LOGIN“เป็นอะไรไปน่ะน้ำผึ้ง เห็นเดินวนไปเวียนมาหลายตลบแล้ว ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง” ภาวัติเอ่ยทักแม่ตัวเล็กซึ่งเดินวนไปเวียนมาอย่างกับหนูติดจั่น วงหน้านวลชะเง้อจนคอยาวมองออกไปที่ชายหาดสีขาวสุดลูกหูลูกตา สลับสะบัดค้อนหน้าตางอง้ำใส่เขาอยู่หลายครั้ง
“คุณป๋าน่ะ...ก็รู้อยู่ ยังจะมาถามอีก”
มธุรสเอ่ยอย่างกระเง้ากระงอด ใบหน้าสวยยิ่งงอง้ำ อากาศตอนเช้ากำลังเย็นสบาย พระอาทิตย์ดวงโตออกสีส้มเข้มโผล่ขึ้นจากขอบฟ้า สาดทอแสงสะท้อนกับน้ำทะเลสีน้ำเงินเข้มใสแจ๋วราวกับได้เห็นเกล็ดของเพชรเม็ดงามมากองอยู่ตรงเบื้องหน้า จนอยากเห็นให้ชัดเจนเต็มสองตา อยากสัมผัสเนื้อทรายนุ่มด้วยมือและเท้า ถึงได้ปลุกและลากตัวภาวัติซึ่งยังนอนหลับอุตุอยู่บนเตียงลงมาเป็นเพื่อนด้วย แต่พอคุณป๋าตัวดีเห็นเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้นแหละ...
‘ขอคุณป๋าเช็กงานหน่อยนะน้ำผึ้ง ไม่ถึงสิบนาทีหรอก เดี๋ยวคุณป๋าจะไปเดินเล่นเป็นเพื่อน’ คนเอ่ยบอกยกมือขึ้นทาบบนศีรษะทุยแล้วขยี้เบาๆ ก่อนพาร่างอวบท้วมความสูงไล่เลี่ยกับมธุรสไปนั่งหน้าคอมพิวเตอร์
นับจากตอนนั้นถึงตอนนี้เวลาก็ผ่านไปจากครึ่งชั่วโมงเป็นหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้วที่ภาวัติยังนั่งทำหน้าคร่ำเคร่งอยู่กับคอมพิวเตอร์ จนลืมไปด้วยซ้ำว่ามีเธออยู่ด้วย เป็นอย่างนี้แทบทุกครั้ง ทำงานจนลืมเวลา ลืมกิน ลืมนอน คิดแล้วเซ็ง ริมฝีปากอวบอิ่มขยับไปซ้ายขวา
“ไหนบอกว่าสิบนาทีคะ นี่ชั่วโมงกว่าแล้วนะ ลุกเลยค่ะลุกเลย...วันนี้เรามาเที่ยวกันนะ ไม่ใช่มาทำงาน” ไม่รอช้าร่างเล็กเดินไปสอดสองมือเล็กกับแขนอวบใหญ่และดึงรั้งร่างภาวัติให้ลุกขึ้น
“ขอคุณป๋าดูรายละเอียดงานอีกแป๊บนะน้ำผึ้ง” เอ่ยบอกโดยที่สายตาไม่ละจากจอคอมพิวเตอร์
มธุรสแบะหน้าเหนื่อยหน่ายระคนเบื่อเซ็ง “ถ้ายังไม่ยอมวางมือ น้ำผึ้งโกรธแล้วนะคุณป๋า” ทำเสียงกระเง้ากระงอด งอนตุ๊บป่อง สอดแขนเรียวไขว้ระหว่างอก ปรายสายตามองภาวัติ ที่ปกติแล้วเมื่อเธองอนเขาก็ต้องง้อ แต่คราวนี้กลับไม่สนใจ สงสัยงานคงสำคัญมากจริงๆ แต่ไม่ยอมแล้วนะ พามาพักผ่อนนะไม่ใช่มาทำงาน
มือใหญ่จับรั้งแขนเล็กบังคับด้วยแรงที่มากกว่าให้อีกฝ่ายหันมา “ให้เวลาคุณป๋านิดนะน้ำผึ้ง การได้รู้เรื่องนี้ให้ประโยชน์แก่เราสองคนมาก ถ้าหนูเบื่อนั่งรอ ก็ไปเดินเล่นคนเดียวก่อน คุณป๋าเสร็จแล้วจะรีบตามไป ตกลงนะ”
มธุรสถึงกับกลอกสายตาขึ้นมองเพดานห้องด้วยความเบื่อหน่ายและเซ็งจับจิต ก่อนพยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจ ด้วยในทรวงเหมือนมีหมู่มวลความกดอากาศต่ำแฝงตัวอยู่ทำให้หายใจหายคอไม่ออก แต่เธอคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอกมั้ง! ชายหาดออกกว้างสุดลูกหูลูกตา เธอคงไม่เดินไปสะดุดปราสาททรายให้หัวตุงคะมำไปชนเข้ากับอีตาหื่นฉวยโอกาสนั่นหรอกน่า
“มีอะไรปิดบังคุณป๋าอยู่หรือเปล่าน้ำผึ้ง”
“ถามอะไรอย่างนี้ล่ะคะ น้ำผึ้งก็แค่อยากให้คุณป๋าได้หยุดพักบ้างเท่านั้น” รีบตอบกลับด้วยร้อนอกร้อนใจ เมินหน้าหลบหนีสายตาที่จ้องจับผิด
กลีบปากอิ่มคลี่ยิ้มเล็กน้อย “คุณป๋าทำงานไปเถอะค่ะ น้ำผึ้งไปเดินเล่นชายหาดคนเดียวก็ได้ แต่ทำงานเสร็จเมื่อไหร่ต้องรีบตามไปทันทีเลยนะคะ” กดจมูกโด่งบนแก้มอวบอูมทั้งสองข้างของภาวัติ ก่อนเดินไม่เหลียวหลังมอง เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องมองตามอย่างสงสัย จนต้องคิดหาหนทางเค้นเอาคำตอบจากปากเธอให้ได้แน่นอน
“ว้าว...สวยที่สุดเลย คิดไม่ผิดจริงๆ ที่มาที่นี่”
มธุรสยิ้มกว้างกับวิวทิวทัศน์รอบกาย ที่มองไกลๆ ว่าสวยแล้วนะ ได้เห็นใกล้ๆ อย่างนี้ เหมือนเธอเดินเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพนิยาย รอบกายเต็มไปด้วยฟองคลื่นสีขาวและสายธารสีทองเข้มเป็นประกาย อยากยื่นมือไปจับต้อง หยิบเอาสะเก็ดเพชรมาประดับประดาบนเรือนกายเสียจริงๆ
ลำแขนเสลากางออก แหงนใบหน้าขึ้นมองพื้นฟ้าสีฟ้าครามและก้อนเมฆสีขาวจินตนาการเป็นรูปร่างต่างๆ ลอยละล่องผ่านไปทีละก้อน สุขจนยากหาสิ่งใดเปรียบ พระพายพัดเอาสายลมจากกึ่งกลางทะเล หอบเอาเกล็ดละอองน้ำมาแตะต้องเรือนกาย อบอุ่นและเย็นฉ่ำในคราวเดียวกัน ก่อนความหงุดหงิดจะตามมาเมื่อต้องยกมือขึ้นจับปอยผมนุ่มที่พันกันปลิวมาถูกพวงแก้มและปลายจมูกให้รู้สึกคันคะเยอบ่อยครั้ง
“บ้าชะมัด! เป็นเพราะไอ้ยักษ์บ้านั่นทีเดียว” หญิงสาวพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน กรามซี่เล็กขบกัดจนแก้มนุ่มแดงปลั่งป่องออก ประกายนัยน์ตาเจิดจ้าสะท้อนกับแสงของพระอาทิตย์สาดส่องกระทบแสงน้ำทะเลเป็นดั่งแสงดวงดาวอันสวยงาม มือเล็กกำหมัดแน่นจนปลายเล็บทิ่มตำไปในเนื้อนุ่ม
“อย่าให้เจออีกนะ แม่จะเอาทรายนี่กรอกปากให้กินแทนข้าว...อ๋อไม่ใช่เป็นฝรั่งนี่นะ ก็ต้องให้กินทรายแทนขนมปังทาแยมแล้วกัน” ปลายนิ้วเท้าวาดใบหน้าของคนบ้ากามที่ตามไปหลอกหลอนเธอแม้กระทั่งยามหลับให้เป็นรูปเป็นร่างบูดเบี้ยวหงิกงอ ก่อนกระทืบซ้ำลงไปหลายๆ รอบเต็มแรง
จากย่ำเปลี่ยนเป็นกระทืบทรายแรงๆ สลับเตะฟองคลื่นสีขาวซึ่งสาดซัดเข้าหาฟากฝั่งระบายความโกรธในใจจนเหนื่อยอ่อน จึงหยุดให้สายน้ำและสายลมเย็นๆ พัดมาแตะต้องร่างกายผ่อนคลายโทสะที่ยังคุกรุ่นอยู่ในหัวใจให้ผ่อนคลายลง
