เวลาเดียวกัน เรือนรับรองแขกปีตะวันออก ณ จวนสกุลลั่ว
ภายในห้องนอนอันมืดมิด ร่างสูงนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงกว้าง และด้วยสภาพอากาศที่ดูจะอบอ้าวไปสักหน่อยสำหรับชายหนุ่ม เขาจึงสวมเพียงกางเกงนอนสีดำตัวเดียวเท่านั้น
การเดินทางอย่างเร่งรีบมาตลอดระยะเวลาหลายวัน ทำให้หลังมื้อค่ำเขาเลือกที่แช่กายในน้ำอุ่น แล้วเข้านอนตั้งแต่ยังไม่ดึกมาก ทว่าเวลานี้เขาทำเพียงลืมตาในความมืด เพื่อให้แน่ใจว่าเสียงฝีเท้าเก้ๆกังๆ อยู่ทางเดินหน้าห้อง มีจุดมุ่งหมายใด จึงได้มาเดินวนเวียนอยู่มิไปไหน หากจะเลยผ่านไปก็มิน่าใช่ หากมาหาเขาไยไม่ส่งเสียงเรียกเล่า
ลั่วอันผิง ที่มีถาดใส่ถ้วยน้ำแกงอยู่ในมือ เดินวนไปวนมาด้วยมิรู้ว่า นางสมควรที่จะเรียกแขกของพี่สาวหรือไม่ เพราะสหายคนอื่นๆ ล้วนได้รับน้ำแกงบำรุงของท่านแม่ไปหมดแล้ว คงเหลือแค่บุรุษหน้านิ่งคนนี้ผู้เดียว
ด้วยนางไม่เคยมีแขกมาพักที่บ้านบ่อยนัก จึงไม่รู้ว่าการผ่านเลยเขาไป จะเสียมารยาทหรือไม่ แต่ในห้องของเขาก็ไร้แสงไฟแล้ว หากนางเรียกเขาก็เกรงจะเป็นการรบกวน
แต่ถ้าไม่มอบสิ่งในมือให้ หากเขารู้ในภายหลัง อาจเกิดความขุ่นเคืองเอาได้ นางมิรู้ว่าบุรุษจะมีความน้อยเนื้อต่ำใจง่ายเช่นสตรีหรือไม่ แต่หากเป็นตัวนาง ก็คงมีน้อยใจอยู่บ้าง
“ผู้ใดกัน...”
เสียงดุกร้าวดังออกมาจากภายในห้องที่ไร้แสงไฟ และนั่นก็ทำให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะยืนนิ่งอย่างมิรู้จะทำเช่นไรดี ฟังจากน้ำเสียงคงไม่ชอบใจ ที่มีคนมารบกวนเวลาพักผ่อน แต่หากจะว่าไปนี่ก็มิได้ดึกมานัก...
“ขะ...ข้าลั่วอันผิงเองเจ้าค่ะ”
หญิงสาวรีบตอบไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ด้วยกลัวจะถูกตำหนิจากคนด้านใน
แอ๊ด! เสียงประตูบานใหญ่เปิดออก ก่อนที่จะเห็นเจ้าของห้องก้าวออกมา หญิงสาวทำตาโตด้วยตอนนี้ แผ่นอกที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ มันขยับกระเพื่อมขึ้นลง ตามจังหวะหายในของชายหนุ่ม ผิวสีเข้มดูมันเงาเมื่อสะท้อนกับแสงไฟตามทางเดิน
เอือก! ลั่วอันผิงเผลอกลืนน้ำลายลงคอเสียงดัง ขวับ! ก่อนที่นางรีบหันหลังให้ชายหนุ่มในทันที เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเอง เสียมารยาทแค่ไหน ที่มองเขาจนตาไม่กระพริบ ไหนจะยังเมื่อครู่ ที่นางเผลอกลืนน้ำลายเสียงดัง ช่างน่าอับอายนัก!
