“ขอรับ” คนสนิทรับคำ ก่อนจะโค้งกายให้แก่ผู้เป็นนาย และชายสวมหน้ากากอีกคนอย่างนอบน้อม ก่อนจะหมุนกายก้าวออกจากห้องไป เหลือเพียงบุรุษที่ไม่เผยใบหน้าทั้งสอง นั่งเผชิญหน้ากันด้วยความรู้สึกอันตึงเครียดแต่คงจะสำหรับผู้ที่มารอเสียมากกว่า ที่กำลังตกอยู่ในสภาพวะนั้น เพราะผู้ที่เพิ่งมาถึง มีเพียงความเฉยชา ราวกับความผิดที่มาล่าช้า เป็นเรื่องที่ไม่น่ารังเกียจอันใดสำหรับเขา “เจ้าไม่ควรปล่อยให้ข้ารอนาน” เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังไม่คิดจะตอบตนเอง เขาจำต้องเอ่ยย้ำอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่ไม่พึงใจเท่าใดนัก คนหนาหน้า! ถูกตำหนิถึงเพียงนี้ ขอโทษสักคำก็ไม่มีช่างน่าตายนัก! หากไม่เพราะผลประโยชน์อันมหาศาล เขาไม่มีวันคบหาคนเยี่ยงนี้เป็นแน่ “ข้าก็มาแล้วนี่อย่างไร” ผู้มาใหม่เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไร้ซึ่งคำแก้ตัว หรือเหตุผลของการล่าช้า จะให้เขาบอกไปได้อย่างไร ว่าเพราะตัวเขานั้น บาดเจ็บหนัก ที่ลุกมาได้ตอนนี้ ก็ถือว่าฝืนอย่างที่สุดแล้ว จะพอใจหรือไม่ก็ตามแต่จะคิดได้เลย เขาไม่คิดแยแสสักนิด “เมื่อไหร่เจ้าจะลงมือเสียที” เมื่อไม่มีคำอธิบายใดๆ ชายผู้รั้งรอก็ไม่อ
หญิงสาวสะบัดใบหน้าไปมา เมื่อท่อนเอ็นอุ่นร้อนผ่านเข้าไปในคราวเดียว มือบางขยุ้มผ้าปูเอาไว้แน่น พร้อมกับที่ตัวนางครางออกมาด้วยความเสียวซ่าน เมื่อเอวสอบของชายหนุ่ม เริ่มขยับจากเนิบช้า เป็นกระชั้นถี่ขึ้น ความร้อนภายในกาย มันแทรกผ่านไปทุกอณูรูขุมขนเลยก็ว่าได้ เมื่อการเสียดสีมันระรัวเร็ว จนนางเสียวสะท้านไปทั้งกาย“โอ้วววว อ๊า...แรงอีกได้หรือไม่ กรี๊ดด เสียวอะไรเยี่ยงนี้”หญิงสาวทั้งเร่งเร้า ให้ชายหนุ่มเพิ่มความรุนแรง ในการกระแทกใส่ร่างนางให้มากขึ้นอีก เมื่อชายหนุ่มตามใจ นางก็กรีดร้องออกมา ทั้งยังครางไม่เป็นสรรพนางไม่เคยจะรู้สึกเสียวซ่าน จนหูอื้อตาลายเยี่ยงนี้มาก่อน มันช่างดีเหลือเกิน หญิงสาวขยับยกก้นเด้งสวนรับ แรงกระแทกกระทั้นเข้าใส่กายนางของชายหนุ่ม มันช่างสอดรับกันดีเหลือเกินหยางเฮ่อหลงครางเสียงสั่น เมื่อความเสียวซ่านมันแผ่ไปตลอดทั้งร่าง มือข้างหนึ่งจับที่เอวคอดของนาง อีกข้างเลื่อนไปบีบเค้นเต้าเต่งตึงอย่างเมามันแม้บทรักจะร้อนแรงแค่ไหน ใบหน้าครึ่งหนึ่งของหญิงสาวยังคงปกปิดด้วยหน้ากาก ซึ่งชายหนุ่มเองก็ไม่คิดที่จะดึงมันออก เขามองว่ามันยิ่งเพิ่มความตื่นเต้นให้กับการร่วมรักครั้งนี้ชายหนุ่มเร
