เซียวหลันนิ่งอึ้งไปหลังจากได้ยินคำบอกกล่าวจากชายชราผู้ซึ่งเป็นปรมาจารย์แห่งสำนักกระบี่ล่องลอยนี้ ในหัวของนางดังก้องวนเวียนอยู่กับคำพูดจากชายชรา ราวกับว่ามันคือมติสวรรค์ที่บัญชาลงมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นางรับรู้ถึงความจริงที่น่าตกตะลึงแล้ว พลังที่เคยใช้รักษาผู้คนมาโดยตลอด ไม่ใช่แค่เพียงความรู้ทางการแพทย์จากอีกภพหนึ่งที่ติดตัวนางมา แต่เป็นพลังแห่งแสงที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษผู้เป็นแม่ทัพในอดีตกาลต่างหาก
หลี่หยางเองก็ตกอยู่ในภวังค์ของความประหลาดใจไม่แพ้กัน เขามองเซียวหลันและท่านอาจารย์สลับกันไปมาด้วยความสับสน
"ท่านอาจารย์... ท่านพูดอะไรกันขอรับ" หลี่หยางเอ่ยถามเสียงแผ่ว
"พลังที่สถิตอยู่ในตัวของเจ้าคือพลังแห่งอัคคีที่บริสุทธิ์ ส่วนพลังในตัวของเด็กสาวผู้นี้คือพลังแห่งแสงที่สามารถเยียวยาได้... ทั้งสองพลังนี้เป็นพลังคู่ขนานที่ไม่อาจแยกจากกันได้" ท่านปรมาจารย์กล่าว "พวกเจ้าทั้งสองคือผู้ที่จะมาช่วยยุติสงครามระหว่างพลังแห่งแสงและความมืดที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง"
เซียวหลันนิ่งอึ้ง นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตของเธอจะเกี่ยวพันกับเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ นางมาจากโลกที่ไม่มีพลังวิเศษใดๆ มีเพียงวิทยาศาสตร์และการแพทย์เท่านั้น และบัดนี้... นางกลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของคำทำนายโบราณ
"แล้ว... พลังของข้า... มันมีไว้เพื่ออะไรหรือเจ้าคะ" เซียวหลันถาม
"พลังของเจ้าสามารถเยียวยาได้ทุกสิ่ง" ท่านปรมาจารย์ตอบ "ไม่เพียงแค่ร่างกาย แต่ยังรวมถึงจิตใจและโลกใบนี้... พลังแห่งแสงจะช่วยรักษาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากพลังแห่งอัคคีต้องห้ามที่กำลังจะกลับมาอีกครั้ง"
ในขณะนั้นเอง หลี่หยางก็เดินเข้าไปหาเซียวหลัน เขามองเข้าไปในดวงตาที่สับสนของนาง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน "ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร... เจ้าก็คือคนที่ช่วยชีวิตข้า และเจ้าก็คือคนที่จะอยู่เคียงข้างข้าเสมอ"
คำพูดของหลี่หยางทำให้หัวใจของเซียวหลันอบอุ่นขึ้น นางยิ้มให้เขาอย่างจริงใจ "ข้าเองก็ต้องการให้ท่านอยู่เคียงข้างข้าเช่นกัน"
ท่านปรมาจารย์มองคนทั้งสองด้วยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ "ดีแล้ว... ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าจะช่วยเสริมพลังให้แก่กันและกัน"
หลังจากนั้น ท่านปรมาจารย์ก็เริ่มสอนวิธีควบคุมพลังแห่งแสงให้แก่เซียวหลัน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่นางจะควบคุมพลังที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่ด้วยความรู้ทางการแพทย์และสติปัญญาที่เหนือล้ำจากอีกภพหนึ่ง ทำให้นางสามารถเรียนรู้และทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
"พลังแห่งแสงต้องใช้ความบริสุทธิ์ของจิตใจในการควบคุม" ท่านปรมาจารย์กล่าว "หากจิตใจของเจ้าเต็มไปด้วยความแค้น... พลังนี้ก็จะกลายเป็นพลังแห่งการทำลายล้าง"
