จวนสกุลหยาง เรือนเหนียงเหนียง
ภายในห้องหนังสือ ร่างระหงได้นั่งจิบชา อยู่หลังฉากกั้นบานใหญ่ ซึ่งขวางกั้นระหว่างผู้มาเยือน และเจ้าของเรือน โดยมีแม่นมชราคอยพัดวี และรินชาให้แก่นายสาว
“ได้ความว่าอย่างไร”
เจ้าของเรือนเอ่ยถาม คนที่อยู่อีกด้านของฉากกั้น ด้วยน้ำเสียงของคนที่เย่อหยิ่ง ตามชาติกำเนิดของนางแต่เดิม แม้ว่าสกุลฉีเวลานี้ได้ล่มสลายไปแล้ว แต่นางก็จะไม่มีวันที่จะยอม อยู่อย่างผู้ที่พ่ายแพ้ต่อชะตา
“ตอนนี้ท่านแม่ทัพลั่ว ได้เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้วขอรับ”
ชายที่อยู่อีกด้านของฉากกั้น ได้รายงานผู้เป็นนาย ตามที่นางสั่งการให้เขา เฝ้าติดตามการมาของแม่ทัพหญิงลั่วคังอัน
“นางเป็นอย่างไรบ้าง”
“แตกต่างจากสตรีชั้นสูง โดยทั่วไปมากทีเดียวขอรับ ท่าทางจะดื้อรั้นอยู่มิน้อยขอรับ”
“หึๆ คงยากที่ข้าจะทำให้นางเชื่องได้ แต่แบบนี้ก็ดี ในเมื่อตาเฒ่าหยาง ต้องการติดปีกให้หยางเหยาเกอ ข้าก็จะเด็ดปีกนั้นมาไว้ในมือเสียเอง”
นางมีความคิดที่ดีกว่า การขัดขวางเรื่องแต่งงาน ซึ่งมันจะไม่มีคำว่าผิดพลาด และจะสามารถทำให้ครอบครัวสามี เป็นเพียงเบี้ยที่นางจะเขี่ยทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้
“นางดูหยาบกระด้าง และหยิ่งยโสไม่น้อยเลยขอรับ”
“เป็นเรื่องปกติของสตรีบ้านนอก แม่นมหลี่ ไปจัดหาของขวัญและเตรียมรถม้า ข้าจะไปพบว่าที่ลูกสะใภ้สักหน่อย”
หยางฮูหยินสั่งการกับแม่นมข้างกาย นางต้องได้เห็นกับตาตนเอง เพื่อจะได้ประเมินตัวตน ของว่าที่สะใภ้ได้อย่างลึกซึ้ง แน่นอนมันย่อมดีกว่าคำคนอื่น ที่ถ่ายทอดมาให้ฟัง
“เจ้าค่ะ”
“ส่วนเจ้าคอยจับตาดูนางต่อไป”
“ขอรับ”
เมื่อไม่มีคำสั่งใดเพิ่มเติม ชายที่อยู่อีกฝั่งของฉากกั้น ได้หมุนกายก้าวเดินจากไปในทันที
“ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่วันของข้า”
ดวงตาหมาดร้ายจับจ้องอยู่ที่ฉากกั้น ซึ่งมันคือสิ่งที่นางชิงชัง แต่ก็ไม่คิดที่จะทิ้งไป เหมือนตัวนางที่ยังต้องทนอยู่สกุลหยาง ด้วยตัวนางเป็นสตรีที่ไร้ที่ไป ทั้งที่ชีวิตแต่งงานนั้น ไร้ซึ่งความสวยงาม เช่นที่คนภายนอกคิดเอาไว้ไกลทีเดียว
สามสิบปีก่อน
หญิงสาวที่เพียบพร้อมในทุกด้าน กำลังเดินชมสวนดอกไม้ ภายในจวนอันใหญ่โตของสกุลหยาง ซึ่งนางได้ติดตามครอบครัว มาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของหยางฮูหยิน
“ใครน่ะ!”
