ภายในลานจัดเลี้ยง ซึ่งเวลานี้ฟ้าก็เริ่มอ่อนแสงลงมากแล้ว แต่ความสำราญของเหล่าคอสุรา ยังคงเหนียวแน่นไม่มีแผ่ว แม่ทัพสาวเองในฐานะเจ้าภาพ ก็ไม่คิดถอยให้กับใครเช่นกัน สุราจากชายแดนถูกนำออกมาหลายไหและนั่นทำให้บรรดาครอบครัวแม่ทัพทิศอื่นๆ ที่แม้จะเกษียณอายุด้วยวัยที่มากแล้ว กลับมาคึกคักอีกครั้ง เมื่อเห็นสุราที่นิยมดื่มกันในกองทัพ มันทำให้เหล่าตาเฒ่า เหมือนย้อนวัยอย่างไรอย่างนั้น“เชิญทุกท่านลิ้มรส สุราที่ข้านำมาจากแดนตะวันออก”แม่ทัพสาวยกถ้วยสุราชูขึ้นสูง ก่อนจะนำมาจ่อริมฝีปากกระดกรวดเดียวหมดถ้วย รสที่คุ้นเคยทำให้นางรู้สึกเหมือน กำลังยืนอยู่ต่อหน้าพี่น้องร่วมรบ เมื่อครั้งที่นางก้าวเข้าสู่กองทัพในคราแรก ในฐานะทหารฝึกหัด การดื่มของนางไม่ได้เก่งกาจขนาดนี้ครั้งแรกกับสุราป่ารสร้อนแรง นางจำได้ว่าพี่ชายต้องแบกนางกลับที่พัก และมันยังคงเป็นเยี่ยงนั้นนานนับปี จนตอนนี้มันเสมือนน้ำเปล่าไปเสียแล้วสำหรับนาง“ฮ่าๆ ดื่ม...หลานสาวข้า เจ้าทำให้บุตรสาวของลุงผู้นี้ มีความมุ่งมั่น ที่จะเป็นผู้ปกป้องแผ่นดิน โดยมีเจ้าเป็นแบบอย่าง”แม่ทัพตะวันตกยกถ้วยสุราขึ้น แล้วดื่มรวดเดียวหมด ความร้อนแรงที่ห่างหายไปนาน ทำให้เขา
“เจ้าคงสาแก่ใจมากสินะ! ที่วันนี้เป็นข้าที่มาอย่างเหนือความคาดหมายของเจ้า เจิ้งคัง! แต่รู้ไหม! ข้าไม่เคยเชื่อว่าเจ้าจะรู้ว่าเป็นข้า!”ลั่วเสียนจง เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เขาคิดมาตลอดว่าวางแผนอย่างรัดกุมแล้วแท้ๆ และเหมือนมันจะเป็นไปตามที่เขาต้องการมาโดยตลอดแต่ทำไมเพียงแค่ลั่วคังอันก้าวเข้าจวน ทุกอย่างมันกลับตาลปัตร ในเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น แล้วไหนจะยังทายาทสายตรง ที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน ว่าถือกำเนิดตั้งแต่ตอนไหน“เพื่อสิ่งใดเสียนจง ข้ามั่นใจว่าที่ผ่านมา ไม่เคยสักครั้งที่จะละเลยเจ้าที่เป็นน้องชาย”ท่านแม่ทัพใหญ่ เอ่ยถามถึงเหตุผล ที่น้องชายคิดร้ายต่อเขาและครอบครัว ทั้งที่ผ่านมา เขามั่นใจยิ่งนัก ว่าไม่เคยที่จะมองข้ามความสำคัญของเสียนจงสักครั้ง“ใช่! เจ้าไม่เคยมองข้ามข้า แต่สิ่งที่ข้าต้องการ ทำไมข้าจึงไม่เคยเอื้อมถึงสักครั้งเล่า ตำแหน่งผู้นำตระกูล ไยมันจึงตกมาเป็นของเจ้า สิ่งใดๆ ที่ว่าดีล้วนอยู่ที่เจ้า แม้แต่คนที่ข้าหมายปอง นางยังเลือกเจ้าไม่เลือกข้า! ทำไม! เจ้าบอกข้าสิ! ว่าทำไมข้าจึงต้องเป็นรองเจ้าไปเสียทุกอย่าง”มันคือความอัดอั้น ที่เหนือจากสองพ่อลูกจะคาดได้ถึง ว่าค