เซียวหลันเริ่มเข้าใจถึงความหมายของคำพูดนั้น นางตระหนักได้ว่าแม้ความแค้นที่เคยมีต่อผู้ที่ทำลายตระกูลของเธอยังคงอยู่ แต่นางก็ต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยวางมันลง เพื่อให้สามารถควบคุมพลังนี้ได้อย่างสมบูรณ์
ในขณะที่เซียวหลันกำลังฝึกฝน หลี่หยางก็อยู่เคียงข้างนางเสมอ เขาคอยปกป้องนางจากอันตราย และคอยให้กำลังใจนางในยามที่ท้อแท้ ความผูกพันระหว่างพวกเขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่พวกเขาจะคาดคิด
"เจ้าเก่งมาก" หลี่หยางกล่าวชมเชยเมื่อเห็นเซียวหลันสามารถควบคุมพลังแสงได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
"ข้าก็แค่... พยายามอย่างเต็มที่" เซียวหลันตอบด้วยรอยยิ้ม "เพื่อที่จะได้ช่วยท่าน"
หลี่หยางยิ้มเล็กน้อย เขารู้ดีว่าเซียวหลันไม่ได้พูดเล่น และนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกรักและห่วงใยนางมากขึ้นไปอีก
แต่ในขณะที่พวกเขากำลังใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในสำนักกระบี่ล่องลอยอยู่นั้นข่าวร้ายก็เดินทางมาถึง เสียงนกพิราบสื่อสารบินมาถึงกระท่อม และนำพาข่าวการรุกรานจากกลุ่มคนผู้ใช้พลังอัคคีต้องห้ามเข้ามาในเมืองหลวง พวกเขาเริ่มทำลายสิ่งของและทำร้ายผู้บริสุทธิ์เพื่อหาตัวผู้สืบทอดพลังแห่งแสง
"พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว" ท่านปรมาจารย์กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
หลี่หยางกำหมัดแน่น "เราจะปล่อยให้พวกมันทำร้ายผู้คนต่อไปไม่ได้"
"ข้าจะไปกับท่าน" เซียวหลันกล่าวอย่างมุ่งมั่น "ข้าจะใช้พลังของข้าเพื่อรักษาผู้คน"
ท่านปรมาจารย์มองทั้งสองด้วยความภาคภูมิใจ "ถึงเวลาแล้วที่พวกเจ้าจะต้องทำหน้าที่ของตนเอง"
การเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน มันไม่ได้เป็นการเดินทางเพื่อสืบหาความจริงเพียงอย่างเดียว แต่กลับเป็นการเดินทางเพื่อเข้าสู่สงครามที่กำลังจะอุบัติขึ้น... และทั้งสองคนก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน ไม่ใช่ในฐานะผู้ที่ถูกโชคชะตาเล่นตลก แต่ในฐานะผู้ที่จะเป็นผู้กอบกู้ที่แท้จริง
หลังจากได้อ่านคัมภีร์โบราณแล้ว เซียวหลัน หลี่หยาง และเฉินเหวิน ก็ตระหนักได้ว่าสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของพลังอำนาจ แต่เป็นเรื่องของคำทำนายที่ถูกสืบทอดมาหลายชั่วอายุคน และพวกเขาทั้งสามก็คือผู้ที่จะต้องเข้ามามีบทบาทในสงครามนี้"ในคัมภีร์ไม่ได้ระบุวิธีหยุดยั้งสงครามไว้" เซียวหลันกล่าวด้วยความผิดหวัง "มันมีเพียงแค่คำทำนายเกี่ยวกับผู้ที่จะมาช่วยโลกเท่านั้น""แต่เราก็มาถูกทางแล้ว" หลี่หยางปลอบโยน "อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่าพลังที่แท้จริงของพวกเราคืออะไร และเราจะสามารถใช้มันในการต่อสู้กับคนพวกนั้นได้อย่างไร""ข้ามีแผน" เฉินเหวินกล่าว "เราจะกลับไปที่วังหลวง"เซียวหลันและหลี่หยางมองหน้ากันด้วยความไม่เชื่อ “อะไรนะ!?" เซียวหลันถาม "ท่านจะให้เรากลับไปที่นั่นได้อย่างไร ในเมื่อที่นั่นเป็นกับดัก""ใช่... มันเป็นกับดัก" เฉินเหวินตอบ "แต่ตอนนี้... เราก็สามารถใช้มันให้เป็นประโยชน์ได้เช่นกัน" เขามองไปยังแผนที่บนผนังถ้ำ "ในแผนที่นี้... มีสถานที่ลับอีกแห่งหนึ่