หญิงสาวเอ่ยถามออกไป เมื่อเห็นพุ่มดอกไม้ขยับไหว เมื่อความสงสัยผุดขึ้นในใจ เท้าบางก็ก้าวขยับก้าวตรงไปยังพุ่มไม้นั้นทันที ตึก! ทว่า...ยังทันที่จะถึงที่หมาย
ร่างงามก้ชนเข้ากับบางอย่าง ที่แข็งแรงมากจนนางแทบเซล้ม หมับ! ทว่าแผ่นหลังของนาง กลับถูกประคองเอาไว้ได้ทันท่วงที หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของวงแขน ที่โอบร่างนางเอาไว้ มิให้ล้มลงกระแทกพื้นดิน
“คุณหนูสกุลใดกัน จึงมาเดินเล่นโดยไร้สาวใช้เยี่ยงนี้”
น้ำเสียงทุ้มลึก ได้เอ่ยถามกึ่งตำหนิหญิงสาวอยู่ในที ด้วยสตรีชั้นสูงทุกสกุล มิควรเดินไปไหนมาไหนเพียงลำพัง แล้วนี่นางมิเพียงอยู่คนเดียว ยังคิดที่จะเดินไปดูสิ่งที่สงสัย ทั้งที่ตามจริงนางควรล่าถอย
“ขะ...ข้า”
ตึก! ทว่ายังไม่ทันที่จะได้พูดสิ่งใดต่อ ใบหน้างามกลับต้องซบอยู่กับแผ่นอกกว้างเสียอย่างนั้น มือหนายกขึ้นปิดใบหูของนางทั้งสองข้าง ราวกับไม่ต้องการให้ได้ยินสิ่งใด
“นี่! เจ้าจะทำอะไรน่ะ!”
หญิงสาวส่งเสียงอู้อี้อยู่กับอกหนา ที่กระเพื่อมขึ้นลงตามลมหายใจของเขา ก่อนจะแกะมือที่เขาปิดหูของนางเอาไว้ออก ซึ่งเขากลับยินยอมคลายมันอย่างว่าง่าย ก่อนที่นางจะผลักเขาให้ออกห่างกาย
“เจ้ายังไม่เหมาะที่จะเห็น หรือได้ยินในบางอย่าง”
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น เพื่อไขความเข้าใจผิด ที่มันฟ้องจากสายตาและสีหน้าของนาง
“ถึงจะอย่างนั้น เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องตัวข้าแบบนี้ หากมีใครมาพบเห็นข้าจะทำเช่นไร ถึงเจ้าจะหน้าดีเพียงใด เจ้าก็มิใช่คนที่ข้าอยากฝากทั้งชีวิตไว้ที่เจ้าหรอกนะ”
หญิงสาวพูดด้วยอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่น นางมีคนรักที่มีสัญญาหมั้นหมายกันแล้ว หากมีคนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ จากที่จะได้แต่งกับคนรัก คงหนีไม่พ้นต้องผูกทั้งชีวิต ไว้ที่คนตรงหน้านี้แทน
“ข้าขออภัยแม่นางด้วย ข้าแค่คิดน้อยไปหน่อยเท่านั้น”
“สารเลว! เจ้าคิดว่าข้าอยู่คนเดียว จึงตั้งใจฉวยโอกาสสินะ! คนเยี่ยงเจ้ามันช่างต่ำช้ายิ่งนัก การแต่งกายรึ! ก็ไม่น่าไร้การอบรม แต่ทำไมจึงได้ทำเรื่องแบบนี้ต่อข้า ที่เป็นถึงธิดาจวนโหว”
“...”
