“ใช่เจ้าค่ะ เร็ว ๆ เข้าท่านหมอหลุน ข้ารีบวิ่งมาที่นี่ก็เพื่อให้ท่านช่วยมัน เสี่ยวจูเจ้าอดทนไว้ก่อนนะแมวน้อย”
“แมวน้อยงั้นหรือ คุณหนูกู้แมวตัวนี้มันแทบจะอ้วนเกือบจะเป็นลูกหมูได้แล้ว”
“ท่านหมอ รีบ ๆ เข้าเถอะน่าเดี๋ยวมันก็ตายหรอก”
“ท่านรออยู่ที่นี่ก่อน อีกเดี๋ยวข้าน้อยจะต้องใช้เครื่องมือคีบก้างออกมาจากปาก เสร็จแล้วจะรีบพามันออกมาส่ง”
“ได้ ๆ ฝากท่านด้วยเจ้าค่ะ”
หมอหลุนเดินเข้ามาอุ้ม “เสี่ยวจู” ที่กู้ม่านซีบอก มันมองหน้าหมอหลุนอย่างไม่ไว้ใจนัก มันครางเสียงขู่ในลำคอแต่ก้างที่ยังค้างในคอทำให้ไม่กล้าแผลงฤทธิ์มาก
“ข้าจะอุ้มมันแล้วตามท่านหมอเข้าไป มันไม่ไว้ใจให้คนอื่นอุ้มสักเท่าใดนัก”
“เช่นนั้นก็ได้ขอรับ เชิญคุณหนูอุ้มแมวตามข้ามาทางนี้”
ไม่นานท่านหมอก็ให้คุณหนูกู้เป็นผู้จับแมวยักษ์นั่นเอาไว้ ท่านหมอง้างปากมันออกและใช้คีมคีบก้างที่ยาวพอประมาณออกมาได้จนสำเร็จ แมวอ้วนเริ่มสบายคอและหันมากินน้ำที่หมอหลุนเตรียมเอาไว้ใน ในนั้นเขาผสมยาแก้ปวดลงไปให้มันกินด้วยเพื่อไม่ให้คุณหนูสกุลใหญ่ผู้นี้เป็นกังวล
“เฮ้อ รอดแล้วนะเสี่ยวจู วันหลังก็อย่าตะกละกินเร็ว ๆ แบบนั้น ถ้าไม่ได้ท่านหมอละก็เจ้าตายไปแล้วนะ มานี่ มาขอบคุณท่านหมอก่อนเร็วเข้าเจ้าหนูน้อย”
นางยกแมวยักษ์ที่หน้าตาบู้บี้ขึ้นมาต่อหน้าหมอหลุน
“เร็วเข้าขอบคุณท่านหมอก่อน”
แมวยักษ์หน้าตาไม่รับแขกแล้วยังแยกเขี้ยวใส่หมอที่พึ่งจะรักษาเอาก้างออกจากคอพร้อมกับเสียงขู่ในลำคอที่ทำให้ท่านหมอรีบโบกมือให้นางพามันลงและอยากให้นางรีบ ๆ ออกไปจากร้านของเขาเสียที
เงินก้อนโตวางเอาไว้เพื่อเป็นค่ารักษา แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขาแค่คีบก้างออกจากปากแมวแต่เขาก็อดขำไม่ได้หลังจากส่งนางกลับไป
“ฮึ ก้างติดคอแมว ข้าเป็นหมอมายี่สิบกว่าปีพึ่งจะเคยเห็น แมวโง่ที่กินปลาจนก้างติดคอ แมวอะไรตัวใหญ่กว่าลูกหมูเสียอีก”
