“ลั่วฮูหยิน ข้าหาได้คิดตำหนิท่านเลยนะเจ้าคะ ข้าแค่อยากให้พวกท่าน ได้สนุกกับงานเลี้ยงในวันนี้ อีกอย่างคังอันเพิ่งกลับเมืองหลวง ข้าคิดว่านางอาจอยากที่จะสนุก กับเหล่าสหายเท่านั้นเจ้าคะ หาได้คิดเป็นอื่นแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ” ท่านหญิงหลิว รีบแก้ตัวเป็นพัลวัน เมื่ออยู่ๆ สตรีที่ดูอ่อนโยนมาตลอด กลับแสดงตัวตนอีกด้านออกมา แน่นอนว่ามันน่ายำเกรง จากอีกด้านที่นาง และผู้คนเคยได้เห็น ขึ้นไปอีกนับเท่าตัวเลยก็ว่าได้ “คังอันเป็นทหาร จึงไม่ค่อยสันทัดกับงานเลี้ยงเยี่ยงนี้เท่าใด อีกอย่างนางเพิ่งแต่งงาน ย่อมต้องอยากอยู่กับสามีของนาง มากกว่ามาดื่มกินอยู่ข้างนอก เรื่องพวกนี้...ข้ามั่นใจ ว่าท่านหญิงเองก็ต้องเข้าใจดีใช่หรือไม่” เป็นคำอธิบายที่ตอนท้าย โยนคำถามกลับคืน ทำให้ท่านหญิงหลิวได้แต่อึกอัก ด้วยไม่รู้จะพูดอย่างไร มิให้ถูกเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ และความแข็งกระด้างในน้ำเสียงของลั่วฮูหยิน ทำให้ลั่วอันผิง รีบเดินเข้าไปเกาะแขนพี่สาวในทันที ลั่วคังอันตบลงบนหลังมือของน้องสาวเบาๆ เป็นการปลอบโยนมิให้ตื่นกลัว กับความดุดันของมารดาที่มีในตอนนี้ลั่วฮูหยินคือสตรีที่นางเลือก เพื่อมาเป็นภรร
“ย่อมไม่ขัดข้องเจ้าค่ะ เช่นนั้นเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ” แม่ทัพสาวรีบตอบรับ และชวนให้ทุกคนออกจากงานเลี้ยงในทันที เพราะในหางตาของนางตอนนี้ คลับคล้ายคลับครา ว่าจะเป็นคนที่นางเพิ่งหนีมา กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ด้วยความเร่งรีบมิน้อยเลย นางยังไม่อยากที่จะเผชิญหน้า กับท่านหญิงหลิวในเวลานี้เท่าใดนัก เพราะเกรงว่าจะข่มโทสะเอาไว้ไม่อยู่ เรื่องอื่นใดนางอาจเพิกเฉยได้ แต่มิใช่เรื่องน่ารังเกียจนี้ “ท่านแม่ทัพลั่ว!” ทว่ายังไม่ทันสองครอบครัว จะได้ก้าวเดินไปที่ใด เสียงที่ติดกร้าวกระด้างของท่านหญิงหลิว ได้เรียกให้แม่ทัพสาว ให้รั้งอยู่กับที่อย่างไม่เต็มใจเท่าใดนัก “ท่านหญิงหลิว มีสิ่งใดกับข้าหรือเจ้าคะ” แม่ทัพสาวในตอนนี้ ก็ไม่ได้มีรอยยิ้ม น้ำเสียงที่ใช้ติดจะแข็งด้างไปเสียด้วยซ้ำ เรียกว่าไม่แม้แต่จะมองคนที่เรียกเลยทีเดียว นั่นทำให้ท่านหญิงหลิวถึงกับจุกอยู่ในอก ที่แม่ทัพสาวหมางเมินต่อนาง แม้แต่หน้ายังมิอยากจะมองกันเลย “เจ้าคิดจะไปไหนหรือ” เมื่ออีกฝ่ายไม่คิดใส่ใจ นางก็ไม่คิดที่จะปล่อยไปเช่นกัน ซึ่งคำถามของนาง มันได้ผลฉะงักนัก เมื่อแม่ทัพสาวหันสายตามาส