พันธมิตรที่เปราะบางได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วในถ้ำลับอันมืดมิด เฉินเหวินที่เคยเป็นศัตรูร้าย บัดนี้ยืนอยู่เบื้องหน้าเซียวหลันและหลี่หยางในฐานะสหายร่วมชะตากรรม"ก่อนที่เราจะเริ่ม" เซียวหลันเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของนางยังคงเจือความระแวง "ท่านต้องบอกความจริงทั้งหมด... ว่าท่านเกี่ยวข้องอะไรกับอดีตของพวกเรา"เฉินเหวินยิ้มอย่างขมขื่น เขามองไปยังแผนที่บนผนังถ้ำ "เจ้าคิดว่าข้าชื่นชอบการเป็นหมากในเกมอำนาจของตระกูลข้าหรือ"เขาเริ่มเล่าเรื่องราวในอดีตให้เซียวหลันและหลี่หยางฟังอย่างละเอียด เขาเกิดในตระกูลที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและต้องการครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ พลังที่เขาใช้ในการต่อสู้ไม่ใช่พลังของตนเอง แต่เป็นพลังที่ถูกผนึกไว้ในตัวเขาตั้งแต่ยังเด็ก เขาถูกฝึกฝนให้กลายเป็นอาวุธที่มีชีวิต เพื่อที่จะใช้ในการทำลายศัตรูของตระกูล"ข้าถูกบังคับให้ทำร้ายครอบครัวของเจ้า" เฉินเหวินกล่าว "และข้าก็ถูกบังคับให้ทำร้ายครอบครัวของมัน" เขาชี้ไปที่หลี่หยาง "ข้า... เป็นเพียงหุ่นเชิดที่ไร้หัวใจ"
เมื่อรุ่งอรุณมาเยือนเมืองหลวงอีกครั้งเซียวหลันและหลี่หยางก็เดินทางมาถึงนอกกำแพงเมืองที่เคยเป็นเสมือนกรงขังเมื่อคืนวานนี้แล้ว พวกเขายังคงสวมชุดที่มอมแมมและเต็มไปด้วยร่องรอยการต่อสู้ แต่ดวงตาของทั้งสองกลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะเดินไปบนเส้นทางที่พวกเขาเลือกแล้ว"เราจะไปไหนกันดี" เซียวหลันถามขณะมองดูเมืองที่เงียบสงบในยามเช้า"เราต้องไปหาคนที่จะช่วยเราได้" หลี่หยางตอบ "และข้ารู้ว่าใครคือคนผู้นั้น"เซียวหลันพยักหน้าอย่างเข้าใจ พวกเขาทั้งสองเริ่มเดินทางไปยังทิศทางที่หลี่หยางบอก เส้นทางที่พวกเขาเลือกนั้นคือเส้นทางที่เต็มไปด้วยอันตรายและอุปสรรค พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มโจรที่ดักซุ่มอยู่ตามเส้นทาง และต้องต่อสู้กับสัตว์ร้ายในป่าที่รกทึบแต่ด้วยความสามารถของพวกเขา ทั้งสองคนก็สามารถเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ในที่สุด หลี่หยางใช้พลังอัคคีที่เพิ่งฟื้นคืนมาในการต่อสู้ ในขณะที่เซียวหลันก็ใช้พลังแห่งแสงในการรักษาบาดแผลที่เกิดขึ้น และนั่นก็ทำให้ทั้งสองคนได้เรียนรู้ที่จะร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์แบบ