หลังจากที่พาเจ้าแมวไปรักษาแล้วขากลับกู้ม่านซีก็ค่อย ๆ ขี่ม้ากลับไปยังจวนสกุลกู้ นางพึ่งสังเกตว่าจวนข้าง ๆ มีคนย้ายเข้ามาอยู่แล้วเพราะคนที่เริ่มขนของเข้าไปนางนึกสงสัยจึงหันมาถามองครักษ์ของตัวเอง
“นี่จิ่วหลง เจ้ารู้หรือเปล่าว่าผู้ใดที่ย้ายมาอยู่จวนข้าง ๆ”
“เห็นว่าเป็นคุณชายเจ้าสำอางคนหนึ่งขอรับคุณหนู ดูแล้วน่าจะเป็นบัณฑิตหรือไม่ก็คนในราชสำนักนะขอรับเพราะว่าข้าวของเครื่องใช้นั่นมีตราขุนนางฝ่ายกลาโหมของวังหลวงอยู่”
“อ้อ ที่แท้ก็ขุนนางจากวังหลวงหรอกเหรอ น่าเบื่อจริงเสี่ยวจูเจ้าพึ่งจะหายรีบเข้าไปพักข้างในดีกว่า”
แมวอ้วนที่เอาแต่นอนได้แต่ส่งเสียงตอบกลับเจ้านายของมันเท่านั้น นอกจากกินกับนอนแล้ว “เสี่ยวจู” แมวขี้เกียจของกู้ม่านซีก็แทบจะไม่ได้ออกกำลังกายเลย แม้ว่าเจ้าของจะหมั่นฝึกยุทธ์มากขนาดไหนก็ตาม
“ชุนหลิน”
“เจ้าค่ะคุณหนูท่านกลับมาแล้วเหรอเจ้าคะ”
“เอะอะทำไมกันเดี๋ยวท่านพ่อก็ดุข้าอีกหรอก เอาข้าวให้เสี่ยวจูกินหน่อยสิมันคงหิวแล้วไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้า อ้อ เอายานี่ผสมในน้ำให้มันกินด้วยนะ”
“เจ้าค่ะ มาเร็วเสี่ยวจูพี่สาวจะพาไปกินข้าวนะ มา ๆ”
เพียงแค่คำว่า “กินข้าว” เสี่ยวจูก็ยินดีที่จะเดินตามสาวใช้ของนางไปทันทีโดยที่ไม่ต้องเรียกซ้ำ กู้ม่านซีเดินเข้ามาในห้องส่วนตัว ไม่นานสาวใช้ก็เดินตามนางมาและทักนาง
“เอ๊ะ คุณหนูเจ้าคะ ปิ่นเงินของท่านหายไปไหนเสียเล่าเจ้าคะ”
“อะไรนะ ปิ่นหรือ”
นางเดินไปส่องที่คันฉ่องในห้องและพบว่าปิ่นสีเงินของนางหายไปอันหนึ่งจริง ๆ ซึ่งนางจำไม่ได้เลยว่าไปตกที่ใด
“แย่จริงไม่ทันได้มองเลยหากเจ้าไม่ทักละก็คงไม่รู้”
“ซีเอ๋อร์ ซีเอ๋อร์”
“ท่านพ่อ ลูกอยู่นี่เจ้าค่ะ”
“เจ้ากลับมาแล้วงั้นหรือ มาคุยกับพ่อสักหน่อยสิ”
“เจ้าค่ะ ชุนหลินฝากดูเสี่ยวจูด้วยนะเดี๋ยวข้ามา”
“เจ้าค่ะ”
เสี่ยวจูกินข้าวเสร็จแล้วชุนหลินจึงพามันไปนอนเล่นที่ระเบียงด้านหลังซึ่งเป็นสวนและมีต้นไม้ใหญ่เป็นที่ที่มันชอบไปฝนเล็บและมักจะไปปีนต้นไม้เล่นตอนยังเล็ก แต่ตอนนี้มันอ้วนและขี้เกียจแม้แต่จะกระโดดขึ้นกำแพงระเบียงเตี้ย ๆ นั่นด้วยซ้ำไป