หยางเฮ่อหลง ผละออกจากอกอิ่ม ก่อนจะรีบจัดการกับเสื้อผ้าของตนเอง เขาอยากที่จะสัมผัส กับกายหอมกรุ่นนี้ให้แนบชิดยิ่งขึ้น“อย่าทำแบบนี้ ข้ามิใช่สตรีในหอสุรา”เมื่อได้โอกาสที่จะร้องขอให้เขาปล่อยนางไป หญิงสาวจึงรีบกอดอกเอาไว้แน่น แล้วบอกแก่เขา ว่านางมิใช่หญิงคณิกา“เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือ สตรีในหอสุราล้วนมีเพื่อบุรุษ เจ้าอยากได้เงินเพิ่มใช่หรือไม่ มิต้องห่วง...ขอแค่ทำให้ข้าพอใจ ข้าจะให้มากกว่าที่เจ้าเคยได้ถึงสามเท่า”หยางเฮ่อหลงหรือจะเชื่อ เพราะนี่คือมารยาที่หญิงในหอสุรา มักจะสรรหามาเพิ่มค่าตัว ซึ่งถ้าเขาพึงพอใจ ย่อมมิใช่ปัญหาที่เขาจะจ่ายให้แก่นาง“ไม่นะ! ปล่อยข้า!”หญิงสาวไม่อาจบอกชื่อแซ่ของตนเองได้ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่เรื่องนี้หลุดออกไป ศักดิ์ศรีที่นางทะนงมาตลอด คงไม่เหลือให้ได้อวดต่อหน้าใครอีกแล้วแคว่ก! เสียงกระโปรงของนางถูกฉีกขาดออกจากร่าง ประหนึ่งความอัปยศ ที่นางต้องแบกรับไปทั้งชีวิต ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า ไยนางไม่เคยรู้มาก่อน ว่าหอสุราจะมีเรื่องแบบนี้ซุกซ่อนอยู่ มิใช่สถานที่เริงรมย์ที่ใครๆ ก็มาได้หรือ...หรือจำกัดแค่บุรุษเท่านั้นที่เข้ามาได้หยางเฮ่อหลงยิ้มอย่างพอใจ เมื่อเรือนร่างที่
“ขอรับ”หยางเฮ่อหลงรับคำ ก่อนจะเดินไปยังจุดแจกสิ่งของ ซึ่งมีสตรีถึงสามคนที่ทำให้เขาอยากชิดใกล้ เสียอย่างเดียวที่มีพวกบ้านนอกอยู่เยอะไปหน่อย“พี่รอง มาทำความรู้จัก กับสหายของพี่หญิงคังอันสิเจ้าคะ”หยางหลิงหลง ที่มิรู้ประสาเรื่องสายตาบุรุษ รีบเอ่ยชักชวนพี่ชายคนรอง ให้มาทำความรู้จัก กับชายสหายของว่าที่พี่สะใภ้ ด้วยน้ำเสียงสดใส“พวกบ้านนอก มีค่าอันใดให้ข้าต้องทำความรู้จักหรือ”หยางเฮ่อหลง เบะปากอย่างรังเกียจต่อชายหนุ่มทั้งหก มิใช่เพียงแค่ดูหมิ่นว่ามาจากบ้านนอก แต่เพราะชายทั้งหกนั้น ดูดีและองอาจจนเขามิอาจเทียบเคียง“หึๆ คนไร้ค่าที่ดีแต่ปาก ก็ไม่คู่ควรให้ขุนพลแบบพวกข้ารู้จักเช่นกัน สวะก็คือสวะ จะเกิดมาจากเลือดดีแค่ไหน ก็ไร้ค่าถ้ายังไม่เรียนรู้จะรักษามารยาท”เมิ่นหยู๋เฟิง ชายที่เงียบที่สุดในกลุ่ม กลับเป็นคนที่พูดแบบนี้ออกมา ทั้งยังเต็มไปด้วยความเยาะหยันอย่างไม่คิดปิดบัง“แกว่าใคร!”หยางเฮ่อหลง ชี้นิ้วไปยังเมิ่งหยู่เฟิง และตอนนั้นเองที่ลั่วอันผิงได้ขยับมาบังชายหนุ่มเอาไว้ ใบหน้างามของนางบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด และนั่นทำให้ลั่วคังอันเลิกคิ้วสูง กับปฏิกิริยาของน้องสาวเพียงคนเดียว“นี่คืองานที่เป