เมิ่งหยู๋เฟิง รีบก้มลงมองตัวเองในทันที ก่อนจะรีบผลุบกลับเข้าไปภายในห้องนอน เท้าหนารีบก้าวไปยังฉากกั้น เขารีบคว้าเสื้อมาสวมอย่างรวดเร็ว โดยไม่ลืมสวมทับเสื้อคลุมตัวนอก เพื่อปกปิดร่างกายให้มิดชิดขึ้นอีกชั้น
เพราะถึงแม้กางเกงของเขาจะเป็นสีดำ ทว่าความเป็นบุรุษมันมิได้นิ่งนอนเท่าใดนัก ในห้องอาจมืดมิด แต่ทางเดินล้วนสว่างไสวด้วยแสงจากคบไฟ
“คุณหนูสามมีสิ่งใดหรือ จึงได้มาพบข้าดึกดื่นขนาดนี้”
เมื่อมั่นใจว่าแต่งกายเรียบร้อยแล้ว เขาจึงได้เดินกลับออกมาอีกครั้ง ก่อนจะถามถึงสาเหตุที่นางมาอยู่ตรงนี้
“คือว่า...ท่านแม่ให้ข้า นำน้ำแกงมาให้พี่ชายทั้งหลายเจ้าค่ะ พี่ๆ ท่านอื่นยังมินอนกัน ต่างได้รับน้ำแกงกันหมดแล้วเจ้าค่ะ”
หญิงสาวยังไม่ได้หันกลับไปมองเจ้าของห้อง ด้วยยังรู้สึกขัดเขิน กับการกระทำของตนเองเมื่อครู่อยู่
“เจ้านำไปให้พวกเขาด้วยตัวเองเลยหรือ”
ร่างสูงเดินอ้อมมาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาว พร้อมคำถามที่ดูเหมือนน้ำเสียงจะไม่ชอบใจเท่าใดนัก
“เอ่อ...เป็นสาวใช้นำไปให้เจ้าค่ะ ส่วนข้ามาที่นี่เจ้าค่ะ”
“เพียงลำพังอย่างนั้นหรือ เจ้าเป็นสตรีไยมิระวังตัวบ้างเล่า”
ชายหนุ่มไม่เห็นสาวใช้ติดตาม จึงเอ่ยตำหนิไปในทันที ต่อให้เขาเป็นสหายของพี่สาวนาง ก็ยังมิใช่สิ่งที่สมควรประมาทได้
“ไม่นะเจ้าคะ ท่านลุงจ้งรออยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ”
หญิงสาวพยักพเยิดไปทางพ่อบ้านชรา และมีสาวใช้หลายนางยืนรออยู่ เมื่อเห็นดังนั้น ชายหนุ่มจึงคลายใจลง จะอย่างไรหญิงสาวก็คือน้องสาวของสหาย หากเกิดสิ่งใดขึ้นคงไม่ดีเป็นแน่
ต่อให้พวกเขาไม่คิดร้ายต่อนาง แต่การเดินมาที่เรือนนี้ในยามค่ำมืด มันก็อันตรายอยู่ดี หากมีคนคิดไม่ซื่อขึ้นมาจะทำเช่นไร เมิ่งหยู๋เฟิง ยกถ้วยน้ำแกงขึ้นมาเป่าเล็กน้อย ก่อนจะดื่มรวดเดียวหมด รสชาติดีเยี่ยมยิ่งนัก อะฮ่า! ทำไมลั่วคังอันไม่มีรสมือเยี่ยงมารดาของนางบ้างเล่า ลงมือปรุงอาหารทีไร เหมือนจงใจฆ่าคนทั้งกองทัพก็มิปาน
“เอามานี่เถอะ ข้าจะช่วยถือเอง” ชายหนุ่มวางถ้วยลงไปในถาด ก่อนจะจับถาดนั้นเพื่อนำมาถือด้วยตนเอง
“ท่านดื่มเสร็จแล้ว ข้าจะนำกลับเองเจ้าค่ะ”
ลั่วอันผิงยังไม่ยอมปล่อยถาดในมือ เพราะนางคือเจ้าบ้าน จะใช้แขกได้อย่างไรกัน
“พี่หยู๋เฟิง เรียกข้าแบบนี้เถอะ”
ชายหนุ่มบอกให้หยิงสาว เรียกเขาให้สนิทขึ้น เพราะคำว่าท่านๆ มันดูขัดหูเขาอย่างไรไม่รู้ เพราะพวกเขาหกคน นางเรียกท่านเสียทุกคน
“ข้าจะกลับแล้วเจ้าค่ะ ท่าน...เอ่อ...พี่หยู๋เฟิง”
“เอามาเถอะ ข้าจะเดินไปส่งเจ้าเอง”
“แต่...”
