ช่วงเย็นหลังเลิกงาน ฉันขับมอเตอร์ไซค์คู่ใจกลับบ้านซึ่งระยะทางก็ไม่ไกลกับรีสอร์ทของป้ามณีมากนัก แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านฉันถึงกับ ต้องตกใจที่เห็นหมายศาลมาติดอยู่หน้ารั้วบ้านในหมายศาลเขียนไว้ชัดว่า ‘ฟ้องล้มละลาย’
ฉันรีบเดินเข้าไปในบ้านเพื่อที่จะถามพ่อกับแม่ให้รู้เรื่องเพราะเรื่องนี้ฉันไม่เคยรู้มาก่อน "แม่คะ พ่อคะ ทำไมมีหมายศาลมาติดที่บ้านเรา"ฉันเมื่อเดินเข้าไปในตัวบ้านเห็นพ่อกับแม่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้หน้าทีวี ฉันรีบเอ่ยถามท่านทั้งสองทันที "น้ำนั่งก่อน ไปฝึกงานมาเป็นไงบ้างลูก"เหมือนแม่ฉันเบี่ยงประเด็นอยากรู้อีกเรื่องกับถามฉันอีกเรื่องมันใช่เวลาไหม "พ่อคะทำไมถึงมีหมายศาลมาติดที่บ้านเราคะ"เมื่อแม่ไม่ได้ให้คำตอบฉันในเรื่องที่อยากรู้ฉันจึงหันไปถามคุณพ่อของฉันแทน "พ่อขอโทษลูก"พ่อเอ่ยกับฉันเสียงเศร้าในแววตาท่านช่างปวดร้าว "มีอะไรคะ บอกมาเถอะ"ฉันถามขณะพ่อก็ค่อย ๆ เล่าให้ฉันฟังทีละเรื่อง "ปีที่แล้วเศรษฐกิจซบเซาไม่มีคนมาพักที่รีสอร์ทเราทำให้พ่อต้องไปกู้เงินเพื่อที่จะเอามาใช้จ่ายภายในรีสอร์ท พ่อคิดว่าน่าจะพอหมุนเงินได้ แต่ไม่ใช่เลยยิ่งทำยิ่งขาดทุน จนพ่อต้องไปกู้ยืมเงินมาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้พ่อก็หมดหนทางแล้วจริง ๆ " คุณพ่อฉันบอกเอาจริง ๆ ไม่แปลกที่ฉันจะไม่รู้เรื่องนี้เพราะตั้งแต่ฉันเข้าเรียนมหาลัย ฉันก็ย้ายไปอยู่หอพักใกล้กับมหาลัยเพื่อสะดวกเวลาเดินทางไปเรียนและจะกลับมาบ้านช่วงเสาร์อาทิตย์และปิดเทอมเสียส่วนใหญ่ เพราะมหาลัยของฉันนั้นอยู่ในตัวเมืองซึ่งระยะทางระหว่างบ้านกับมหาลัยไกลกันถึง 100 กิโล "ไม่เป็นไรนะพ่อ หนูใกล้จะเรียนจบแล้วเราค่อยหากันใหม่ก็ได้"ฉันเอ่ยปลอบท่าน ขณะที่แม่ยกฝ่ามือมากุมมือแล้วบีบมือฉันเบา ๆ "คือเราไม่ได้มีแค่หนี้รีสอร์ทที่เดียวนะน้ำ"คุณแม่ฉันเอ่ยขึ้นฉันถึงกับมองใบหน้าท่านที่ตอนนี้คุณแม่ชักสีหน้าเศร้าสร้อยบ่งบอกว่าท่านนั้นรู้สึกผิดกับเรื่องที่กำลังเล่าต่อไป "รีสอร์ทพ่อกับแม่คุยกันแล้วว่าจะให้ธนาคารยึดไปแล้วเราค่อยหาเช่าบ้านเล็ก ๆ อยู่กัน แต่..."