่านแม่ มีอย่างที่ไหน เป็นเจ้านายแท้ ๆ แต่กลับยอมให้สาวใช้สวมใส่เสื้อผ้าเช่นเดียวกับตน มันก็แค่ข้ออ้างทั้งนั้น” คุณหนูสี่นามว่าฟู่จือจือรีบสำทับ “แม่ก็คิดเช่นเจ้า” ฮูหยินรองฟู่กล่าวบ้าง “มันอาจจะจริงก็ได้นะเจ้าคะ ข้าเองยังเคยเก็บอาภรณ์และเครื่องประดับที่ไม่ใช้แล้วให้สาวใช้ในจวนเลย หากพี่สะใภ้ทำมันก็คงไม่แปลกอันใด อีกอย่างข้าได้ยินว่า ซื่อจื่อกั๋วกงก็ยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่านางคือสตรีที่… เอ่อ…” เจียงซินลี่ไม่กล้าเอ่ยต่อ นางรู้สึกกระดากอายที่จะพูดถึงเรื่องลักลอบได้เสียกันของกลุ่มคนเหล่านี้ จึงได้แต่ยิ้มแหยในเวลาต่อมา “เจ้าก็เป็นเสียอย่างนี้ มองคนในแง่ดีไปเสียทั้งหมด ข้าไม่มีทางเชื่อหรอกว่านางจะไม่มีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้ มิเช่นนั้นไยก่อนหน้าจึงไม่เปิดเผยเรื่องราวเล่า ปล่อยให้เลยเถิดมาจนถึงงานมงคลนี้ได้อย่างไร นี่ดีนะ ที่เรื่องมันไม่เป็นไปอย่างที่ตระกูลซูต้องการ มิเช่นนั้นตระกูลฟู่ของข้าเป็นได้พังพินาศเป็นแน่ นึกแล้วมันก็น่าโมโหนัก” ฟู่ซือหลินหันมาตำหนิสหายไม่จริงจัง “ก็ข้าไม่อยากตัดสินใครจากคำเล่าลือนี่ อีกอย่าง หากไม่จริงมีหรือซื่อจื่อกั๋วกงจะยอมรับโทษคุกเข่าที่หน้าประตู รวมถึงคนเหล่านั้นด้วย” เจียงซินลี่รีบท้วงอย่างที่ตนคิด สามแม่ลูกนิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่นานฟู่จือจือก็เอ่ยขึ้นมาอีก “แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ต้องหาทางกำจัดนางออกไป ข้าไม่มีวันยอมรับนางเป็นพี่สะใภ้แน่ พี่สะใภ้ข้ามีแค่พี่ซินลี่คนเดียวเท่านั้น คนอื่นอย่าได้หวังจะได้ตำแหน่งนี้เลย” กล่าวพร้อมกับหันไปกุมมือหญิงสาวที่อายุมากกว่าตนหกปี “ขอบใจน้องจือจือ ทว่าพี่คงไม่มีวาสนานั้นแล้ว ยามนี้ตำแหน่งฮูหยินฟู่อินโหวมีผู้อื่นครอบครอง พี่ไม่กล้าไปแย่งชิงของที่ไม่ใช่ของตน” เจียงซินลี่กล่าวเสียงแผ่ว “เจ้าไม่กล้าแต่ข้ากล้า คอยดูเถิด ข้าจะทำให้นางระเห็ดออกไปภายในหนึ่งเดือนนี้แน่นอน” ฟู่ซือหลินกล่าวเสียงหนัก เพื่อปลอบใจสหายรักที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเยาว์ จวบจนยามนี้ทั้งสองก็อายุยี่สิบสี่แล้ว ทั้งคู่ก็ยังคบหากันอยู่ และยังไม่ทันออกเรือนทั้งคู่ สาเหตุก็มาจาก ฟู่ซือหลินเป็นคนใฝ่สูง อยากเข้าวังไปเป็นสนมของฮ่องเต้ ทว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่ผ่านการคัดเลือก ด้วยว่าหน้าตานั้นจัดอยู่ในหมู่สตรีที่พบเห็นได้ทั่วไป ส่วนหนึ่งอาจมาจากมารดานางมิใช่สตรีที่งดงาม