ห้องโถงเล็ก
“ท่านพ่อท่านมีอะไรหรือเจ้าคะ”
“เจ้าเคยได้ยินชื่อของ "เพชฌฆาตไร้เงา" หรือเปล่า"
“มือปราบลับของฝ่าบาทที่มักจะปรากฏตัวในทุก ๆ ที่ที่มีการทุจริตในการสอบขุนนางท่านพ่อถามทำไมหรือเจ้าคะ หรือว่าท่านพ่อคิดว่าเขาจะมาที่นี่ เมืองจิ่งโจวนี้เพราะกำลังจะมีการสอบคัดเลือกขุนนาง”
“ใช่แล้วล่ะ เพียงแต่ว่าครั้งนี้การสอบมีคณะตรวจสอบจากเมืองหลวงที่ถูกส่งมาก่อนหน้านี้ตายไปแล้วสองคน ทั้งสองยังไม่ทันได้มาถึงเมืองจิ่งโจวนี่ด้วยซ้ำไป พ่อกำลังนึกสงสัยว่ากำลังมีคนวางแผนร้ายสำหรับการสอบครั้งนี้หรือไม่”
“แต่คนผู้นี้มีชื่อเสียงในยุทธภพและเป็นขุนนางลับของฝ่าบาท ร่ำลือกันว่าทำงานเงียบไร้สุ้มเสียง ผู้ที่ได้พบเขาคือผู้ที่ชะตากำลังจะถึงฆาตเพราะถูกจับได้ในคดีทุจริต ปลิดชีวิตไม่เคยรอดสักคนแม้ว่าเป็นสตรีก็หาได้สนใจไม่ ลงมือเด็ดขาดเลือดเย็นโดยไม่ต้องถือป้ายคำสั่ง”
“การทุจริตแม้ว่าจะมีร้อยหูพันตาก็มีช่องโหว่ ครั้งนี้เป็นการจัดการสอบในรอบสี่ปีของจิ่งโจว แน่นอนว่าต้องถูกจับตามองเป็นพิเศษ เห็นว่าฝ่าบาทส่งขุนนางที่ไว้ใจได้มาช่วยพ่อในการดูแลเรื่องการสอบครั้งนี้ นี่เขาก็ย้ายมาแล้วอยู่ที่จวนข้าง ๆ นี่เอง หากว่าเจ้ามีเวลาก็แวะไปดูแลเขาหน่อยก็แล้วกัน สองสามวันนี้เขาคงมาขอพบพ่อ เราก็ต้องต้อนรับขับสู้อย่างเหมาะสม”
“ขุนนางของฝ่าบาทแต่ทำไมลูกต้องดูแลด้วยล่ะเจ้าคะ ไม่เอาหรอกเสียเวลาเที่ยวข้าหมด”
“เฮ้อ เจ้าก็อย่าเอาแต่เที่ยวเล่นไปวัน ๆ เป็นถึงบุตรสาวขุนนางแล้วนี่ก็ถึงวัยที่จะออกเรือนได้แล้ว เป็นเช่นนี้จะมีบุรุษใดอยากมาสู่ขอเจ้ากันเล่า พ่อเองก็เริ่มแก่แล้ว อีกอย่าง....”
“ท่านพ่อ!! ลูกยังไม่ได้คิดเรื่องนั้นเสียหน่อยเจ้าค่ะเหตุใดท่านเอาแต่พูดเรื่องนี้ ทั่วทั้งจิ่งโจวนี้บุรุษใดจะเหมาะสมกับลูก ไม่ว่าจะเป็นบุตรขุนนาง หรือพวกแม่ทัพนายกองก็ไม่เข้าตาลูกสักคน”
“เฮ้อ…อย่างเจ้ายังจะเลือกอีกหรือ”
“ท่านพ่อ!”