ชายหนุ่มหาได้ตอบโต้ ต่อคำด่าทอจากหญิงสาว เพราะเรื่องนี้เขาก็ผิดจริงๆ ที่ห่วงว่านางจะรู้เห็น หรือได้ยินสิ่งที่ไม่ควร แล้วอาจส่งผลร้ายต่อตัวนางในภายหน้าได้
“พี่สะใภ้มานั่นแล้วเจ้าค่ะ ท่านป้าท่านแม่” เพียงก้าวพ้นเขตเรือน เข้าไปในส่วนของสวนดอกไม้ เสียงของหยางหลิวหลีก็ดังขึ้นให้ได้ยิน ลั่วคังอัน ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะเดินเข้าไปหาทุกคน “คังอันเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ลั่วฮูหยินรีบเดินเข้ามาถามบุตรสาว ด้วยเห็นว่าอยู่ๆ คนเป้นลูกก้หายไปนาน หากเพียงแค่ล้างหน้าล้างตา ก็ควรกลับมาตั้งนานแล้ว อีกทั้งยังเห็นคนของท่านหญิงหลิว วิ่งวุ่นราวกำลังตามหาใครอยู่ “ข้าเพียงออกไปเดินดูรอบๆ เรือนเพื่อผ่อนคลายเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ ข้าต้องขอโทษที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง” แม่ทัพสาวไม่ได้บอกถึงความจริงใดๆ เพราะมันมิใช่สิ่งจำเป็น และนางรู้ว่ามารดาเอง ก็คงจะพอรู้ถึงเหตุผลที่นางยกมาอ้างแล้ว “เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว คงเพราะเมื่อคนนอนดึก ต้องตื่นแต่เช้าอีกในวันนี้ เจ้าคงเพลียสินะ เช่นนั้นเรากลับกันเลยดีไหม” หยางฮูหยินเอ่ยชักชวนสะใภ้กลับจวนเสีย นางเองก็ไม่ได้สนุกนัก ที่ต้องมานั่งฟังคนคอยเหน็บแนม เรื่องที่นางได้ไม้ใหญ่เช่นสกุลลั่ว มาเป็นที่ยึดเหนี่ยว “หากท่านแม่กับน้องหญิงอยากที่จะกลับ ข้าก็มิได้ขัดข้องเ
“อื้อ...ข้าชอบเจ้าที่แข็งแกร่งเยี่ยงนี้ โอ้ย!”ทว่ายังไม่ทันได้ทำสิ่งใดต่อ ร่างอิ่มของท่านหญิงหลิวก็ลงไปกองอยู่กับพื้น เมื่อนางถูกผลักออกจากตักของลั่วคังอัน จนเสียหลักล้มลงกับพื้น นั่นทำให้ท่านหญิง ตวัดสายตาคาดโทษแม่ทัพสาว ที่บังอาจปฏิเสธนางอย่างไม่คิดใยดีลั่วคังอันรีบลุกพรวดขึ้นในทันที หลังจากที่ผลักคนบนตักออกไปได้แล้ว ลั่วคังอันก้าวตรงไปที่ประตู เพื่อจะออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด กึก! กึก! มือหยาบพยายามดันประตูให้เปิดออก ทว่ามันกลับไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจ นั่นแสดงว่ามันถูกลงดานจากด้านนอกนั่นเอง ลั่วคังอันขบกรามแน่น ก่อนจะขยับถอยห่างจากประตูออกมาเล็กน้อย แล้วยกเท้าขึ้นถีบประตูเต็มแรง ปัง! ประตูบานใหญ่เปิดออกกว้างและนั่นทำให้สาวใช้ของท่านหญิง ที่รออยู่ด้านนอกถึงกับตกใจสุดขีด ที่อยู่ๆ ประตูก็เปิดออก ทั้งที่พวกนางปิดเอาไว้เป็นอย่างดี ตามคำสั่งของผู้เป็นนาย ก่อนที่ทุกคนจะพากันก้มหน้านิ่ง เมื่อเห็นสายตาดุดันของผู้ที่ก้าวออกมายืนมองพวกนาง อยู่ที่หน้าประตูห้องแม่ทัพสาวกวาดสายตามองคนเหล่านั้น ด้วยความรู้สึกขยะแขยงสิ้นดี ก่อนที่นางจะเดินจากไป โดยไม่สนใจเสียงเรียกจากคนภายในห้อง บ้าบอเกินไปแล