“พี่สะใภ้มานั่นแล้วเจ้าค่ะ ท่านป้าท่านแม่” เพียงก้าวพ้นเขตเรือนรับรอง เข้าไปในส่วนของสวนดอกไม้ เสียงของหยางหลิวหลีก็ดังขึ้นให้ได้ยิน ลั่วคังอัน ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะเดินเข้าไปหาทุกคน ราวกับการหายตัวไปของนางเมื่อครู่ มิได้เกิดสิ่งใดขึ้น “คังอันเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เห็นน้องของเจ้าบอกว่าเจ้ามิค่อยสบาย” ลั่วฮูหยินรีบเดินเข้ามาถามบุตรสาว ด้วยเห็นว่าอยู่ๆ คนเป็นลูกก็หายไปนาน หากเพียงแค่ล้างหน้าล้างตา ก็ควรกลับมาตั้งนานแล้ว อีกทั้งยังเห็นคนของท่านหญิงหลิว วิ่งวุ่นราวกำลังตามหาใครอยู่ ทำให้นางเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับบุตรสาว “ข้าเพียงออกไปเดินดูรอบๆ เรือนรับรองเท่านั้นเจ้าค่ะ ข้าเห็นมันสวยดี เลยคิดว่าจะดูแบบเอาไว้ไปแต่งเติมเรือนเจ้าค่ะ ข้าต้องขออภัยที่ทำให้ท่านแม่ต้องเป็นห่วง” แม่ทัพสาวไม่ได้บอกถึงความจริงใดๆ เพราะมันมิใช่สิ่งจำเป็น และนางรู้ว่ามารดาเอง ก็คงจะพอรู้ถึงเหตุผล ที่นางยกมาอ้างแล้ว ส่วนแม่สามีนั้น ไม่เข้าใจอะไรก็ถือว่ามิแปลก เพราะสกุลหยางมิใช่ครอบครัวทหาร จึงไม่รู้ถึงการเอ่ยความนัยระหว่างกัน “เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว คงเพรา
“อื้อ...ข้าชอบเจ้าที่แข็งแกร่งเยี่ยงนี้ โอ้ย!”ทว่ายังไม่ทันได้ทำสิ่งใดต่อ ร่างอิ่มของท่านหญิงหลิวก็ลงไปกองอยู่กับพื้น เมื่อนางถูกผลักออกจากตักของลั่วคังอัน จนเสียหลักล้มลงกับพื้น นั่นทำให้ท่านหญิง ตวัดสายตาคาดโทษแม่ทัพสาว ที่บังอาจปฏิเสธนางอย่างไม่คิดใยดีลั่วคังอันรีบลุกพรวดขึ้นในทันที หลังจากที่ผลักคนบนตักออกไปได้แล้ว ลั่วคังอันก้าวตรงไปที่ประตู เพื่อจะออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด กึก! กึก! มือหยาบพยายามดันประตูให้เปิดออก ทว่ามันกลับไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจ นั่นแสดงว่ามันถูกลงดานจากด้านนอกนั่นเอง ลั่วคังอันขบกรามแน่น ก่อนจะขยับถอยห่างจากประตูออกมาเล็กน้อย แล้วยกเท้าขึ้นถีบประตูเต็มแรง ปัง! ประตูบานใหญ่เปิดออกกว้างและนั่นทำให้สาวใช้ของท่านหญิง ที่รออยู่ด้านนอกถึงกับตกใจสุดขีด ที่อยู่ๆ ประตูก็เปิดออก ทั้งที่พวกนางปิดเอาไว้เป็นอย่างดี ตามคำสั่งของผู้เป็นนาย ก่อนที่ทุกคนจะพากันก้มหน้านิ่ง เมื่อเห็นสายตาดุดันของผู้ที่ก้าวออกมายืนมองพวกนาง อยู่ที่หน้าประตูห้องแม่ทัพสาวกวาดสายตามองคนเหล่านั้น ด้วยความรู้สึกขยะแขยงสิ้นดี ก่อนที่นางจะเดินจากไป โดยไม่สนใจเสียงเรียกจากคนภายในห้อง บ้าบอเกินไปแล