“ไม่ใช่ พ่อหมายถึง…บุรุษที่ดีน่ะ…ช่างเถอะ ๆ อะไรที่ทำแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะพ่อจะไม่ห้าม แต่เรื่องที่เจ้าขี่ม้าผ่าเมืองวันนี้น่ะอย่าได้ทำอีกเชียว พ่อไม่อยากฟังเสียงชาวบ้านบ่นตามหลัง”
“ข้ามิได้ทำเช่นนั้นนะเจ้าคะ ก็เสี่ยวจูกินปลาแล้วก้างติดคอข้ากลัวว่ามันจะตายเลยรีบพาไปหาหมอก็เท่านั้นเอง”
“เฮอะ เจ้าแมวโง่นั่นแม้แต่กินปลายังทำก้างติดคอ เลี้ยงเสียข้าวสุกจริง ๆ”
“คุณหนูเจ้าคะ”
“อะไร มีอะไรทำไมหน้าตาแตกตื่นขนาดนี้”
“คือว่า…คือ…”
สาวใช้ของนางวิ่งมาเรียกถึงในห้องโถง ใต้เท้า “กู้เหว่ย” เจ้ากรมตุลาการที่นั่งอยู่ด้านในเคยชินแล้วกับท่าทีเช่นนี้ของสาวใช้บุตรสาว ซึ่งท่าทางเช่นนี้ไม่บอกก็รู้ว่าคงเกี่ยวกับแมวของบุตรสาวเป็นแน่
“เจ้าเป็นอะไรทำไมวิ่งหอบมาแบบนี้เสี่ยวจูเล่า”
“นั่นแหละเจ้าค่ะปัญหา คือว่าเสี่ยวจูแย่แล้วเจ้าค่ะ”
“ก่อเรื่องอะไรอีกล่ะครั้งนี้ นี่ซีเอ๋อร์แมวของเจ้าตัวนี้แม้ว่าจะน่ารักแต่พ่อว่ามันดูโง่ไปหน่อยนะ”
“ท่านพ่อ!! ข้าไม่ได้เลี้ยงแมวหลวงอย่างองครักษ์จั่นเจานี่เจ้าคะถึงจะได้เก่งวรยุทธ์แบบนั้น”
“ยังจะเถียงอีก ชุนหลินเจ้ารีบพูดมาเจ้าโง่เสี่ยวจูนั่นทำอะไร”
“ระ เรียนนายท่าน คุณหนู…เสี่ยวจูมันปีนต้นไม้หนีน้ำแล้วตอนนี้…. ลงมาไม่ได้เพราะกลัวเจ้าค่ะ”
""อะไรนะ!!""
จวนองค์ชายห้า “พระชายาอยู่ที่ใด”“ทูลองค์ชาย พระชายายังทรงบรรทมอยู่เพคะ”“เช่นนั้นเองหรือ จริงสิชุนหลิน”“เพคะ”“เจ้าไปเอาเสี่ยวจูกลับมาที่นี่เถอะ แล้วก็หาสาวใช้ที่พอรู้ความมาช่วยอีกสักสองสามคนคอยระวังพระชายาให้ข้าระหว่างที่ข้าไม่อยู่ด้วย”“เพคะองค์ชาย ขอบพระทัยเพคะ”ชุนหลินดีใจและรีบออกไปรับเสี่ยวจูกลับมา นางรู้ว่ากู้ม่านซีเอาแต่นอนเพราะนางไม่มีจิตใจอยากจะลุกขึ้นมาทำอะไรทั้งนั้น อีกอย่างตั้งแต่นางตั้งครรภ์ก็อารมณ์แปรปรวนง่ายจนไม่มีผู้ใดเข้าหน้าติด แม้ว่าจะไม่แพ้ท้องแต่ก็ทำให้ทั้งจวนวุ่นวายไปไม่น้อย ห้องบรรทม องค์ชายเดินมานั่งข้าง ๆ พระชายาที่ยังหลับสนิทอยู่บนเตียง ใบหน้านางยามหลับเป็นสิ่งที่เขาชอบมองมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นขนตางอนยาวเป็นแพ ริมฝีปากที่อวบอิ่มที่เขามักจะใช้เวลากับมันนานที่สุดก่อนจะนอนทุกค่ำคืน แต่ตั้งแต่ที่รู้ว่านางตั้งครรภ์เขาก็แทบจะไม่ได้แตะต้องนางเลย เพราะอยากให้ม่านซีได้พักผ่อนอย่างเต็มที่“ท่านกลับมาแล้วหรือเพคะ”“อย่าพึ่งรีบลุกสิเดี๋ยวจะหน้ามืดเอา เจ้าเป็นอย่างไรบ้างรู้สึกเวียนหัวอยู่หรือไม่”“ไม่แล้วเพคะ หม่อมฉันนอนนานเกินไปเดี๋ยวตอนค่ำจะนอนไม่ได้ นี่กี่ยามแล