เลยทำให้สองพี่น้องคู่นี้มีหน้าตาที่ต่างออกไป ไม่เหมือนพี่ชายพี่สาวต่างมารดา นั่นคือฟู่อินหลางและฟู่อินโหรวพี่สาวคนรองที่อาศัยอยู่ทางใต้ของแคว้น กับสามีที่มีนามว่ากู้เฉินซี จึงไม่แปลกที่บุตรฮูหยินรองของตระกูลฟู่จะไร้ซึ่งความโดดเด่น ถึงกระนั้นทั้งสองก็ยังหยิ่งผยอง คิดว่าตนนั้นงดงาม ไม่ต่างจากมารดาที่มักคิดว่าตนเองดีเด่นกว่าผู้อื่นเสมอ และนิสัยใจคอเหล่านี้ มู่ตันหยงก็ประจักษ์แก่ใจดี… “หึ! แล้วมาคอยดูกันว่า ใครกันแน่ที่ต้องระเห็ดออกไป” ตันหยงยกยิ้มก่อนจะเดินเลี่ยงกลับไปที่เรือนพักของตน เมื่อครู่นางกลับมาจากไปส่งน้องสาวขึ้นรถม้า พอได้ยินเสียงพูดคุยนางจึงอดที่จะแอบฟังไม่ได้ ยิ่งรู้ว่าคนกลุ่มนี้เป็นใคร นางยิ่งอยากฟังแผนการณ์ เพื่อดูให้แน่ชัดว่ามันจะเป็นเหมือนนิยายที่ตนเคยอ่านมาหรือไม่ และแน่นอนว่ามันไม่มีอะไรเปลี่ยน วิธีที่คนเหล่านี้เคยใช้ยังคงเดิม แต่ถึงกระนั้นนางก็ประมาทไม่ได้ เพราะเริ่มต้นวันแต่ง ตันหยงยังเปลี่ยนเนื้อเรื่องให้กลับตาลปัตรไม่เหมือนเดิมเลย อันที่จริง…เรื่องราวที่ถูกเปิดเผยในคืนนี้ มันควรเกิดขึ้นในช่วงกลางเรื่องไปแล้ว ทว่าตันหยงกลับเฉลยว่าใครเป็นคนสร้างเรื่องอื้อฉาวให้เจ้าของร่างในคืนแต่งงาน นางเปิดโปงตัวสร้างเรื่องตั้งแต่ตอนแรกเลยก็ว่าได้ แต่สาเหตุที่นางทำเช่นนี้ก็เพราะไม่ต้องการพบกับเรื่องยุ่งยากในภายหน้า และไม่อยากมีชะตากรรมเหมือนนางร้ายของเรื่อง ที่ถูกข่าวลือทำให้กลายเป็นหญิงชั่วไปจริง ๆ หึหึ ตัวละครแบบนั้นมู่ตันหยงคนนี้ไม่มีทางเป็นแน่ ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่ามีคนคิดร้ายกับตน มีหรือนางจะยอมปล่อยผ่าน “พวกเจ้าลงมือเมื่อไหร่ ข้าจะคืนให้เป็นสิบเท่าเลย” นางพึมพำก่อนจะเดินเข้าเรือน และไม่ลืมสั่งให้คนของตนลงกลอนประตูหน้าต่างทุกบานด้วย จากนั้นนางก็ไปอาบน้ำแล้วก็เข้านอน โดยไม่แยแสเลยว่าค่ำคืนนี้สามีจะมาหรือไม่ เช้าวันใหม่…. ร่างอรชรในชุดนอนสีขาวบางเบา ขยับพลิกตัวตามปกติ ทว่าจู่ ๆ นางก็ดีดตัวลุกขึ้น เพราะสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง “นะ… นี่ท่านเข้ามาได้อย่างไร” “จะลุกก็ลุกอย่าถามมาก” อินหลางตอบกลับงึมงำ โดยไม่เปิดเปลือกตาขึ้นมามองภรรยาตัวน้อยของตนเลย ‘อีตาบ้านี่ ทำไมไม่ไปนอนที่เรือนตนตามบทนะ’ ก่นด่าเขาในใจ แล้วรีบขยับกายมาที่ปลายเท้าเขาเพื่อลงจากเตียง พอลงมาได้นางก็ยืนเท้าสะเอวมองร่างสูงด้วยความฉงน ‘ทำไมมันไม่เหมือนในนิยายล่ะ เขาต้องเกลียดเรามากไม่ใช่เหรอ ในเรื่องขนาดเรือนใหญ่เขายังไม่ให้ไปเหยียบเลย