เข้าใจเรื่องฝรั่งไม่ถือเรื่องการสัมผัสเนื้อต้องตัว ไม่ว่าที่ไหนก็กอดจูบกันได้ แล้วตอนนี้เธอก็ดันเห็นหนุ่มสาวจูบกันจะจะตา พวงแก้มอิ่มนุ่มร้อนผ่าวมาพร้อมโทสะที่ผุดขึ้นมาอีกครา เมื่อสิ่งที่อยากลืมกลับย้อนมาในความรู้สึกจนอยากร้องตะโกนดังๆ ระบายอารมณ์ แต่ก็ไม่กล้ากลัวถูกหาว่าบ้า
มธุรสพยายามสลัดความโกรธ สูดลมหายใจอัดเข้าเต็มปอด พร้อมนับหนึ่งถึงสิบในใจ ผ่อนคลายความร้อนรุ่มในกาย โดยการกวาดมองไปทั่วๆ ให้สายตาตรึงอยู่กับความสวยงามของทิวทัศน์อันสวยงาม เป็นนานกว่าอารมณ์ซึ่งคุกรุ่นอยู่จะสงบลงและทำใจให้รื่นเริงกับความงามของท้องทะเลสีน้ำเงินเข้มที่มีความหมายว่า “ภูเขาสีดำ” ที่ซึ่งได้ชื่อว่าไข่มุกแห่งท้องทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
กลีบปากอิ่มคลี่ยิ้มระเรื่อ จากที่เตะตารูปท้องทะเลสีน้ำเงินเข้มสะท้อนแสงดวงตะวัน จนเกิดเป็นความอยากรู้แล้วก็เริ่มหาข้อมูล ก่อนอ้อนวอนขอให้ภาวัติพามาเที่ยว แล้วตอนนี้พูดได้เต็มปากเลย...ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ
มธุรสเพลิดเพลินกับการย่ำเท้าไปบนทรายสีขาวสะอาดตาและน้ำทะเลเย็นๆ สองมือที่ตอนแรกจับผมยาวๆ มาขมวดๆ ไว้กลางกระหม่อมด้วยความรำคาญกลับเปลี่ยนใจ ปล่อยให้สายลมพัดจนเส้นผมปลิวไสวอย่างสนุกสนานรื่นเริง
มาทะเลไม่เล่นน้ำก็กระไรอยู่ พวงแก้มนุ่มป่องออกเล็กน้อยจรดเท้าเล็กเรียวไปในกระแสน้ำเย็นๆ แล้วกระตุกกลับมาพร้อมเสียงหัวเราะใสแจ๋วอย่างสนุกสนาน เธอทำอย่างนั้นอยู่สองสามครั้ง ก่อนถอดรองเท้าไว้บนทราย พาเท้าเล็กๆ ก้าวลงไปเล่นน้ำเต็มๆ กายเล็กย่อลงเล็กน้อยพอให้สองมือได้กวักน้ำเล่น ให้สายน้ำเย็นๆ พัดพาความชุ่มชื่นชุ่มฉ่ำใจมาสู่กายาอรชร จนรู้สึกเหนื่อยเลยเดินย้อนกลับขึ้นมายืนหอบบนหาดทราย
ใบหน้านวลผ่องแดงปลั่งจากการได้เล่นน้ำและแสงแดดซึ่งแรงฤทธิ์ขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้สนใจ กลับเลือกยืนทอดสายตามองไปรอบๆ บริเวณชื่นชมกับทิวทัศน์อันสวยงาม จนไม่ได้สังเกตว่าตอนนี้ตัวเธอได้ตกเป็นเป้าสายตาของใครคนหนึ่งซึ่งมองอย่างไม่คลาดแม้สักวินาทีเดียว
รอบกายแม้มีนักท่องเที่ยวไม่มาก แต่ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มาเป็นคู่หรือไม่ก็เป็นครอบครัว ส่วนเธอเดินคนเดียวมันเลยทำให้เกิดความรู้สึกเหงาๆ อยู่เหมือนกัน อย่างนี้คงต้องไปลากตัวภาวัติจากคอมพิวเตอร์ มาเดินเป็นเพื่อนให้ได้เสียแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้งานท่านเสร็จหรือยัง มธุรสลังเลสองจิตสองใจ เอายังไงดี แต่สุดท้ายบรรยากาศดีๆ สวยๆ ที่ได้เห็น เธอก็อยากแบ่งปันให้กับคนซึ่งเธอรักสุดหัวใจได้ชมด้วย จึงเลือกเดินย้อนกลับไปยังโรงแรม