“ขะ...ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ถ้าอย่างไร ข้าขอตัวไปล้างหน้าล้างตาสักครู่ก่อนนะเจ้าคะ พอดีข้ารู้สึกว่าอากาศมันอบอ้าวไปสีกหน่อย”แม่ทัพสาวจำต้องเอ่ยปาก เมื่อร่างกายของนาง มันกำลังร่ำร้องให้ถูกสัมผัส ยิ่งมือนุ่มนิ่มของท่านหญิงหลิว วนเวียนกับใบหน้านางไม่ห่าง ความร้อนรุ่มในกาย ยิ่งปะทุรุนแรงขึ้นมากเท่านั้นต่อให้ใครจะไม่เชื่อว่าวันนี้ อากาศอบอ้าวจนไม่สบายตัว นั่นก็ปัญหาของคนเหล่านั้น แต่ปัญหาของนาง คือร่างกายที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน มิอาจรอช้าไปมากกว่านี้ได้แล้ว หาไม่คงเกิดเรื่องไม่เหมาะสมขึ้นได้“เช่นนั้นข้าพาเจ้าไปดีกว่า เพราะอย่างไรวันนี้ข้าก็คือผู้ดูแลงาน”ท่านหญิงหลิว รีบเสนอการช่วยเหลือในทันที ด้วยข้ออ้างเรื่องการเป็นผู้นำงานเลี้ยง ตัวแทนขององค์หญิงใหญ่ และนั่นทำให้ลั่วคังอันรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย เพราะนางไม่อาจคาดเดาได้ ว่าท่านหญิงหลิวคิดจะทำสิ่งใดกับนางต่อจากนี้“พี่หญิงเป็นอันใดไปเจ้าคะ”เป็นลั่วอันผิง ที่เดินเข้ามาถามพี่สาว โดยมีหยางหลิวหลีติดตามมาด้วย นางสักเกตมาสักพักแล้ว ว่าพี่สาวดูไม่ค่อยสบายเท่าใดนัก แต่เมื่อยังไม่ถูกเรียกนางก็มิอาจจะก้าวก่าย แต่เมื่อเห็นอยู่ๆ พี่สาวก็ล
“ขอบคุณท่านหญิง ที่ให้เกียรติข้าผู้น้อยเจ้าค่ะ”หลังจากวางจอกสุราลงในถาด คืนแก่สาวใช้ของท่านหญิง ลั่วคังอันจึงได้เอ่ยของคุณท่านหญิงหลิวอีกครั้ง นางจดจำไม่ได้เลยว่าชาติที่แล้ว นางมีเรื่องไม่ลงรอยใดกับท่านหญิงหรือไม่ ไยจึงได้ลงมือต่อนางเยี่ยงนี้ ทว่าลั่วคังอันยังคงไม่เผยสิ่งใดออกมา“มานั่งนี้เถอะ คุยกันสักหน่อย ตั้งแต่เจ้าออกจากเมืองหลวงไป น้อยนักที่จะได้พบกัน”มือนุ่มของท่านหญิงหลิว คว้าข้อมือของแม่ทัพสาว แล้วจูงพานางไปนั่งลงไม่ได้ห่างจากที่เดิมเท่าใดนัก ลั่วคังอันหันมองไปที่แม่สามี กับมารดาของตน ที่ตอนนี้ทั้งคู่ได้เพียงแค่ส่งยิ้มมาให้ ก่อนจะพากันเดินจากไป เพื่อพูดคุยกับบรรดาฮูหยินบ้านอื่นต่อ“งานเลี้ยงวันนี้ทำให้เจ้าลำบากใจหรือไม่ เมื่อคืนนี้เป็นคืนเข้าหอของเจ้า ทว่าเช้ากลับต้องมาที่นี่ ปล่อยสามีทิ้งร้างเฝ้าห้องหอเพียงลำพัง ทำให้ข้าที่เป็นเจ้าภาพรู้สึกผิดยิ่งนัก”เป็นคำถามที่ดูเหมือนจะทั่วไป ทว่าสายตาและน้ำเสียงนั้น คล้ายจะแสดงความตัดพ้อนางอย่างไรไม่รู้ หากจำไม่ผิดนางเคยพบท่านหญิงหลิวเมื่อปีกลาย ตอนที่ท่านหญิงติดตามบิดาไปชายแดน ถูกโจรป่าดักปล้น ก่อนจะถึงชายแดนเพียงเล็กน้อย เป็นนางที่ไ