“ดึกแล้วอย่าได้ดื้อรั้น”
หญิงสาวจำต้องปล่อยมือจากถาดใส่ถ้วยน้ำแกง แล้วก้าวนำหน้าชายหนุ่มไปด้วยท่าทางขัดเขิน ใบหน้างามยามต้องแสงไฟ มันแดงระเรื่อราวท้อสุก
ชายหนุ่มก้าวตามไปอย่างช้าๆ ก่อนจะหันไปส่งสายตาคาดโทษเหล่าสหาย ที่พากันโผล่หน้าออกมาดู และสิ่งที่เขาได้ตอบกลับมา คือรอยยิ้มเย้าแหย่ของสหายทั้งห้า
พ่อบ้านจ้ง และเหล่าสาวใช้ ต่างพากันขยับหลีกทางให้แก่นายสาว และแขกของคุณหนูใหญ่ ก่อนจะพากันก้าวตาคนทั้งสองไปเงียบๆ
“น้ำแกงนี่ท่านน้าทำคนเดียวหรือ”
ชายหนุ่มที่ปกติไม่ชอบชวนสตรีแปลกหน้าคุย กลับเรื่องที่จะหยิบยกเรื่องน้ำแกงมาสนทนาเสียอย่างนั้น
“ข้าช่วยเป็นลูกมือเจ้าค่ะ”
หญิงสาวหันไปตอบคนข้างๆ ด้วยรอยยิ้มสดใส และนั่นทำให้ชายหนุ่มเข้าใจแล้วว่าทำไม ลั่วคังอันถึงได้หวงน้องสาวนักหนา หากเทียบความงามแล้ว ก็ไม่ได้ด้อยกว่าสหายรักเท่าใดนัก แต่ถ้าเรื่องความสดใสร่าเริง ลั่วคังอันหาได้เทียบคนข้างกายเขาในตอนนี้สักนิด
หากนางยังเป็นแบบนี้ ภายหน้าหากเจอบุรุษมากเล่ห์ นางจะรู้เท่าทันได้อย่างไรกัน เสียงการตอบโต้ของหนุ่มสาวได้สิ้นสุดลง เมื่อทั้งคู่ก้าวเดินมาจนถึงเรือนของหญิงสาว
เวลาก่อนหน้านั้น ในช่วงเวลารุ่งสาง ณ จวนสกุลลั่ว เมิ่งหยู๋เฟิง ได้ตื่นขึ้นมาในช่วงก่อนเหล่าสหาย จะติดตามท่านแม่ทัพใหญ่ออกไปหน้าประตูเมือง เพื่อรอรับคู่แฝด ทว่าตัวเขามิได้ติดตามทุกคนออกไป เพราะเขามีหน้าที่อื่นต้องทำ ชายหนุ่มได้เร้นกายอยู่ในความมืด เพื่อรอดูความเป็นไปภายในจวน และคนแรกที่เขาเห็น คือบุตรสาวคนเล็กของจวน เดินมุ่งหน้าไปยังห้องครัวใหญ่ หญิงสาวสั่งการสาวใช้ ให้จัดเจรียมเครื่องสมุนไพร สำหรับทำไก่นึ่งสมุนไพรให้แก่แขกของพี่สาว โดยไม่รู้เลยว่าทุกคำพูดของนาง คนที่บอกว่าอยากจะกิน ได้ยินมันทั้งหมด ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม กับความใส่ใจของนาง ดูเหมือนรายการอาหารอื่นๆ จะไม่มีสิ่งใด เป็นความชอบพิเศษของเหล่าสหายเลยสักนิด ซึ่งไก่นึ่งสมุนไพรของเขา ก็เป็นเมนูที่ง่ายๆ ไม่ได้ยุ่งยากอันใด แต่มันจะพิเศษเมื่อคนทำใส่ใจ กับสิ่งที่ทำให้คน...คนหนึ่งกิน ทว่าในจังหวะที่เขากำลังใส่ใจต่อคุณหนูสาม หางตาก็มีร่างของใครบางคนก้าวผ่านไป สตรีร่างท้วมผู้นี้ ช่างดูคุ้นตายิ่งนัก ก่อนที่เรียวปากหนาบิดขึ้นเล็กน้อย เมื่อเขานึกขึ้นได้แล้ว ว่าเคยพบหญิงผู้นี้ที่ไหน คนข้างก