สามเดือนถัดมา“ไม่ได้นะ ท่านจะเอามันไปไว้กับท่านพ่อทำไมกัน”“ไม่ได้! หากยังอยู่เช่นนี้สักวันเจ้าต้องเดินสะดุดมันล้มแน่นอน เจ้าดูสิมันอยู่เฉยเสียที่ไหน ต้าจื่อ!”“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”“ต้าจื่อ!”“พ่ะย่ะค่ะพระชายา”“เอาเสี่ยวจูไปฝากท่านพ่อเอาไว้”“ห้ามเอามันกลับไปนะ หากว่าเสี่ยวจูกลับ ข้าก็จะไม่อยู่กับท่าน!!”“ม่านซี! เหตุใดเจ้าจึงดื้อนัก หมอหลวงก็บอกแล้วว่าช่วงนี้เจ้าอารมณ์แปรปรวน ครรภ์แรกสำคัญมากและห้ามอยู่ใกล้ ๆ สัตว์เลี้ยง อีกอย่างหากเจ้ายังเดินเหินไม่ระวังเช่นนี้สักวัน…”“ท่านไม่เข้าใจข้าเลยสักนิด ท่านเอาแต่ทำงานในราชสำนัก ออกจวนไปตั้งแต่เช้ากลับมาก็ดึกดื่นข้ามีเพียงเสี่ยวจูอยู่เป็นเพื่อน วันนี้ท่านก็จะเอามันกลับไปอีก เจียงอี้หานท่านว่ามาว่าจะให้ข้าทำเช่นไร!!”จวนสกุลกู้ “เฮ้อ… ดูท่าองค์ชายคงต้องรับศึกหนักอีกแล้วสินะ”“งานนี้น้องเขยคงกินข้าวเช้าไม่อร่อยเป็นแน่ขอรับ ตั้งแต่ซีเอ๋อร์ตั้งครรภ์ก็อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ลูกเห็นใจน้องเขยยิ่งนัก”“ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะเสียงดังกว่าทุกครั้ง เป็นเช่นนี้ไม่ดีแน่ แต่ว่าในเมื่อนางแยกครอบครัวไปแล้วเราก็ไม่สมควรจะไปวุ่นวาย”“ขอรับ ลูกแอบถามองค์ชายแล้วพระอ
“เจียงอี้หานคนขี้โกง….”ริมฝีปากเย็นประกบลงไปเพื่อปิดปากคู่หมั้นสาวทันที ม่านซีมิอาจหลีกหนีสัมผัสแห่งรักนี้ได้เลย ทุกครั้งที่ถูกเขาจู่โจมนางมักจะพ่ายแพ้ราวกับถูกหลอมละลายไปด้วยไฟปรารถนาที่พร้อมจะเผาไหม้นางทั้งตัวเช่นนี้“อื้อ อี้หานเราอย่าพึ่ง…อ๊าา”“ไม่ทันแล้ว เจ้าก็รู้ว่าข้าต้องการเจ้าเพียงใด”“อื้อ…แน่นมาก อี้หาน อ๊าา!!”ลิ้นของเขาดูดดึงยอดอกสีหวานพร้อมกับกายท่อนล่างที่กระหน่ำกระแทกถี่ ๆ เพื่อส่งทั้งคู่ไปแตะทางสวรรค์ เหลืออีกกว่ายี่สิบวันที่จะเข้าพิธีแต่งงาน แต่คนที่พระทัยร้อนอย่างองค์ชายห้าก็ยังรอไม่ไหวจนต้องหาเรื่องเข้าหอกับนางเสียก่อน“อ๊ะ อี้หานข้าต้องกลับจวน อ๊าา….”