สามวันถัดมา ณ จวนแม่ทัพลานกว้างหน้าจวน คับคั่งไปด้วยผู้คนมากมาย ที่มาร่วมแสดงความยินดี กับทายาทรุ่นหลานของท่านแม่ทัพใหญ่ โดยมีชาวเมืองที่ยากไร้มารอรับของแจก อยู่ไม่น้อยเช่นกันคุณหนูใหญ่ลั่วและคุณหนูสาม สองพี่น้องได้พากันออกมายืนคอยแจกข้าวสาร และอาหารแห้งให้แก่ผู้มารอรับ ส่วนท่านแม่ทัพใหญ่นั้นได้ยืนต้อนรับแขกอยู่หน้าประตูใหญ่ คำกล่าวแสดงความยินดีมีมาอย่างต่อเนื่องก่อนจะมีรถม้าคันใหญ่มาจอดเทียบ ชื่อที่สลักบนรถม้ามาจากสกุลหยาง และนั่นเองที่ทำให้ลั่วคังอัน มอบหน้าที่ให้น้องสาวและสหายทั้งหก ช่วยกันแจกจ่ายสิ่งของหญิงสาวก้าวมาหยุดอยู่เคียงข้างบิดา ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง เมื่อท่านมหาเสนาบดี และฮูหยินผู้เฒ่าก้าวลงมา ก่อนที่หยางสวี่เหยาจะนำรถเข็น มาจอดเทียบใกล้หน้าประตูรถม้า ชายหนุ่มรีบก้าวขึ้นไปบนรถม้า ก่อนจะพาร่างของผู้เป็นนายลงมาลั่วคังอันเดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงรถเข็น หญิงสาวช่วยจับเอาไว้มั่น รอยยิ้มพิมพ์ใจของนาง ทำให้สองสามีภรรยา ยิ้มจนแก้มแทบจะแตกเสียให้ได้หลานสะใภ้ที่ควรจะดุดันเยี่ยงนักรบ กลับมีความอ่อนโยน และงดงามยิ่งนัก แม้ผิวพรรณจะไม่ได้ขาวนวลเนียน ทว่าผิวสีน้ำผึ้งของนาง กลับส่งให้ใบห
แม่ทัพหนุ่ม เอื้อมมือไปหยิบเอาหยกนั้นมาพิจารณา ก่อนจะล้วงเอาหยกของตนเองออกมาเทียบ มันคือของภรรยา ที่เขาเก็บติดกายเอาไว้ นับตั้งแต่นางจากไปมือหยาบค่อยๆ ไล้หยกทั้งสองชิ้นอย่างระลึกถึงเจ้าของ เป็นของนางจริงๆ สิ่งที่นางบอกไว้ไม่เคยผิดสักอย่าง แต่น่าเสียดายที่เจ้าตัวไม่ได้เห็นคนที่รอมานาน กลับมาให้ชื่นใจ“สิ่งใดที่เจ้าต้องการตกลงกับข้า”เมื่อมั่นใจแล้วว่าคนตรงหน้า คือน้องสาวภรรยาจริงๆ เขาจึงต้องการรู้ข้อตกลง ที่นางบอกไว้ในคราแรก“ยามว่างข้าขอมาดูแลหลานๆ ได้หรือไม่”หญิงสาวไม่ได้ละสายตา ไปจากใบหน้าของอดีตพี่เขย นางขอแค่นี้...ขอแค่ได้เห็นหลานๆ และเรียกนางว่าน้า เท่านี้ก็ดีมากแล้ว“เจ้ายังจะกลับสกุลมู่หรือ”“ใช่! เพราะมีเพียงหนทางนี้เท่านั้น ที่ข้าจะปกป้องคู่แฝดเอาไว้ได้ อำนาจต้องมีทั้งด้านสว่างและด้านมืด ท่านคือบิดาจงอยู่ในที่แจ้งเสีย ในที่มืดข้าที่เป็นน้าจะจัดการเองทั้งหมด”หญิงสาวตอบไปแบบไม่อ้อมค้อม เพราะมันไม่จำเป็นที่นางต้องเสแสร้ง ใครบ้างไม่รู้ว่าสำนักคุ้มภัยหลายแห่ง ล้วนด้านที่มืดมนแฝงอยู่ สำนักคุ้มภัยสกุลมู่ กว่านางจะช่วงชิงมาได้ นางต้องใช้ทุกวิถีทางให้ได้มันมา ตามที่พ่อแม่บุญธรรมคาด