“ขะ...ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ถ้าอย่างไร ข้าขอตัวไปล้างหน้าล้างตาสักครู่ก่อนนะเจ้าคะ พอดีข้ารู้สึกว่าอากาศมันอบอ้าวไปสีกหน่อย”แม่ทัพสาวจำต้องเอ่ยปาก เมื่อร่างกายของนาง มันกำลังร่ำร้องให้ถูกสัมผัส ยิ่งมือนุ่มนิ่มของท่านหญิงหลิว วนเวียนกับใบหน้านางไม่ห่าง ความร้อนรุ่มในกาย ยิ่งปะทุรุนแรงขึ้นมากเท่านั้นต่อให้ใครจะไม่เชื่อว่าวันนี้ อากาศอบอ้าวจนไม่สบายตัว นั่นก็ปัญหาของคนเหล่านั้น แต่ปัญหาของนาง คือร่างกายที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน มิอาจรอช้าไปมากกว่านี้ได้แล้ว หาไม่คงเกิดเรื่องไม่เหมาะสมขึ้นได้“เช่นนั้นข้าพาเจ้าไปดีกว่า เพราะอย่างไรวันนี้ข้าก็คือผู้ดูแลงาน”ท่านหญิงหลิว รีบเสนอการช่วยเหลือในทันที ด้วยข้ออ้างเรื่องการเป็นผู้นำงานเลี้ยง ตัวแทนขององค์หญิงใหญ่ และนั่นทำให้ลั่วคังอันรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย เพราะนางไม่อาจคาดเดาได้ ว่าท่านหญิงหลิวคิดจะทำสิ่งใดกับนางต่อจากนี้“พี่หญิงเป็นอันใดไปเจ้าคะ”เป็นลั่วอันผิง ที่เดินเข้ามาถามพี่สาว โดยมีหยางหลิวหลีติดตามมาด้วย นางสักเกตมาสักพักแล้ว ว่าพี่สาวดูไม่ค่อยสบายเท่าใดนัก แต่เมื่อยังไม่ถูกเรียกนางก็มิอาจจะก้าวก่าย แต่เมื่อเห็นอยู่ๆ พี่สาวก็ล
“ขอบคุณท่านหญิง ที่ให้เกียรติข้าผู้น้อยเจ้าค่ะ”หลังจากวางจอกสุราลงในถาด คืนแก่สาวใช้ของท่านหญิง ลั่วคังอันจึงได้เอ่ยของคุณท่านหญิงหลิวอีกครั้ง นางจดจำไม่ได้เลยว่าชาติที่แล้ว นางมีเรื่องไม่ลงรอยใดกับท่านหญิงหรือไม่ ไยจึงได้ลงมือต่อนางเยี่ยงนี้ ทว่าลั่วคังอันยังคงไม่เผยสิ่งใดออกมา“มานั่งนี้เถอะ คุยกันสักหน่อย ตั้งแต่เจ้าออกจากเมืองหลวงไป น้อยนักที่จะได้พบกัน”มือนุ่มของท่านหญิงหลิว คว้าข้อมือของแม่ทัพสาว แล้วจูงพานางไปนั่งลงไม่ได้ห่างจากที่เดิมเท่าใดนัก ลั่วคังอันหันมองไปที่แม่สามี กับมารดาของตน ที่ตอนนี้ทั้งคู่ได้เพียงแค่ส่งยิ้มมาให้ ก่อนจะพากันเดินจากไป เพื่อพูดคุยกับบรรดาฮูหยินบ้านอื่นต่อ“งานเลี้ยงวันนี้ทำให้เจ้าลำบากใจหรือไม่ เมื่อคืนนี้เป็นคืนเข้าหอของเจ้า ทว่าเช้ากลับต้องมาที่นี่ ปล่อยสามีทิ้งร้างเฝ้าห้องหอเพียงลำพัง ทำให้ข้าที่เป็นเจ้าภาพรู้สึกผิดยิ่งนัก”เป็นคำถามที่ดูเหมือนจะทั่วไป ทว่าสายตาและน้ำเสียงนั้น คล้ายจะแสดงความตัดพ้อนางอย่างไรไม่รู้ หากจำไม่ผิดนางเคยพบท่านหญิงหลิวเมื่อปีกลาย ตอนที่ท่านหญิงติดตามบิดาไปชายแดน ถูกโจรป่าดักปล้น ก่อนจะถึงชายแดนเพียงเล็กน้อย เป็นนางที่ไ