คุณแม่สูดลมหายใจเข้าปอดลึกก่อนจะเอ่ยบอกฉันด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาและสั่นเครือ "อะไรคะแม่" "เรายังเป็นหนี้คุณป้ามณีอีกก้อนหนึ่ง คือตอนที่เป็นหนี้ธนาคารพ่อกับแม่หมุนเงินไม่ทันจริง ๆ เลยไปขอยืมกับป้ามณี เพื่อส่งดอกธนาคารและยังส่งเราทั้งสองเรียนด้วย" เราทั้งสองที่แม่พูดถึงคือฉันกับต้นกล้าน้องชายฉันที่ตอนนี้ต้นกล้ายังเรียนอยู่ ม.5 แล้ว ซึ่งฉันก็เข้าใจดีเพราะว่าเราทั้งสองอยู่ในช่วงวัยเรียนจึงไม่แปลกที่พ่อกับแม่ฉันจะดิ้นรนส่งฉันกับน้องชายเรียนหนังสือ "เท่าไหร่คะ คือหนูจะช่วยพ่อกับแม่เอง"ฉันกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ก่อนจะถามท่านทั้งสอง คิดว่าจะมีหนีแค่ก้อนเดียวแต่ตอนนี้เหมือนหนี้ก้อนนี้จะบานปลายออกไปเรื่อย ๆ "ตอนนั้นพ่อยืมป้ามณีมาหลายครั้งแต่ร่วม ๆ ที่พ่อคิดได้ประมาณ 1 ล้าน"ฉันถึงกับเบิกตาโพรง 1 ล้านเลยเหรอแล้วแบบนี้ฉันต้องทำงานถึงเมื่อไหร่หนี้ก้อนนี้จะหมด "ไม่เป็นไรคะ หนูเรียนจบจะช่วยพ่อกับแม่เอง" "ขอบใจนะลูก ทำงานกลับมาเหนื่อย ๆ ไปอาบน้ำแล้วลงมากินข้าวเถอะเดี๋ยวสักพักต้นกล้าคงกลับมาจากโรงเรียนเหมือนกัน" "คะ"ฉันขานรับก่อนจะขึ้นไปอาบน้ำที่ห้อง เมื่อถึงห้องนอนฉันค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมแขนยาวออกก่อนจะมองดู พลาสเตอร์ที่ปิดแผลที่แขน พร้อมพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะคิดในใจว่า วันนี้คือวันซวยอะไรนะที่ต้องมาเจ็บตัวและยังต้องมารู้ว่ากำลังจะเสียบ้านที่เป็นรีสอร์ทของทางครอบครัวอีก ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำชำระร่างกายหัวสมองฉันก็คิดหาทางไปเรื่อย ๆ ว่าจะหาเงินจากตรงไหนที่มาพอมาใช้ป้ามณี แต่ที่แน่ ๆ พรุ่งนี้เช้าฉันจะเข้าไปคุยกับคุณป้าเรื่องหนี้สินที่ติดค้างไว้แน่ๆ ช่วงเช้า @ ฟ้ามณีรีสอร์ท ฉันที่มาทำงานในช่วงเวลาที่เร็วกว่าเมื่อวานนิดหน่อยเพราะตั้งใจว่าวันนี้ฉันจะเข้าไปคุยเรื่ิองหนี้สินที่บ้านฉันติดค้างป้าไว้ เมื่อฉันจอดรถมอเตอร์ไซค์สีแดงไว้ในโรงจอดรถ ฉันกวาดสายตามองรอบ ๆ บริเวณโรงจอดรถกับพบว่าไม่เห็นรถคันนั้นแล้ว แสดงว่ารถไม่อยู่คนก็น่าไม่อยู่ด้วยเหมือนกัน ดีจริงวันนี้รูสึกดีที่ไม่ต้องทนเห็นหน้าคนใจดำ ขาเรียวสวยก้าวเดินตามทางเดินจนมาถึงเรือนรับรองก่อนที่ฉันจะก้าวขึ้นบันไดแล้วสาวเท้ามาหยุดที่ห้องทำงานป้ามณี ฉันกำมือก่อนที่จะเคาะบานประตูหน้าห้องเพื่อมารยาท ก๊อก ก๊อก ก๊อก! "ป้ามณีคะ น้ำขอคุยด้วยสักครู่คะ" ฉันเคาะและส่งเสียงเรียกเพียงไม่นานคนในห้องก็ส่งเสียงให้ฉันเข้าไปในห้อง "เชิญจ้าหนูน้ำ"เมื่อคนในห้องเชื้อเชิญฉันถึงดันประตูเข้าไป ขาเรียวสวยก้าวไปในห้องด้วยความมั่นใจก่อนจะยกมือไหว้คุณป้าที่นั่งอยู่บนโต๊ะทำงาน "นั่งก่อนลูกมาหาป้าตั้งแต่เช้ามีอะไรหรือเปล่า"เสียงหวานของคุณป้าเอ่ยถามอย่างเป็นมิตรขณะฉันหย่อนสะโพกนั่งลงที่เก้าอี้ด้านหน้าคุณป้า "หนูจะมาคุยเรื่องหนี้ที่คุณพ่อยืมเงินคุณป้าคะ คือถ้าหนูเรียนจบแล้วหนูจะทะยอยใช้หนี้คุณป้าเองแต่อาจจะนานหน่อย"ฉันที่ไม่อยากจะอ้อมค้อมพูดเข้าประเด็นให้คุณป้าทราบทันที "พูดเรื่องนี้ก็ดีเหมือนกัน แล้วหนูคิดว่าจะทะยอยคืนป้าเมื่อไหร่ หนูรู้ไหมว่าตอนนี้พ่อกับแม่เราไม่เคยส่งดอกป้าสักครั้งจนมันทบต้นทบดอก จากยอดเงินแค่ 1 ล้านตอนนี้มันเพิ่มเป็น 3 ล้านแล้วนะ" คุณป้าเริ่มแจกแจงยอดหนี้ให้ฉันได้รับรู้แต่เมื่อได้ฟังยอดที่คุณป้าเอ่ยบอกฉันถึงกับเบิกตาโพรงไม่คาดคิดว่ายอดหนี้จะเพิ่มทวีคูณแบบนี้ "ทำไมยอดถึงเยอะขนาดนี้คะ"ฉันถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือรู้สึกใบหน้าชาวาบ ยอดเยอะขนาดนี้ฉันจะใช้หนี้หมดเมื่อไหร่ "หนูม่านน้ำ หนูต้องเข้าใจด้วยว่าตั้งแต่พ่อกับแม่ยืมเงินป้าไปไม่เคยส่งดอกแม้แต่ครั้งเดียวที่ป้าไม่ทวงเพราะว่าเห็นแก่มิตรภาพไม่อยากผิดใจกันแต่เมื่อหนูเข้ามาคุยกับป้าเรื่องนี้ป้าก็อยากจะให้หนูรับรู้และต้องเข้าใจป้าด้วยว่าทำไมยอดหนี้ถึงเพิ่มขึ้น"ท่านเอ่ยบอกเสียงเรียบแต่ฉันกับรู้สึกแปลก ๆ อย่างไงไม่รู้เพราะเวลาฉันสบตาท่านกับพบว่าเหมือนมีอะไรบ้างอย่างที่ฉันคาดเดาไม่ได้เหมือนมีอะไรแอบแฝงอยู่ "แต่ถ้าหนูจะทะยอยจ่ายป้าก็ไม่ติดขัด แต่หนูจะทำงานอะไรให้ได้เงินเยอะถึงขั้นคืนเงินป้าได้หมดละ แค่ดอกเบี้ยอย่างเดียวก็หลายบาทแล้ว แต่ถ้าจะให้ส่งหมดเร็วก็ต้องคืนต้นพร้อมดอกเบี้ยจากที่ป้าคำนวณคราว ๆ น่าจะส่งสักเดือนละ 3 แสนบาทจะได้หมดเร็วหนูคิดว่าเป็นไปได้ไหม"คุณป้าเอ่ยเสียงเรียบมุมปากยกยิ้มอย่างคนเจ้าเล่ห์แต่ก็เพียงแวบเดียวคุณป้าก็ทำสีหน้าราบเรียบปกติ 0_0 ฉันถึงกับเงียบจริงอย่างคุณป้าว่ามาฉันจะหาเงินจากไหนเยอะแยะ "แต่ป้ามีข้อเสนอนะถ้าหนูโอเคกับข้อเสนอป้า ป้าจะยกหนี้ทั้งหมดที่พ่อแม่หนูติดป้า"คุณป้าเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนกับอ่อนโยนแต่กับแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ไปในตัว "ข้อเสนออะไรคะป้า”2 อาทิตย์ต่อมา ม่านน้ำที่นั่งมองดูตัวเองในกระจกที่ตอนนี้ร่างบางที่มีหน้าท้องนู้นขึ้นมาเล็กน้อยสวมใส่ชุดแต่งงานสายเดี่ยวสีขาวกระโปรงยาวแค่เข่า ใบหน้าหวานถูกแต่งแต้มสีสันอย่างสวยงาน ขณะช่างที่ถูกจ้างมากำลังจับผมออกเป็นช่อเล็ก ๆ แล้วถักสานจนเกิดเป็นผมเปียอย่างสวยงาม เมื่อถักเปียจนครบสองข้างแล้วช่างก็รวบตึงเปียผมทั้งสองมาอยู่ทางด้านหลังก่อนจะมัดและติดกิฟฝั่งเพชรรูปหัวใจและแซมด้วยไข่มุกเม็ดเล็ก ๆ สีขาวลงบนกลุ่มผมเป็นอันเสร็จสิ้น "เสร็จแล้ว สวยมากกกเลยค่าคุณน้อง "เสียงของช่างเอ่ยบอกเมื่อจัดแต่งผมเสร็จและติดกิฟท์ฝั่งเพชรรูปหัวใจเป็นลำดับสุดท้าย ฉันที่มองตัวเองผ่านกระจกเงาใช่สวย วันนี้ฉันสวยแปลกตามากไม่คิดว่าพี่ช่างแต่งหน้าจะมีฝีมือมากขนาดนี้ ก่อนฉันจะได้ยินเสียงเปิดประตู แก๊บ! ตามมาด้วยเสียงทุ้มคุ้นหูเอ่ยเรียก "เสร็จหรือยังครับเจ้าสาวของพี่ แม่ให้มาเรียก พระใกล้จะถึงแล้วนะครับ" ฉันที่มองไปตามเสียงก่อนจะส่งยิ้มหวาน ๆ ไปให้คนเรียก ก่อนจะลุกออกจากเก้าอี้เดินมาหาเจ้าบ่าวในเวลาต่อมา ขณะพี่สายฟ้าที่ตอนนี้อยู่ในชุดสูทสีขาวเซ็ทผมออกมาจนดูหล่อและยิ่งมาอยู่ในชุดสูทยิ่งทำให้คนตัวสูงที่ดูหล่อดูสมา
แต่ในวินาทีถัดมาแสงไฟที่ส่องให้แสงสว่างภายในรีสอร์ทกับดับลง หลงเหลือแต่ความมืดสนิท มีเพียงแสงนวลผ่องของพระจันทร์ที่ส่องให้ความสว่างเท่านั้น "พี่สายฟ้า" มือบางคว้าท่อนแขนคนนั่งอยู่ข้าง ฉับพลันกับคิดถึงเหตุการณ์ร้าย ๆ เมื่อคราวก่อนผุดเข้ามาในหัวก่อนเสียงหวานจะเอ่ยเรียกคนข้างกายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเพราะความกลัว "ไม่ต้องกลัวครับพี่นั่งอยู่นี่"เสียงทุ้มเอ่ยบอกพรางโอบกอดคนตัวเล็กไว้ในแนบอกที่ตอนนี้ร่างบอบบางขยับสั่นไหวเบา ๆ จนสายฟ้าพอจะรับรู้อาการของคนในอ้อมกอดนี้ได้ อยู่ ๆ ก็รู้สึกผิดและกลัวที่ตัวเองสร้างสถานการณ์ตรงนี้ขึ้นมา แล้วถ้าคนตัวเล็กโกรธไม่ยอมตกลงที่จะแต่งงานกับตัวเองจะทำอย่างไร "เอาวะ สู้โว้ย ถ้าวันนี้ไม่ตกลง อย่างไงเขาก็จะตื้อให้คนในออมอ้อมยอมตกลงแต่งงานกับตัวเองให้ได้"สายฟ้าได้แต่คิดในใจ ผิดกับทุกคนที่มาร่วมงานเลี้ยง พวกเขาทุกคนรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เกิดจากฝีมือของคนจัดเตรียมงานที่อยากจะเซอร์ไพรส์เมียรัก แต่ไหนเลยคนที่โดนเซอร์ไพรส์กับกลัวแทนที่จะมีอาการประหลาดใจ "ทำไมไฟดับคะพี่"ม่านน้ำถามขึ้นอีกรอบเมื่อคนตัวสูงไม่ได้ให้คำตอบในคราวแรก แต่แล้วสิ้นเสียงหวานเอ่ยถามเท่านั้นไฟ