ลั่วเจิ้งคัง รีบก้าวขึ้นไปบนรถม้า เพื่อรับหลานรักทั้งสอง เพียงเห็นใบหน้ากลมป้อมนั่น ความอ่อนไหวของชายผู้เป็นนักรบกล้า พลันมีน้ำตาคลอหน่วย ราวกับอิสตรีผู้หนึ่งไปเสียอย่างนั้น “เจ้าตัวเล็กของปู่ ช่างน่ารักน่าชังอะไรเยี่ยงนี้ มาให้ปู่อุ้มหน่อยเร็ว” ท่านแม่ทัพใหญ่ ยื่นมือสองข้าง ไปแตะบนใบหน้าน้อยๆ อย่างถนอม ชายสวมหน้ากาก ก้มลงกระซิบๆ เบากับเด็กน้อย ก่อนที่ลั่วเยี่ยนถง จะอ้าแขนเข้าสู่อ้อมกอดของผู้เป็นปู่ ท่านแม่ทัพใหญ่ทั้งกอดทั้งหอมหลานชายเสียหลายที ก่อนจะรับเด็กหญิงมาไว้ในอ้อมแขนอีกข้าง และก็ทำเหมือนเมื่อครู่ต่อนางเช่นกัน “หมดหน้าที่ของข้าน้อยแล้ว ข้าน้อยคงต้องขอตัวก่อนนะขอรับ ส่วนสาวใช้และผู้ติดตามของคุณชายและคุณหนู จะมาถึงในภายหลัง ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดวางใจ ทุกอย่างล้วนเรียบร้อยดีขอรับ” หลี่ถง ไม่เปิดโอกาสให้ท่านแม่ทัพใหญ่ได้ซักถามสิ่งใด เขารีบบอกทุกอย่างให้จบในคราเดียว ก่อนจะประสานมือแล้วก้าวออกจากรถม้าไป ลั่วเจิ้งคัง ผู้ผ่านการต่อสู้มาตั้งแต่ก้าวสู่วัยหนุ่ม ได้ฟังแค่นี้เขาก็เข้าใจได้ในทันที ว่าเหตุใดจึงมีเพียงคนสวมหน้ากาก และลั่วเฉาเท่านั้น ท
หวืด! ปลายดาบคมกริบ พาดผ่านใบหน้างามเพียงเฉียดฉิว ทว่าคนลงมือยังช้ากว่านางไปพอสมควร เมื่อแม่ทัพสาวเอนกายไปด้านหลัง ราวกับตัวนางไร้ซึ่งกระดูกอย่างไรอย่างนั้น ในความรู้สึกของชายชุดดำ มันอ่อนช้อยทว่าแข็งแกร่ง มิใช่ว่าใครๆ ก็ฝึกฝนจนสำเร็จได้เสมอไป แม่ทัพหญิงผู้นี้จะต้องมุ่งมั่นเพียงใด จึงมีฝีมือระดับนี้ได้ ชายชุดดำที่พุ่งเข้าโรมรันแม่ทัพสาว ขบคิดอยู่ภายในใจ ด้วยตัวเขายอมรับแบบไม่อาย ว่าฝีมือยังมิอาจเทียบแม่ทัพหญิงตรงหน้าได้ สองพี่น้องไม่ได้ปล่อยให้เวลาเสียไปเปล่าๆ ทั้งคู่ต่างลงมือต่อคนร้าย ประหนึ่งนักล่าที่ไม่ยินยอมให้เหยื่อหลุดมือไปได้ เรียกว่าเก็บทุกลมหายใจให้สิ้น ทางด้านชายหนุ่มอีกห้าชีวิต