ดูเหมือนว่าโชคชะตาของเซียวหลันและหลี่หยางจะอยู่ในกำมือของเฉินเหวินไปเสียแล้ว คำพูดของเฉินเหวินเป็นดังคำประกาศศักดิ์สิทธิ์ที่ลิดรอนอิสระไปจากพวกเขาทั้งคู่ ชะตากรรมของพวกเขาเหมือนถูกขังเอาไว้ในกรงขนาดใหญ่ ทั้งสองคนต่างรู้ดีว่าเป็นเรื่องยากที่จะหนีไปจากโชคชะตาในครั้งนี้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นพวกเขาก็ยังมีความมุ่งมั่นมากพอที่จะจับมือเดินไปข้างหน้าด้วยกันตามเส้นทางที่ตัดสินใจเลือก"เราจะทำอย่างไรกันดี" เซียวหลันถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง"เราจะออกจากที่นี่" หลี่หยางตอบอย่างหนักแน่น "เราจะไปจากวังแห่งนี้และทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่มันสร้างขึ้น"เซียวหลันส่ายหน้า “แต่... เราทำไม่ได้... ที่นี่เต็มไปด้วยทหารของเขา และท่านก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะต่อสู้""ข้าไม่เป็นไร" หลี่หยางกล่าว "ข้ายังมีพลังที่เหลืออยู่" เขามองเข้าไปในดวงตาของเซียวหลัน "เชื่อข้า... เราต้องไปจากที่นี่"เซียวหลันมองเขาด้วยความรู้สึกที่สับสน แต่ในที่สุดนางก็พยักหน้าอย่างจำยอม นางรู้ดีว่าห
เซียวหลันและหลี่หยางมองหน้ากันด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ คำพูดของเฉินเหวินยังคงดังก้องอยู่ในห้องอันเงียบสงบ พวกเขาทั้งคู่ต่างก็แบกรับความลับที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะจินตนาการได้ และบัดนี้ความลับนั้นได้กลายเป็นภาระที่พวกเขาต้องแบกรับร่วมกัน"ท่าน... ไม่เป็นไรใช่ไหม" เซียวหลันถามเสียงแผ่ว นางยังคงรู้สึกผิดที่ทำให้หลี่หยางต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้หลี่หยางพยักหน้าเล็กน้อย "ข้าไม่เป็นไร... แต่เราไม่มีเวลาแล้ว""เราจะทำอย่างไรกันดี" เซียวหลันถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง "เราถูกขังอยู่ที่นี่ และพลังของท่านก็... หายไปแล้ว""พลังของข้าไม่ได้หายไป" หลี่หยางกล่าว "มันแค่หลับใหลไปชั่วคราว" เขามองเข้าไปในดวงตาของเซียวหลัน "เจ้าต้องช่วยปลุกมันขึ้นมาอีกครั้ง"เซียวหลันส่ายหน้า "ข้าทำไม่ได้... ข้าเคยลองแล้ว และข้าก็เกือบจะเสียชีวิต""เชื่อข้า" หลี่หยางกล่าวอย่างหนักแน่น "ในตอนนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยข้าได้"เซียว
เซียวหลันมองเฉินเหวินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น เพราะคำพูดของเขาฟังดูไม่เข้าหูนางเลยสักนิด คำพูดเหล่านั้นเป็นดั่งคมมีดกรีดลึกเข้าไปในจิตใจของนาง แต่นางก็ทำอะไรไปไม่ได้มากกว่านี้นอกไปจากความรู้สึกยอมจำนน"ท่าน... ทำเช่นนี้ทำไม" เซียวหลันถามเสียงสั่นเครือ "ท่านต้องการอะไรกันแน่"เฉินเหวินยิ้มเล็กน้อย เขามองไปยังหลี่หยางที่นอนอยู่บนเตียง "ข้าต้องการพลังที่แท้จริงของเจ้า และข้าต้องการผู้ที่สามารถต่อกรกับคนพวกนั้นได้" เขาหันกลับมามองเซียวหลัน "ส่วนเรื่องการกอบกู้ชื่อเสียงของตระกูลเจ้า... มันเป็นเพียงสิ่งล่อใจให้เจ้าเข้ามาในวังของข้า"เซียวหลันกำหมัดแน่น นางรู้สึกราวกับถูกหลอกใช้ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกไร้หนทางที่จะหลีกหนี"แล้ว... ท่านจะทำอย่างไรกับข้า" เซียวหลันถาม"เจ้าไม่ต้องห่วง" เฉินเหวินตอบ "ข้าจะช่วยเจ้าฝึกฝนพลังของเจ้าให้แข็งแกร่งขึ้น และเมื่อถึงตอนนั้น... เจ้าก็จะเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดของข้า"เซียวหลันส่ายหน้า "ข้าจะไม่ยอม