แล้วนี่แอบปีนเข้ามารูไหนกันล่ะ’ คิดพร้อมกับกวาดตามองไปรอบห้อง พอเห็นบานหน้าต่างถูกงัดก็ถึงกลับกลืนน้ำลาย ‘บ้าไปแล้ว ถึงกับพังหน้าต่างเลยเหรอ’ ร่างอรชรเดินมาหยุดยืนมองสิ่งที่ถูกดึงจนหลุดออกจากขอบเหลือหมิ่นเหม่ ไม่นานนักนางก็หันมามองคนบนเตียงอีก พอเห็นเขาขยับตัว นางก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องอาบน้ำ ผ่านไปหนึ่งเค่อ [15 นาที] ร่างอรชรในชุดสีชมพูอ่อนพลิ้วไหวก็เดินออกมา แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสามีนั่งอยู่ที่เตียง ตันหยงยิ้มแหยให้เขาก่อนจะเอ่ยถามเสียงแผ่ว “ท่านโหวจะชำระร่างกายไหมเจ้าคะ ข้าจะได้ให้คนเตรียมน้ำให้” “อืม” อีกฝ่ายตอบสั้น ๆ ปากอิ่มจึงอดไม่ได้ที่จะคว่ำใส่อย่างลืมตัว “หึหึ อยากโดนเหมือนเมื่อคืนหรือ ถึงได้ยื่นปากออกมาเช่นนี้” คนบนเตียงเอ่ยเย้า ก่อนจะยกยิ้มเมื่อเห็นนางเม้มปากเข้าหากันแน่น เขาจึงอยากแกล้งนางอีก จึงลุกแล้วก้าวมาหานาง จากนั้นเขาก็กางแขนออก “ถอดชุดให้ที” “มือก็มี ทำไมไม่รู้จักถอดเอง” นางรีบแย้งเขา “เป็นภรรยาไม่รู้หรือว่าต้องปรนนิบัติสามีเช่นไร” “สะ… สาวใช้ก็มี เรียกพวกนางมาดูแลสิ” ตันหยงยังคงปฏิเสธ เมื่อเห็นเขาจ้องนางก็ทำอะไรไม่ถูก จึงได้วิ่งออกไป อินหลางมองตามร่างอรชรก่อนจะยกยิ้ม “หึหึ นึกไม่ถึงว่าจอมวางแผนจะเป็นสตรีที่ขี้อายเพียงนี้” พึมพำแผ่วเบา ในหัวก็นึกถึงคำบอกเล่าของพี่ภรรยาที่กล่าวให้ฟังเมื่อคืน ฮูหยินเขาคือผู้วางแผนทั้งหมด นางแสร้งปลอมตัวเป็นนางรำ เพื่อยั่วยุให้คนชั่วหลงกลคล้อยตาม เอ่ยเล่าเรื่องราวออกมาจนหมดเปลือก ทั้งที่คนถูกกล่าวถึงก็ยืนอยู่ตรงหน้าแท้ ๆ ทว่าพวกมันกลับไม่มีใครรู้เลยว่ามู่ตันหยงที่ทุกคนกล่าวถึงคือนางรำผู้นี้นั่นเอง หากจะว่าไปแม้แต่เขาก็เกือบจะหลงกล หากไม่เอะใจเรื่องที่นางให้ทายชื่อ เขาคงคล้อยตามและคิดว่าภรรยาตัวน้อยชั่วช้าอย่างที่ผู้คนกล่าวถึงไปแล้ว มากไปกว่านั้น แววตาที่นางมองเขามักจะมีบางอย่างซ่อนมาด้วยเสมอ ราวกับกำลังบอกให้เขารอ ยามนั้นเองที่เขาทำใจให้เย็นลง และรอดูว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นไรต่อ ทว่าเมื่อการแสดงผ่านไปเรื่อย ๆ กระทั่งนางเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมที่คุ้นจมูกก็ทำให้เขารู้ทันทีว่านางรำผู้นี้ มิใช่ใครอื่น นางคือภรรยาที่เขาเพิ่งแต่งเข้ามานั่นเอง เหตนี้เองที่อินหลางไม่ยอมปล่อยให้นางอยู่ใกล้ชายอื่น เมื่อเขาลองขู่ มู่ตันหยงก็ไม่ต่อต้านมันยิ่งทำให้เขามั่นใจ ว่าคนในอ้อมกอดคือภรรยาตนเอง แน่นอนว่าเขาปลื้มปีติมาก หนึ่ง…คือนางไม่ใช่สตรีชั่วไร้ยางอายที่ทุกคนกล่าวถึง สอง…นางช่วยเอาคืนซูเหวินอี้ให้เขา หากนางไม่วางแผนไว้ วันนี้เขาคงกลายเป็นตัวตลกให้ชาวเมืองได้หัวร่อเป็นแน่ ‘ข้าควรตอบแทนเจ้าเช่นไรดีตันหยง’อินหลางไม่ปล่อยโอกาสให้ภรรยารักตนได้เอ่ยปาก เพราะกำหนัดก่อนหน้ามันยังค้างคาอยู่ พอมาเห็นผิวขาวของนาง ความต้องการมันก็ยิ่งเพิ่มพูนร่างอรชรจึงถูกเขาโถมเข้าใส่อย่างไม่รีรอ“อ่า… น้องหญิง ร่องเจ้ารัดแน่นยิ่งนัก” ท่านโหวเอ่ยชมทุกรั้งยามเมื่อเขาสอดใส่แท่งหยกเข้ามา ยิ่งไปกว่านั้นท่วงท่าที่ทั้งคู่ทำ มันก็กระตุ้นกำหนัดดีนัก ยามเมื่อเขาออกแรงน้ำในถังก็กระเพื่อมตาม ดีที่มันกว้างใหญ่จึงรับการกระแทกของเขาได้ตันหยงได้แต่ครางเสียว ไม่อาจตอบโต้เป็นภาษาปกติเพราะร่างแกร่งถาโถมเข้าใส่จนนางต้องหาที่ยึด นั่นคือขอบถังที่อยู่บนศีรษะ ส่วนมืออีกข้างก็โอบรอบคอสามีไว้ ส่วนด้านล่างก็ถูกสะโพกหนาขยับเข้าใส่ไม่หยุดหย่อน ทำเอากำหนัดที่กักเก็บไว้เป็นได้ทะลักออกมาในเวลาอันรวดเร็ว ถึงกระนั้นก็ใช่ว่ามันจะจบ มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อไป เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่ในถังอีกแล้ว ตรงนี้มันคับแคบเกินไป“ต่อนะน้องหญิง” สิ้นคำท่านโหวก็สอดลิ้นอุ่นเข้าปากนางทันที ตามด้วยเสียงจูบแลกลิ้นที่ไม่มีใครยอมใครเตียงกว้างที่ถูกปูไว้อย่างเรียบร้อย บัดนี้มันเริ่มย่นเข้าหากันเพราะสงครามของเนื้อกายเริ่มปะทุขึ้นมาอีกหนความสุข
อินหลางพาภรรยาตัวน้อยของตนกลับมาถึงเรือนก็ไม่ยอมเสียเวลาจัดการกับนาง เพราะวันนี้ฮูหยินเขาแต่งกายได้งดงามเย้ายวนนัก หากไม่ติดว่าอยู่ในงานเลี้ยง เขาเป็นได้แบกนางกลับห้องในยามนั้นแล้ว และเมื่อมาถึงเขาก็ไม่รอช้าที่จะยกนางขึ้นบนโต๊ะกลางห้อง หมายจะรีดน้ำรักตนเสียตรงนี้ ทว่าในขณะที่เขาซุกหน้าบนซอกคอขาว ประตูที่ปิดอยู่กลับถูกเปิดออก ตามมาด้วยชายฉกรรจ์ปิดหน้าตากรูกันเข้ามา “ฆ่าฟู่อินโหว แล้วเอาฮูหยินมันไป” เสียงคำสั่งดังขึ้นทันที จากนั้นพวกมันก็ง้างดาบใส่ หมายเอาชีวิตเจ้าของจวน อินหลางป้องภรรยาตนไว้ข้างหลัง ทั้งเตะทั้งถีบผู้ที่ก้าวเข้าใกล้ เขาพาฮูหยินถอยร่นไปจนถึงมุมเก็บดาบ เมื่อคว้ามันมาได้ก็กลายเป็นกลุ่มคนร้ายที่ต้องหวาดกลัว เพราะฟู่อินโหวสังหารคนเหล่านี้อย่างไม่มีปรานี ถึงกระนั้นพวกมันก็ยังพุ่งเข้ามาไม่หยุด บางคนอ้อมมาด้านหลังหมายจะจัดการกับภรรยาเขา ฟิ้ว! คมธนูจากหน้าประตูแหวกผ่านอากาศปะทะร่างคนร้ายทันที พร้อมกันนั้นเหล่าองครักษ์ของฉินอ๋องก็กรูกันเข้ามา “จัดการมันให้หมด” เขาสั่งการเสียงเข้ม กลุ่มคนร้ายจึงพากันตื่นตระหนก บ้างก็วิ่งออกทางหน้าต่างเพื่อเอาตัวรอด “ข้