ได้อารักขารถม้า โดยใช้วิชาตัวเบาตามติดรอบรถม้า แทบจะไร้ช่องว่างให้ใครได้ฉวยโอกาสลงมือ พ้นป่าไผ่ไปก็คงพบกับคณะของท่านแม่ทัพใหญ่ลั่วแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเขาทั้งหมดต้องหายไป แต่การที่คู่แฝดอยู่บนรถม้า โดยไร้คนดูแล ถ้าท่านแม่ทัพใหญ่เห็นเข้า คงเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาอีกอย่างแน่นอน “คู่แฝดต้องมีพี่เลี้ยง มิเช่นนั้นท่านลุงลั่ว คงต้องสอบสวนเรื่องนี้อีกยาวเลย” อู๋เกอเ
“ท่านแม่ทัพ ด้านนอกให้ข้าจัดการเองเถอะเจ้าค่ะ ตัวท่านยังไม่ควรเปิดเผยให้พวกมันรู้” หญิงสาวยื่นส่งคุณชายน้อยในมือ ให้แก่แม่ทัพหนุ่ม นางในฐานะผู้นำการคุ้มกัน ย่อมไม่ปล่อยหน้าที่นี่ให้แก่ลูกค้าแบกรับได้ แม้ตลอดการเดินทาง นางจะมาในฐานะสาวใช้ก็ตาม “รบกวนแม่นางมู่แล้ว” แม่ทัพหนุ่มรับบุตรชายมาอุ้มไว้ ก่อนจะจัดแจงวางพวกเขาไว้ในตะกร้านอน ก่อนจะกลับมานั่งนิ่ง พร้อมวางดาบคู่ใจพาดไว้บนตัก ในบ้านของเขามีคนไม่ซื่อตรงจริงๆ หรือนี่! ด้วยตลอดการเดินทางนั้น นอกจากโจรป่าตามรายทาง เขาไม่เคยพบกับการลอบโจมตีเลยสักครั้ง แต่หลังจากกำหนดการเข้าเมืองหลวงของเขาเป็นที่แน่ชัด หลังน้องสาวส่งข่าวมาเมื่อคืน กลุ่มคนพวกนี้ก็ปรากฏขึ้นตามที่คาดการณ์ ตึก! ร่างงามได้เหินกายลงบนพื้น เบื้องหลังรถม้าอย่างสง่างาม โดยมีผู้ติดตามในการคุ้มกันครั้งนี้ เคลื่อนกายมาอยู่ด้านเคียงข้างหญิงสาวกว่าสิบชีวิต กลุ่มคนชุดดำที่ไล่กรวดรถม้ามาอย่างกระชั้นชิด จำต้องหยุดเท้าลง เมื่อมีกลุ่มคนขวางทางอยู่ สำนักคุ้มภัยสกุลมู่ ขึ้นชื่อเรื่องความเก่งกาจ ไม่เคยมีงานใดพลาดสักครั้ง แต่ไม่คิดว่าครั้งนี้
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ที่เดินมาส่ง”“ไม่เป็นไร เช่นนั้นข้ากลับก่อน พรุ่งนี้พบกันใหม่”“เจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบรับด้วยความสดใสร่าเริงเช่นเดิมชายหนุ่มหมุนกายเดินกลับไปยังเส้นทาง ที่เขาเดินผ่านมาเมื่อครู่ โดยเรียวปากหนาคลี่ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวทว่าก่อนที่นางจะเดินกลับเข้าไปในเรือน