“โกหก! ถึงขนาดนี้แล้ว มีหรือที่เจ้าจะไม่รู้ว่าเป็นตัวข้า”ลั่วเสียนจง ตวาดหลานชายเสียงลั่น เขาคิดว่าลงมือในวันนี้ ที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจ กับงานเลี้ยงรับขวัญหลานแฝด ของญาติผู้พี่ แต่ใครจะไปคิด ว่าลั่วเยี่ยนคัง จะอยู่ที่เมื่องหลวง และยังเฝ้ารอการมาของเขา โดยมีสาวใช้ตรงหน้าเป็นเหยื่อล่อ“หากข้ารู้ว่าเป็นท่านอา เชื่อเถอะ...ว่าข้าจะไม่ทำให้ท่านอาต้องอับอาย แต่จะทำให้ทุกอย่างเงียบประหนึ่งไร้เรื่องราวใดๆ”ทุกคำล้วนไม่ผิดจากที่เขาพูด หากเขารู้ตัวการก่อนหน้านี้ เขาจะทำให้สกุลลั่วไร้ซึ่งสิ่งแปดเปื้อน“เจ้ากล้ารึ!”ลั่วเสียนจง มีหรือจะไม่เข้าใจในความหมายของคำพูด นี่ลั่วเยี่ยนคังคิดว่าจะทำให้เขาตาย โดยไม่ต้องให้คนนอกรู้ ว่าเขาคิดร้ายต่อพี่น้องร่วมสายเลือด ช่างอำมหิตนัก!“แล้วทำไม...ข้าจะต้องไม่กล้าเล่าขอรับ”แม่ทัพหนุ่มยังคงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ อะไรก็ตามที่เป็นปัญหาจนยากแก้ไข ก็สมควรต้องสะสางให้หมดจด“อย่าเข้ามานะ! มิเช่นนั้นข้าจะสังหารนางซะ!”ลั่วเสียนจง เพิ่มแรงบีบที่ลำคอของฉู่ผิง เพื่อไม่ให้ลั่วเยี่ยนคังก้าวเข้ามาใกล้ตนเอง“ท่านอาลืมอะไรไปหรือไม่ขอรับ ว่าข้าคือทหาร เรื่องการต่อรอง ท่านอาย
ห้องขังด้านหลังเรือน ณ เรือนเยี่ยนคัง สาวใช้ฉู่ผิงยังคงถูกจองจำ หาได้รับอิสระหรือถูกสำเร็จโทษตายอย่างที่ควรจะเป็น นางดูอิดโรยจนใบหน้าซูบตอบไปไม่น้อยเลย เพราะนางมิเพียงกลายเป็นนักโทษ แต่นางยังรู้สึกตรอมใจกับชะตาของตนเองคนรักที่นางทำทุกอย่างเพื่อเขา แม้แต่การทรยศต่อนายที่มอบชีวิตให้สุขสบาย ก็เพื่อเขาเพียงคนเดียว สุดท้ายกลับเป็นนางที่หลงมัวเมาไปกับคำลวงอยู่เพียงฝ่ายเดียว หญิงสาวนอนสิ้นเรี่ยวแรง เหมือนผักที่เหี่ยวเฉา เยี่ยงต้นไม้ที่มิได้รดน้ำมานาน จนใกล้ตายเต็มทีแล้วแก๊ก! เสียงเหมือนกลอนประตู กำลังมีคนพยายามเปิดมันออก ฉู่ผิงรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก เพราะถ้าเป็นคนของท่านแม่ทัพ ย่อมเปิดประตูนี้ออกได้โดยง่ายดาย นางคือคนที่กุมความลับของผู้บงการ ย่อมถูกตามเก็บกวาดอยู่แล้ว แม้จะไม่รู้ถึงใบหน้า ของผู้นำใหญ่แต่ก็รู้ผู้เชื่อมต่อข่าวสารร่างที่ยังอ่อนแรงรีบผุดลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะรีบคลานเข้าไปหลบยังมุมด้านในสุดของห้อง ด้วยอาการสั่นเทา แก๊ก! เสียงสุดท้ายที่ได้ยิน เป็นการบอกได้ว่าแม่กุญแจถูกไขได้แล้ว แอ๊ด!! ประตูห้องถูกเปิดออกอย่างช้าๆ ก่อนจะมีร่างสูงของชายผู้หนึ่งก้าวเข้ามา แล้วประตูก็ปิดลง“เจ้ายังอยู