ผ้าแพรสีแดงถูกลากลงมาอย่างเชื่องช้า เสียงเนื้อผ้าลากผ่านไม้ดังแผ่วเบา ทว่าไม่มีใครใส่ใจตรงนี้เลย เพราะหลังจากผ้าถูกดึงออก พวกเขาก็เอาแต่จ้องฉากไม้กั้นที่สูงเท่าตัวคน แขกเหรื่อในงานรวมถึงเจ้าภาพแทบจะหยุดหายใจ ตรงหน้าพวกเขาคือฉากกั้นบานใหญ่ขนาดหกพับ แต่ละพับมีภาพของชายหญิงคู่หนึ่ง ร้อยเรียงเป็นเรื่องราวต่าง ๆ พวกเขามีหลากหลายอิริยาบถ บางภาพยืนสบตากันใต้ร่มไม้ บางภาพยิ้มอ่อนขณะช่วยกันชงชาในศาลา บางภาพยืนกุมมือกันท่ามกลางแสงจันทร์ ซึ่งแต่ละภาพล้วนสะท้อนถึงความรัก ความผูกพัน และช่วงเวลาที่ฝังลึกอยู่ในใจ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงไม่แพ้กัน กลับมิใช่ความละเอียดของเส้นพู่กัน และเรื่องราวมากมายบนฉากกั้น ทว่า! มันคือ สีสัน ที่สาดซัดลงบนผืนผ้าอย่างวิจิตรตระการตาต่างหาก บางภาพเผยความงามของท้องฟ้าในยามเย็นเสมือนจริงยิ่งนัก และยังมีแสงสะท้อนสาดส่องลงมา นำพาให้อาภรณ์ของหนุ่มสาวในภาพนี้ทอประกาย ดวงตาของทั้งคู่หรือก็ดูแวววาว…ราวกับมีชีวิต ทุกภาพล้วนแต่เสมือนจริงจนทุกคนได้แต่ยืนนิ่งงัน แม้เสียงดนตรีขาดหายไปก็ยังไม่มีใครใส่ใจ ด้านไท่ฮูหยิน นางกำลังก้าวเข้าไปใกล้ พร้อมกับเอ
เวลาต่อมา ณ ลานไม้หน้าเรือนรับรอง กลุ่มคนงานก็นำโต๊ะยาวมาตั้งขวางทางเดิน ในขณะนั้นแขกผู้ใหญ่อย่างฉินอ๋องก็เดินทางมาถึง ซึ่งเขามักจะมาอวยพรนางทุกปีเพราะไท่ฮูหยินคือน้องสาวของหานสืออวิ้นผู้เป็นตาของเขาเอง หากจะนับให้เข้าใจฉินอ๋องก็คือญาติผู้พี่ของฟู่อินหลางและอายุของทั้งคู่ก็เท่ากัน เพราะเกิดในวันเดียวกัน ต่างก็แค่ คนหนึ่งเกิดกลางวัน อีกคนเกิดยามวิกาล“ท่านพี่ ไยท่านไม่บอกว่าฉินอ๋องจะมาด้วย แค่นี้ข้าก็ต้อนรับไม่ทันแล้วท่านรู้หรือไม่” ตันหยงตำหนิสามีทันที “พี่ก็ไม่รู้ว่าพระองค์จะเสด็จมา ก่อนหน้าทรงรับสั่งว่าจะเดินทางไปตรวจตราภัยแล้งช่วยรัชทายาท ทว่าเหตุใดจู่ ๆ ถึงได้เสด็จมาก็ไม่รู้” อินหลางหันมากระซิบบอกภรรยา ก่อนจะมองไปที่ร่างสูงตัวเท่ากัน ซึ่งยามนี้กำลังประคองท่านย่าตนออกมานั่งที่ตั่ง ทำให้แขกเหรื่อที่มาอวยพรต้องรีบเงียบเสียงลง“ตามสบายเถิด ข้าเองก็มาโดยไม่ได้แจ้งก่อน ต้อนรับตามแต่พวกเจ้าสะดวกเถิด” สุรเสียงของฉินอ๋อง เอ่ยออกมาเล็กน้อยก็ทำให้ภายในงานเงียบลงถนัดตา มีเพียงเสียงดนตรีเท่านั้นที่ยังคงบรรเลงขับกล่อมให้ได้ยิน“ทรงอำนาจดีจังเลยนะเจ้าคะ น่าเกรงขามมาก