3 เดือนต่อมา ร่างบอบบางที่อยู่ในชุดนักศึกษาและคลุมทับด้วยชุดครุยตัวยาวสีกรม ผมสีแดงในตอนแรกถูกย้อมเป็นสีน้ำตาลธรรมชาติถูกเกล้าม้วนขึ้นเป็นทรงสวย เผยให้เห็นใบหน้าเรียวเล็กได้รูปที่ถูกเติมแต่งสีสันด้วยเครื่องสำอางเพียงบางเบา ริมฝีอวบอิ่มฉาบด้วยลิปสติกสีชมพูอ่อนยกยิ้มหวานจนตาหยี ร่วมเฟรมถ่ายรูปกับกลุ่มเพื่อน ๆ ในคลาสเรียน ใช่แล้ววันนี้เป็นวันที่ม่านน้ำแล้วเพื่อน ๆ จบการศึกษาและเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร เมื่อเสร็จพิธีจากหอประชุมเรียบร้อยแล้ว เพื่อน ๆ ในคลาสต่างพากันมาร่วมกลุ่มถ่ายรูป โดยช่างภาพที่ถูกว่าจ้างจากมหาวิทยาลัยเป็นคนหามา "123" แชะ ! เสียงตากล้องนับให้เป็นสัญญาณก่อนที่จะชัตเตอร์ "สวยแล้ว ผมขอถ่ายกันเสียอีก 2-3 รูปนะครับ"พูดจบตากล้องก็กดชัตเตอร์อีก 2-3 ครั้ง "เสร็จแล้วนะครับ เดี๋ยวรูปจะส่งไปให้ตามที่น้อง ๆ กรอกที่อยู่ให้นะครับ"ช่างภาพหนุ่มเอ่ยบอกก่อนที่บัณฑิตจะทะยอยเดินออกจากเฟรม เพราะมีบัณฑิตจากคลาสอื่น ๆ รอถ่ายรูปเช่นกัน "น้ำแกจะรีบเดินไปไหน"เสียงเพชรชี่เอ่ยทักเพื่อนเมื่อเห็นว่าม่านน้ำกำลังสาวเท้าด้วยความเร็วไปทางโต๊ะม้าหินอ่อนที่อยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ "พี่สายฟ้านั่งรอเราอยู
ช่วงเช้าของวัน หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จผมพาคนตัวเล็กมาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังในตัวจังหวัดตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่เมื่อวาน เราสองใช้เวลาตรวจ รับยา รอบัตรนัดครั้งต่อไปกว่าจะเสร็จทุกขั้นตอนก็กินเวลาไปเกือบครึ่งวัน และเมื่อเราสองคนขึ้นมาบนรถยนต์ตอนแรกผมคิดว่าจะพาคนตัวเล็กกลับรีสอร์ท แต่เมื่อสายตาของผมไปประทะกับตัวเลขที่โชว์เวลาที่หน้าปัดด้านหน้าคอนโซลรถอีกแค่ครึ่งชั่วโมงก็จะเที่ยงแล้ว และคาดการว่าเวลาในไม่ช้าคนที่นั่งข้าง ๆ ต้องมีอาการอยากอาหารแน่ ๆ เพราะเมื่อเช้าเราสองคนทานเพียงข้าวต้มกุ้งแค่ถ้วยเดียวก่อนออกมาโรงพยาบาล ฉับพลันคำพูดของคุณหมอสาวก็ลอยแวบขึ้นมาในหัว "ช่วงนี้คุณแม่อาจจะหิวบ่อยนะคะ ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าปล่อยให้คุณแม่หิวหรือคุณพ่อจะหาซื้อพวกแครกเกอร์ติดไว้ก็ได้ ถึงมันจะช่วยไม่ได้มาก แต่มันก็ยังช่วยในระดับหนึ่งคุณแม่จะได้ไม่เหวี่ยงวีน ตามอารมณ์ที่แปรปรวนง่าย ๆ " และนี่คือคำพูดที่คุณหมอสาวเอ่ยบอกผมตอบรับคำในทันที ถึงว่าช่วงนี้อารมณ์ของคนตัวเล็กถึงขึ้น ๆ ลง ๆ คงเป็นเพราะฮอร์โมนของคนท้องนี่เอง ผมจึงไม่รอเวลาให้เนิ่นนานรีบหันไปถามคนที่นั่งข้าง ๆ ในทันที "ใกล้จะเที่ยงแล้ว หนู