“อุ๊ย!!” เสียงแผ่วดังจากปากอิ่ม เมื่อเร่งรีบและสายตาไม่ละจากความสวยงามของท้องทะเล หรืออาจเป็นความซุ่มซ่ามเป๋อเหลอของตัวเอง ทำให้ร่างเล็กบางแทบปลิวไปกับสายลมแรงปะทะกับอะไรบางอย่าง ที่อ่อนนุ่มและแข็งกระด้างในเวลาเดียวกัน
รองเท้าและถุงเท้าถอดออกวางไว้ และเริ่มต้นหาทางปีนป่ายขึ้นไปชั้นสองของบ้าน แต่สิ่งที่เขาคิดได้แซมก็คิดได้เช่นกัน ทั้งๆ ที่ฝนไม่ตกทว่า...ผนังห้องกลับเปียกชื้นและถ้ามองให้ดีเขารู้สึกเหมือนเห็นเป็นมันวาว อีกทั้งยังได้กลิ่นเหม็นเอียนคล้าย...น้ำมัน! ทำให้คนที่ปีนป่ายต้นไม้ไม่เก่งอย่างเขา ปีนแล้วตกอยู่หลายครั้ง แล้วพอปีนได้ถึงครึ่งทาง“ลงไปหาอะไรอยู่แถวนั้นนะคุณไซม่อน” คุณพ่อตาตัวแสบชะโงกหน้า“โอ๊ย!” คนที่ปีนป่ายเป็นลิงขาเจ็บเงยหน้าขึ้นมองด้านบน มือเลยเกี่ยวพลาดร่วงหล่นตุ้บลงไปนอนจุกตัวงอบนพื้น โดยมีเสียงหัวเราะสะใจของพ่อตาดังลั่นตามมา“คุณป๋า ไม่เล่นแล้วนะคะ ถ้าขืนยังแกล้งคุณไซม่อนอีก น้ำผึ้งโกรธจริงๆ” มธุรสทำหน้างอนๆ ด้วยความเป็นห่วงสามี อยากวิ่งลงไปดูว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่า แต่ก็ถูกภาวัติจับมือไว้“เอาน่าน้ำผึ้ง คุณไซม่อนของหนูเก่งจะตาย ดูสิปีนขึ้นมาได้ครึ่งทางแล้ว เดี๋ยวอีกสักสองสามรอบก็ปีนเข้ามาได้แล้วละ หนูมายืนให้กำลังเขาหน่อยสิ”ดึงร่างลูกสาวมายืนให้มองไซม่อนซึ่งไม่ยอมแพ้ เริ่มต้นปีนป่ายใหม่และหล่นตุ้บลงไปอีกหลายครั้ง แม้เหนื่อยล้าและแทบจะหมดไร้เรี่ยวแรง แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ ยังคงพยายาม
มธุรสทอดมองไปยังร่างใหญ่ซึ่งนั่งก้มๆ เงยๆ อยู่ตรงแปลงกุหลาบซึ่งเธอว่าตอนแรกก็ไม่มีนะ แต่พอไซม่อนมาอยู่ ทำไมถึงโผล่มาได้ก็ไม่รู้ คงเป็นฝีมือคุณป๋าจอมเจ้าเล่ห์นั่นแหละ ทั้งสงสารและเห็นใจไซม่อนเหลือเกิน แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไง เพราะเธอถูกภาวัติคุมเข้ม ขนาดกลางคืนยังถูกเรียกไปนอนใกล้ๆ“คุณป๋ารู้สึกอึดอัดหายใจติดๆ ขัดๆ ยังไงไม่รู้ หนูนอนเป็นเพื่อนหน่อยนะน้ำผึ้ง เพื่อว่าตกดึกเป็นอะไรจะได้ช่วยเหลือกันทัน”เธอทำอะไรได้ล่ะ นอกจากทำตามคำอ้อนของบิดา “คุณป๋าขา อากาศร้อนนะคะ” มองร่างแกร่งที่ตอนนี้เหงื่อไหลโซมกาย ผิวที่เคยขาวถูกแดดเผาจนแดงจัดอย่างน่ากลัว ถ้าหากลอกเขาคงเจ็บน่าดู ตอนเย็นตอนทานอาหารเสร็จเธอคงต้องหาพวกโลชั่นทาผิวหรือไม่ก็ออยให้ชายหนุ่มไว้ใช้ทาตัวหน่อยละ แล้วตอนนี้เธอก็ควรจะช่วยเขาด้วย“อากาศร้อนแบบนี้ น้ำผึ้งว่า...