ตันหยงอาบน้ำเสร็จก็ออกมายืนรอสามีที่ระเบียงนอกเรือน เป็นจังหวะที่มีคนมารายงานข่าวกับเว่ยซาพอดี“มีอะไรหรือ” นางรีบถาม“ท่านโหวให้คนมาแจ้งว่าคืนนี้อาจจะกลับดึกขอรับ”“ได้บอกหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด” “คงหารือกันเรื่องงานขอรับ ช่วงนี้ทางตะวันออกเกิดภัยแล้งอย่างหนัก ยังมีโรคระบาดตามมาอีก ผู้คนทางนั้นอดอยากและล้มตายกันมาก ท่านโหวและขุนนางคนอื่น ๆ ต่างก็พยายามหาทางแก้กันอยู่ขอรับ” เว่ยซารายงานเท่าที่ตนเคยได้ยินมา“ภัยแล้งเหรอ” ตันหยงนิ่งไป พร้อมกับคิดถึงเนื้อเรื่องที่ตนเคยอ่าน มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฟู่อินโหวไม่ค่อยได้กลับจวน จึงทำให้ภรรยาตามไปราวีถึงหอ เป็นเหตุให้เขาอับอายมาก ทว่าคนเขียนไม่ได้ระบุไว้ว่าเขาจะแก้ปัญหาอย่างไร เพราะเนื้อเรื่องหลัก ๆ บรรยายถึงปัญหาชีวิตคู่ของฟู่อินโหวและมู่ตันหยง รวมถึงตัวนางเอกของเรื่องมากกว่าองค์ประกอบส่วนอื่นผู้ประพันธ์ไม่ได้ลงรายละเอียดนักเพราะนี่มันคือนิยายรักดราม่า แนวรักสามเส้าทว่าเมื่อนางเข้ามาอยู่ในนี้และเปลี่ยนบท เนื้อเรื่องมันเลยละเอียดขึ้น ตัวละครยังคงดำเนินชีวิตเหมือนคนทั่วไป ไม่ได้ตัดไปวันนั้นวันนี้เหมือนในนิยายที่ตนเคยอ่านมา ฉะน
อินหลางเองก็มึนงงไม่แพ้กัน เขาจึงรีบถามให้แน่ใจ“จะ… จริงหรือ เจ้าไม่ได้ปดพี่นะ”“ข้าจะปดท่านพี่ทำไม เอาล่ะในเมื่อทุกอย่างจัดการเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นเราก็มาวาดภาพกันต่อดีกว่านะเจ้าคะ ข้าขอใช้ห้องตำราของท่านพี่ได้หรือไม่” ตันหยงยิ้มหวานให้เขา“ได้สิ จวนนี้เจ้าอยากใช้ตรงไหนจัดการได้เลย” ฟู่อินโหวรีบเอ่ย ภรรยาตัวน้อยก็ยิ้มกว้างทันที ด้านไป่ฮวาได้แต่เหลือบตามองอย่างหมั่นไส้ แต่ยังไม่ทันได้เปลี่ยนสีหน้า แขนของนางก็ถูกคว้ามาเกาะ แล้วรั้งให้เดินตามกันออกมา ทิ้งให้คนในห้องมองตามอย่างมึนงง…“ฮะ… ฮูหยินไปสนิทกับแม่นางไป่ฮวาตั้งแต่เมื่อใดกัน” เป็นเกาหยางที่เอ่ยในสิ่งที่ตนสงสัยก่อนใคร“นั่นสิ ข้าไม่เคยเห็นแม่นางไป่มาหาฮูหยินเลยสักครั้ง และฮูหยินก็ไม่เคยไปหานางเลยสักครา แล้วทั้งคู่ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อใด” ครานี้เป็นเว่ยซานที่เอ่ยขึ้นมาอย่างงวยงง“พวกนางไม่เคยไปมาหาสู่กันกระนั้นหรือ”“ไม่ขอรับ ข้าอยู่เฝ้าฮูหยินตามคำสั่งนายท่านตลอดทั้งวัน มีแยกไปบ้างเวลาทำธุระ แต่ก็ไม่นานนะขอรับ เอ๋! หรือสองคนนี้จะนัดพบกันยามค่ำคืน ทว่าแม่นางไป่ก็เพิ่งมาอยู่แค่สามวันมิใช่หรือขอรับ มิหนำซ้ำว