ก็นึกบางอย่างขึ้นได้ จึงหันกลับไปมองชายหนุ่ม ที่ยังคงเดินไปได้ไม่ไกลนัก“พี่หยู๋เฟิง พรุ่งนี้อยากกินสิ่งใดเป็นพิเศษหรือไม่เจ้าคะ”ร่างสูงที่กำลังจะก้าวพ้นแสงไฟหน้าเรือน ได้หยุดเท้าก่อนจะหันกลับไปหาเจ้าของเสียงใส“ข้าอยากกินไก่นึ่งสมุนไพร”ชายหนุ่มคิดชื่อใดไม่ออก จึงเลือกที่คิดว่าหาง่ายตอบนางไป ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง เมื่อเห็นหญิงสาวพยักหน้ารับ พร้อมโบกมือให้แก่เขา“คุณชาย ข้าน้อยจะส่องไฟไปส่งนะขอรับ”พ่อบ้านจ้ง รีบเดินมาหาชายหนุ่ม พร้อมโคมไฟในมือ ด้วยเส้นทางกลับนั้นมิได้สว่างไปตลอดเส้นทาง“เอาโคมไฟให้ข้าเถิด ท่านลุงไปพักผ่อนเถอะขอรับ แค่นี้ข้ากลับเองได้ เดินส่งกันไปส่งกันมา คืนนี้คงมิได้นอนกันพอดี”“ขอรับ”ชายชรายื่นส่งโคมไฟให้แก่ชายหนุ่ม ก่อนจะยืนส่งจนร่างสูงใหญ่ลับตาไป จึงได้เดินกลับไปสำรวจความเรียบร้อย ภายในเรือนของคุณห
เวลาเดียวกัน เรือนรับรองแขกปีตะวันออก ณ จวนสกุลลั่ว ภายในห้องนอนอันมืดมิด ร่างสูงนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงกว้าง และด้วยสภาพอากาศที่ดูจะอบอ้าวไปสักหน่อยสำหรับชายหนุ่ม เขาจึงสวมเพียงกางเกงนอนสีดำตัวเดียวเท่านั้น การเดินทางอย่างเร่งรีบมาตลอดระยะเวลาหลายวัน ทำให้หลังมื้อค่ำเขาเลือกที่แช่กายในน้ำอุ่น แล้วเข้านอนตั้งแต่ยังไม่ดึกมาก ทว่าเวลานี้เขาทำเพียงลืมตาในความมืด เพื่อให้แน่ใจว่าเสียงฝีเท้าเก้ๆกังๆ อยู่ทางเดินหน้าห้อง มีจุดมุ่งหมายใด จึงได้มาเดินวนเวียนอยู่มิไปไหน หากจะเลยผ่านไปก็มิน่าใช่ หากมาหาเขาไยไม่ส่งเสียงเรียกเล่า ลั่วอันผิง ที่มีถาดใส่ถ้วยน้ำแกงอยู่ในมือ เดินวนไปวนมาด้วยมิรู้ว่า นางสมควรที่จะเรียกแขกของพี่สาวหรือไม่ เพราะสหายคนอื่นๆ ล้วนได้รับน้ำแกงบำรุงของท่านแม่ไปหมดแล้ว คงเหลือแค่บุรุษหน้านิ่งคนนี้ผู้เดียวด้วยนางไม่เคยมีแขกมาพักที่บ้านบ่อยนัก จึงไม่รู้ว่าการผ่านเลยเขาไป จะเสียมารยาทหรือไม่ แต่ในห้องของเขาก็ไร้แสงไฟแล้ว หากนางเรียกเขาก็เกรงจะเป็นการรบกวนแต่ถ้าไม่มอบสิ่งในมือให้ หากเขารู้ในภายหลัง อาจเกิดความขุ่นเคืองเอาได้ นางมิรู้ว่าบุรุษจะมีความน้อ