เอ่อ...คุณป๋าให้...” มธุรสกระอึกกระอักไซม่อนยิ้มหวานให้คนตัวเล็กที่ออกโรงช่วยเหลือ จนแทบลืมอาการเข็ดเมื่อยตามร่างกายไปเลย“นั่นสิ คุณป๋าก็ว่าเหมือนกัน หนูก็เอาน้ำเย็นๆ ไปให้เขากินเสียหน่อยสิ จะได้ชุ่มใจชุ่มคอ หายคอแห้งไปสักหน่อย” ได้ยินเช่นนั้นไซม่อนก็ยิ้มจนแก้มตุ่ย แม้ไม
“น้ำผึ้งไปทำธุระ” เขาส่งมธุรสไปต่างจังหวัดกับคนรู้จักที่ไว้ใจได้ “สองสามวันถึงจะกลับ” กะว่าจะให้อยู่ยาวสักอาทิตย์หรือมากกว่านั้นท่าจะดี“หรือครับ” ตอบกลับทั้งน้ำเสียงและใบหน้าเศร้าหมองลงทันควัน การเดินทางของเขาเป็นไปตามข้อตกลงของภาวัติ จัดการเคลียร์ปัญหาทุกอย่างจนเรียบร้อย ก่อนเดินทางก็โทรมาบอกล่วงหน้า เพราะอีกฝ่ายบอกไว้แล้วจะให้คนมารับที่สนามบิน ซึ่งถ้าเขาฉุกใจสักนิด ฉลาดอีกสักหน่อย ก็คงไม่ถูกเล่นงานจนสะบักสะบอมถึงขนาดนี้หรอก “คุณมาอย่างนี้ งานที่โน่นใครรับผิดชอบ บอกเอาไว้ก่อนนะคุณ ผมไม่นิยมชมชอบคนไม่สู้และทิ้งงานกลางคัน”“ผมเข้าใจครับ ผมส่งมอบงานให้เพื่อนดูแลเรียบร้อย ถ้าหากว่าติดขัดอะไร เราจะคุยกันผ่านการสื่อสารออนไลน์ แบบนั้นคุณคงไม่ว่านะครับ ถ้าหากต้องขอปลีกตัวไปบ้างเป็นครั้งคราว”“แล้วแต่คุณจะตัดสินใจ” โยนให้ไซม่อนเป็นคนคิดเอาเอง จะแก้สถานการณ์ซึ่งหน้ายังไง “คุณมาเหนื่อยๆ ไปห้องพักอาบน้ำสักหน่อยน่าจะดี”“ดีเหมือนกัน ขอบคุณครับ” ไซม่อนรับคำอย่างไม่รู้ความนัยน์ของคำพูดภาวัติ แต่เมื่อถึงห้องนอนที่อีกฝ่ายให้พัก เขาก็ผงะในทันที...ห้องเล็กกว่าห้องพักของพนักงานเขาเสียอีก อย่างกับรูห
ประตูยังไม่ทันปิดดี...คนที่เร่งรีบเดินตามมาติดๆ ก็รีบเอ่ยปากพูดโดยไม่สนใจเพลิงโทสะของภาวัติ “ผมรัก honey”ภาวัติตวัดสายตาไปมอง “คุณจะรักฮันน่งฮันนี่ก็รักไปสิคุณไซม่อน ไม่เห็นเกี่ยวกับผมและน้ำผึ้งเลยนี่” ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนแก้มเนียนใส “คุณป๋าเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เราเก็บข้าวของกลับบ้านเราดีกว่าลูก”“คุณป๋า...เอ่อ...” มธุรสหันรีหันขวาง ไม่รู้จะทำยังไงดี ห่วงความรู้สึกของแต่ละคนไม่น้อยกว่ากันเลยถ้าอยู่กับไซม่อนที่นี่แล้วใครจะดูแลพ่อล่ะ ท่านก็แก่แล้ว มัวแต่ทำงานจนลืมดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองอยู่บ่อยครั้ง เวลาเจ็บป่วยใครจะดูแลป้อนข้าวเช็ดตัวและบังคับให้กินยาแต่ถ้าไปกับพ่อแล้วไซม่อนล่ะ เขาจะเสียใจแค่ไหน แค่คิดว่าเธอต้องอยู่โดยไม่มีเขา