“เจ้าบังอาจนัก! กล้าทำให้จวนอ๋องถูกมองไม่ดี เห็นทีข้าจะมองข้ามเจ้ามากเกินไป ใครอยู่ข้างนอก! นำนังบ่าวชั้นต่ำไปโบยให้ข้าที”ชูเฟยชี้นิ้วสั่นระริกไปที่สาวใช้ของอนุชิง นางไม่อยากจะเชื่อว่ายังมีคนโง่ขนาดนี้อยู่ในโลก ถึงขนาดกล้าไปดูหมิ่นขุนนางในราชสำนัก แม้ว่าลั่วคังอันจะเป็นสตรี แต่ก็คือหนึ่งในผู้เป็นกำลังสำคัญของแผ่นดิน ขนาดสามีของนาง ยังต้องไว้หน้าอีกฝ่ายอยู่หลายส่วน แล้วสาวใช้จากสกุลขุนนางเล็กๆ กล้าดีอย่างไรถึงพูดจาไม่คิดได้ขนาดนี้หากจะบอกว่าลั่วคังอันใส่ความ คงยากที่จะพูดแบบนั้นได้ เพราะดูจากสายตาของผู้อื่น ที่ยืนอยู่รายรอบ ทุกคนล้วนซุบซิบกันให้นางได้ยิน ว่าคนที่เริ่มเรื่องนี้ก่อน เป็นคนของจวนอ๋อง ชิงอวี่ถง สตรีน่าตายผู้นี้ ไยจึงต้องมาอยู่ร่วมบ้านกับนางด้วยนะ!“ท่านแม่ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง ที่อบรมนางไม่ดี หากจะลงโทษ ให้ลงโทษที่ข้าเถอะเจ้าค่ะ อีกอย่างข้าไม่คิดว่าการหยอกเย้าของข้า จะทำให้ท่านทัพลั่วไม่พอใจ หรือเพราะนางมองข้าเป็นศัตรู ที่แย่งชิงความรักของท่านอ๋องมาก็มิรู้”ชิงอวี่ถง แสร้งแสดงตัวเป็นคนที่รู้ผิด แต่ยังมิวายโยนความคิดไม่ดีไปที่ลั่วคังอัน มีใครในเมืองหลวงไม่รู้ว่าล
“ท่านแม่ทัพล้อข้าเล่นแล้ว มีหรือข้าจะอาจหาญกล่าวหาท่านแม่ทัพเช่นนั้นได้”ชิงอวี่ถง เอ่ยด้วยรอยยิ้มไม่เต็มหน้านัก เพราะคำพูดของลั่วคังอัน มิได้เบาหรือดังไป แต่คนที่ร่วมงาน ก็วนเวียนอยู่ใกล้ๆ เพื่อจะฟังเรื่องราวการสนทนาระหว่างนางสองคน“ข้ามางานเลี้ยงตามคำเชิญ และข้าก็ไม่ได้คลั่งไคล้กับเรื่องในห้องนอน จนละเลยต่อหน้าที่ของตนเอง ดังนั้นการจะออกมาจากบ้าน หลังแต่งงานเพียงวันเดียว หาใช่เรื่องผิดต่อธรรมเนียมใดๆ ไม่”แม่ทัพสาวหันไปสบสายตา กับสตรีที่เคยทำให้ครอบครัวของนาง ต้องตายอย่างอนาถ คนที่ตั้งใจให้บุรุษมากมาย ข่มเหงน้องสาวคนเดียวของนาง หากนางจะแก้แค้นก็ย่อมไม่ถือว่าใจดำแต่วันนี้นางยังไม่อยากลงมือ เพราะมันจะทำให้อีกฝ่ายสบายเกินไป ต้องรอให้ถึงโอกาสที่เหมาะสม นางจะตอบแทนชายชั่วหญิงเลวไปพร้อมๆ กัน เช่นที่ทั้งคู่เคยร่วมมือกันสังหารนาง“ข้าก็มิได้หมายความเช่นนั้นสักหน่อยนี่เจ้าคะ ก็แค่แปลกใจว่าทำไมจึงไม่อยู่จวนอีกสักหน่อย ค่อยออกมาเริงร่านอกบ้าน”ชิงอวี่ถง ยังคงไม่ลดละที่จะทำให้อีกฝ่าย รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ที่ได้คู่ครองบกพร่อง ไม่เหมือนนางที่ได้สามี เป็นชนชั้นสูงและหล่อเหลา ร่างกายสมบูรณ์พร้อม เ