“หากกล้าพูดอีกคืนนี้ก็อย่าได้หวังจะได้เดินลงจากเตียงข้าได้”“อื้อ อ๊าา…ท่านเบาหน่อยสิ อ๊าา!!!”“เจ้าทั้งหอม หวานและน่ากินไปทั้งตัวเช่นนี้ คิดว่าค่ำคืนนี้ข้าคงไม่อิ่มเป็นแน่ ม่านซีเจ้าอย่าได้กลัวไปเลย ไม่ว่าจะเป็นบิดาของเจ้า พี่ชายหรือแม้แต่สาวใช้และองครักษ์ มีผู้ใดบ้างที่จะไม่รู้ว่าพวกเราเป็นอะไรกัน”“อ๊าา อย่าพึ่งพูดข้าจะ…อ๊าา อี้หาน!!”เขารู้ว่านางเริ่มทนไม่ไหวเขาจึงจับนางขึ้นมาจูบ ปากที่บดขยี้รุนแรงพอ ๆ กับแรงกร
จวนองค์ชายห้า “เสี่ยวจู!!”ม่านซีวิ่งกระหืดกระหอบไปที่จวนขององค์ชายห้าโดยมีกู้ซานหรงและจิ่วหลงวิ่งตามมา เมื่ออี้หานเห็นนางจึงรีบเดินเข้ามารับเพราะสีหน้าของคู่หมั้นสาวทั้งซีดเซียวและหวาดกลัว“ม่านซีเจ้าใจเย็น ๆ ก่อนค่อย ๆ พูดนะ”“อี้หาน…ไม่สิ องค์ชาย เสี่ยวจูก่อเรื่องแล้ว”“เรื่องนั้นเจ้าอย่าตกใจไป องค์รัชทายาทก็แค่อยากจะเล่นกับมันเท่านั้น”“แต่ว่าวันถึงกับ…”“เอาน่า ๆ พวกเจ้าเข้ามานั่งก่อนเถอะ ตอนนี้องค์ชายกำลังอาบน้ำเปลี่ยนชุดอยู่ข้างใน เข้ามาแล้วข้าจะเล่าให้ฟัง”“องค์ชายครั้งนี้เสี่ยวจูล่วงเกินองค์รัชทายาท โทษหนักถึงตายเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”“ซานหรงเจ้าก็พูดเกินไปแล้วไม่มีอะไรหนักหนาขนาดนั้น เข้ามาก่อนแล้วข้าจะเล่าให้ฟัง ค่อย ๆ เดินนะม่านซี”“แต่ว่าตอนนี้เสี่ยวจู”“ไม่ต้องห่วง ต้าจื่อเอามันไปอาบน้ำน่ะ”“แต่ว่ามันยอมหรือเพคะ”“เข้ามานั่งพักก่อนดูเจ้าสิวิ่งหอบมาเป็นลูกแมวเลย บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าวิ่ง”“ท่านยังจะมาพูดเช่นนี้อีก ล่วงเกินองค์รัชทายาทถึงกับโดนตัดหัวได้เชียวนะแต่นี่มันถึงกับ…”เจียงอี้หานยิ้มและพานางเดินมานั่งที่ระเบียงซึ่งเป็นที่ประจำของพวกเขาเวลามานั่งจิบชาชมสวนที่นี่ ซานหรงน
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”“ดูเจ้าสิ ตั้งแต่มาจิ่งโจวเจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าเปลี่ยนไปมากเพียงใด ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะยอมแพ้สตรีเช่นนี้ เป็นเรื่องที่เกิดความคาดหมายของข้านัก”เจียงอี้หานหันไปมองกู้ม่านซีที่มีท่านชายรองคอยพยุงอยู่ไกล ๆ เมื่อพวกเขาหันไปสังสรรค์กันที่อีกโต๊ะหนึ่ง