รถม้าวังหลวง ณ ตรอกข้างจวนแม่ทัพ ภายในรถม้าเมิ่งหยู๋เฟิง นั่งนิ่งสบกับดวงตาของขันทีเฒ่า ซึ่งตอนนี้ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ ให้แก่ผู้เป็นนาย ด้วยเขาไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้น เยี่ยงไรต่อการถ่ายทอดคำสั่ง จากโอรสสวรรค์ โดยที่คนตรงหน้า ไม่หนีหายไปไกลตาอีก นี่หากว่าท่านแม่ทัพลั่วคังอันไม่แต่งงาน ทอรู้ว่าอีกนานแค่ไหน องค์รัชทายาทจะกลับเข้าเมืองหลวง รวมไปถึงพระสหายทั้งห้า ที่ล้วนเป็นทายาทสายหลักของสกุลใหญ่ เหตุผลที่ทั้งหมดไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนในเมืองหลวง ก็เพื่อความปลอดภัย อีกทั้งยังไม่ถึงแก่เวลาที่จะเผยตน “หน้าข้าตลกนักหรือ จึงมองแล้วยิ้มเยี่ยงนั้น” ชายหนุ่มเอ่ยถามขันทีเฒ่า พร้อมเลิกคิ้วสูงอย่างมีคำถาม ทว่ามิได้จริงจังเท่าใดนักต่อคำถามที่เอ่ยออกไป กลับเป็นเสมือนการหยอกเย้าเสียมากกว่า “มิได้พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเฒ่ารีบปฏิเสธในทันที “เขาบอกสิ่งใดท่านมาอีก”ชายหนุ่มเอ่ยถาม โดยที่ไม่เอ่ยชื่อของคนผู้นั้น ซึ่งเป็นที่รู้กันดีระหว่างนายบ่าว ว่าหมายถึงผู้ใด “ฝ่าบาททรงอยากให้พระองค์ เข้าวังไปเยี่ยมเยียนบ้างพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเฒ่ารีบบอกตามคำที่
“เจ้าเป็นภรรยาของข้า มิว่าเรื่องอันใด ข้าย่อมต้องออกหน้าปกป้องเจ้าอยู่แล้ว”ด้วยมิเคยอยู่ชิดใกล้กัน โดยที่เขาและนาง ไม่ทะเลาะกันเป็นครั้งแรก หยางมู่เสวียนจึงไม่รู้ ว่าความอ่อนโยนเท่าที่เขาจะแสดงออกมาในตอนนี้นั้น จะทำให้สถาการณ์ ระหว่างเขากับนางในเวลานี้ จะแปรเปลี่ยนกลับไปคุกรุ่น เช่นที่ผ่านมาอีกหรือไม่ และคำตอบของเขามันยังคงเป็นทางการอยู่บ้าง เขาจึงไม่แน่ใจว่านางจะมองเห็น ในความอ่อนโยนนั้นบ้างหรือไม่“ข้า...”ฉีเหนียงเหนียง ที่ยังคงมีความขัดเขินเยี่ยงวัยสาว ทั้งที่มันไม่เคยเกิดขึ้นเลย นับตั้งแต่นางต้องแต่งงานกับสามี โดยไม่มีความรักต่อกัน ทว่าเวลานี้กลับรู้สึกมัน ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นเช่นนั้นแม้แต่น้อย“เจ้าเหนื่อยหรือยัง”เมื่อเห็นภรรยาอึกอัก ด้วยไม่รู้จะหาเรื่องไหนชวนนางคุย เขาจึงเลือกที่จะถามนาง ด้วยคำถามเท่าที่จะคิดออกได้ในตอนนี้“ไม่เท่าไหร่เจ้าค่ะ”ฉีเหนียงเหนียง ยังคงตอบสามีด้วยเสียงอู้อี้อยู่กับอกกว้าง ถาว่านางเหนื่อยกับงานเลี้ยงไหม นางก็อยากตอบไปตรงๆ ว่าเหนื่อยอยู่ไม่น้อย อาจเพราะไม่บ่อยครั้ง ที่นางจะออกงาน ด้วยสายตาของภรรยาขุนนางมากมาย มักมองนางด้วยความหยามหยัน ที่แต่ง