ทันทีที่รถเคลื่อนตัวออกจากอพาร์ทเม้นท์ของเพื่อนสนิทมีคำถามหนึ่งแวบเข้ามาในหัวและอดจะไม่ถามหรือปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้จริง ๆ ม่านน้ำเลือกที่จะมองใบหน้าแฟนหนุ่มก่อนเสียงหวานจะเอ่ยถามในเวลาถัดมา "ทำไมพี่ขึ้นอพาร์ทเม้นท์ของเพื่อนหนูได้คะ"และเป็นเรื่องนี้ที่ม่านน้ำไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้เธอสงสัยตั้งแต่อยู่ในห้องแล้ว ว่าเหตุใดคุณลุงที่เข้มงวดเรื่องความปลอดภัยของผู้พักอาศัยถึงปล่อยให้บุคคลภายนอกเข้ามาได้ สายฟ้าเมื่อได้ยินคำถามถึงกับยกยิ้มกรุ่มกริ่มเอ่ยบอกเมียรักไปตามความเป็นจริง "ก็ไม่เห็นยาก แค่บอกลุงเขาว่าเราทะเลาะกัน และหนูหนีมาอยู่กับเพื่อน และตอนนี้หนูยังท้องอ่อน ๆ ลูกของพี่อยู่ ลุงคงเห็นใจสงสารพี่เลยช่วยพี่พาพี่ขึ้นมาหาหนูที่ห้องเพื่อนหนูนั้นแหละ" คนตัวเล็กพยักหน้าหงึก ๆ เข้าใจได้ว่าทำไมคู่หมั้นหนุ่มถึงขึ้นไปได้แต่อีกเรื่องที่เธอสงสัยไม่ต่างจากคำถามแรกก็คือเขาแน่ใจได้อย่างไรว่าเธออยู่ที่นี่กับเพื่อนสนิทของเธอ "แล้วพี่รู้ได้ไงว่าหนูอยู่ที่นี่" สายฟ้าเลิกคิ้วเข้ม ฉีกยิ้มกว้างออกมานุ่มนวล เหลียวมองคนนั่งข้างตัวเองแค่แวบหนึ่งก่อนสายตาจะจับจ้องถนนด้านหน้าต่อก่อนเสียงทุ้มเอ่ยตอบคำถา
สายฟ้าที่เข้ามาในห้องโดยมีเพื่อนทั้งสองอย่างนิกเป้เดินตามมาติด ๆ เขาใช้สายตาคู่คมพยายามสอดส่องมองไปทั่วบริเวณห้อง กับต้องมาสะดุดกับรองเท้าที่ถูกถอดวางทิ้งไว้ที่ชั้นไม้สีน้ำตาลที่ใช้สำหรับวางรองเท้าเขาจำได้ดีว่ารองเท้าคู่นี้นั้นเป็นของใคร มุมปากยกยิ้มขึ้นมาอย่างดีใจเมื่อรู้สึกว่าความหวังอันริบหรี่ในตอนแรกเริ่มปรากฎให้เขาได้เห็นอีกครั้ง และอีกไม่เพียงอึดใจในภายภาคหน้าเขาจะได้เห็นหน้าคนตัวเล็กแล้ว (ถ้าน้องให้เจอ) "พี่สายฟ้า"เสียงทั้งสามสาวร้องอุทานออกมาประสานกัน พร้อมกับทำสายตาเลิ่กลั่กแสดงออกถึงการมีพิรุธ จนสายฟ้าสามารถจับความผิดปกตินั้นได้ "ฮ่าาา....พวกพี่มาได้ไงคะ"ขณะที่ดาวยกมือขึ้นป้องปากพร้อมกับหัวเราะกลบเกลื่อนเพื่อไม่ให้แฟนของเพื่อนจับพิรุธได้แต่ด้วยความเป็นคนช่างสังเกตุของสายฟ้าทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าเพื่อนสนิทของเมียรักที่แสดงออกมานั้น 'เฟซ สุด ๆ' "พี่ก็เดินขึ้นมา ม่านน้ำอยู่ที่นี่ใช่ไหม"สายฟ้าตอบขณะพยายามสอดส่องสายตามองไปรอบห้องกับไม่พบแม้แต่เงาของเมียรัก หัวคิ้วตีกันยุ่งก่อนจะสาวเท้าเดินไปดูด้านหลังระเบียงห้อง และมาหยุดที่ประตูไม้สีขาวคาดว่าน่าจะเป็นห้องนอนของเจ้าของห้อง มือ