เพียงแค่รอยยิ้มของน้องชายห้าที่ปรากฏองค์รัชทายาทก็พอจะรู้ว่าสิ่งที่น้องชายเลือกในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง“ในตอนแรกข้าคิดว่าเจ้าจะยอมรับเงื่อนไขแต่งงานกับท่านหญิงแคว้นจ้าวเป็นเขยแดนเหนือเสียแล้ว”“ข้าเข้าใจความปรารถนาดีของพี่หญิงรองดี แต่ข้ากับท่านหญิงผู้นั้น… ข้าไม่ได้มองนางเป็นเช่นนั้น”“เจ้าทำให้ท่านหญิงซู่หรงเยี่ยนเสียใจถึงกับต้องไปแต่งกับแม่ทัพแคว้นจ้าวเลยล่ะ ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้คิดเหมือนเจ้านะเห็นน้องหญิงรองบอกว่านางไม่ยอมกลับเข้าวังหลังจากทราบข่าวว่าเจ้าออกจากแดนเหนือและใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ที่กองทัพหลังจากอภิเษก”“เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับข้า บัดนี้คนที่ข้าต้องดูแล มีเพียงสตรีแสนซนตรงนั้น…เอ๊ะ! ท่านดูสิ นางซนขนาดไหน”ทั้งสองพระองค์หันไปเพราะตกใจเสียงของอี้หานที่มองไปที่ม่านซีตลอด นางเกือบจะล้มเพราะลืมนึกว่าต้องใช้ท
“ท่านพูดอะไรน่ะ”เจียงอี้หานเดินมานั่งใกล้ ๆ และดึงนางเข้ามากอดเอาไว้แน่น นางได้ยินเสียงหัวใจของเขาที่ยังเต้นแรงรัวถี่อยู่ข้างในชัดเจนมากกว่าครั้งไหน ๆ“เจ้าฟังสิ ได้ยินหรือไม่”“ข้าได้ยินชัดแล้ว”“ข้าออกศึกเหนือใต้มานับครั้งไม่ถ้วน สืบคดีตามหัวเมืองทั่วหล้า ไม่มีเรื่องใดที่นึกกลัวเท่ากับวันนี้มาก่อน กู้ม่านซีเจ้าจะช่วยทำให้ข้าคลายกังวลลงได้หรือไม่ นับจากนี้ให้ข้าดูแลเจ้าอยู่กับเจ้าตลอดไปได้หรือไม่ อย่าทำตัวห่างเหิน อย่าจากข้าไปอีกเลยนะข้าขอร้อง”เขาสบตากับนางด้วยความจริงใจ วันนี้นางเองก็รู้ดีว่าในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด นางก็เห็นเพียงใบหน้าของเขา ที่จริงแล้วนางเหมือนจะได้ยินเสียงของเขาก่อนที่จะปรากฏตัวด้วยซ้ำ นางจึงมั่นใจว่าไม่อาจขาดเจียงอี้หานได้เช่นกัน“ข้าขอโทษ จากนี้ไปข้าจะเชื่อฟังและเป็นคู่หมั้นที่ดี จะไม่ทำให้ท่านรู้สึกลำบากใจอีกแล้วองค์ชาย”“เจ้าหายโกรธข้าได้หรือยัง”“ข้าบอกแล้วว่าไม่ได้โกรธท่าน”“เช่นนั้นจะเลิกทำตัวห่างเหินได้หรือยัง”“เลิกแล้ว”“เช่นนั้นอย่าได้คิดหลีกหนีข้าอีกได้หรือไม่”“ไม่หนีแล้ว”“ถ้าอย่างนั้น… แต่งงานกันนะ”“เจ้าค่ะ ข้าจะรีบแต่งงานกับท่านให้เร็วที่สุด”