หัวใจก็แทบขาดรอนแล้ว ทว่าสายตาพ่อบีบคั้นหัวใจจนเธอรู้สึกเหมือนมีหินก้อนยักษ์ถ่วงอยู่ให้หายใจไม่ออก ได้แต่นั่งนิ่งงัน ก้มลงมองมือบนตักซึ่งกระชับรัดเอาไว้แน่นเห็นใบหน้าเศร้าหม่นหมองของเมียรักแล้วเขาอึดอัดหายใจไม่ออก เห็นควรต้องทำอะไรสักอย่าง ที่จะทำให้ภาวัติเห็นถึงความรักและจริงใจที่มีให้กับมธุรส เพื่อละลายไฟเย็นพร้อมทำให้ภาวัติยอมรับในตัวเขาไซม่อ
“ฉัน...ฉัน...” พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ดีใจจนเนื้อเต้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรักษาท่าทีเอาไว้ “คุณแน่ใจแล้วหรือคะคุณไซม่อน ฉันอาจเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตคุณ พอจากกันไม่นานคุณก็ลืม”ไซม่อนทาบมือบนแก้มเนียนใสเปล่งปลั่งด้วยเลือดฝาดสาว “แน่ใจที่สุดเลยละ honey รู้อย่างหนึ่งไหม เธอหมดสิทธิ์ไปจากฉันตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันแล้วละที่รัก” ตอบกลับและยิ้มใส่ตากลมโตซึ่งเบิกกว้างอย่างตกตะลึง“หายโกรธแล้วใช่ไหม darling”“ใครว่า ฉันไม่ได้โกรธสักหน่อย” น้ำเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ผลักดันกายแข็งแกร่งและไล่จับมือซึ่งเคลื่อนไหวไปทั่วกาย ราวกับหนวดปลาหมึกจับไม่ได้ไล่ไม่ทันจนเธอเหนื่อยอ่อนแต่ระคนด้วยความสุข“ไม่ได้โกรธ งั้นก็แค่งอน” ปลายนิ้วยาวร้อนผ่าววางทาบบนกลีบปากอวบอิ่มที่ขยับจะพูด “Honey…my darling will you marry me?”หัวใจโป่งพองราวกับลูกโป่งที่ถูกอัดด้วยแก๊ส เขารักเธอ...รักและปรารถนามีเธอเคียงข้าง ทว่าใบหน้านวลผ่องหมองเศร้าลง “คุณป๋า...” กังวลใจกับคนอยู่ไกล ไม่รู้ว่าจะทนทำใจรับได้ไหม ถ้าเธอต้องอยู่กับไซม่อนที่นี่ ห่างไกลกันคนละฟากฟ้านิ้วยาวยกขึ้นทาบบนปากอิ่ม “กังวลไปก็เ
“honey” ไซม่อนร้องเรียและรีบยื่นมือไปคว้าแขนเรียวของคนที่กำลังก้าวขึ้นรถดึงกลับมาหาตัวและกอดเอาไว้“กรุณาปล่อยฉันด้วยคุณไซม่อน” ข่มกลั้นความเจ็บปวดที่เผาผลาญหัวใจ เอ่ยขับไล่คนที่ทำให้เธอเจ็บและกลายเป็นคนไร้ค่าเสียงเบาหวิว มือเรียวทาบบนแขนแกร่งดึงออกอย่างช้าๆ แต่มั่นคงเธอยอมเจ็บที่ต้องจากเขาไป แต่จะไม่ยอมกลายเป็นคนโง่ถูกหลอกด้วยคำพูด...รัก! ซึ่งเธอยังไม่รู้เลย เขารักจริงๆ หรือเปล่าหรือเพียงแค่ต้องการร่างกาย แต่เป็นเธอนี่แหละหลงรักเขาอยู่ฝ่ายเดียวและโดนหักหลังจนเจ็บแทบกระอักไม่มีเสียงโวยวายด่าทอหรือแม้แต่ทุบตี มีเพียงแค่คำพูดนุ่มๆ หวานเศร้าบาดเข้าไปในจิตของไซม่อน “ไม่...ฉันไม่ยอมปล่อย honey เด็ดขาด” เปลี่ยนจากการจับแขน เป็นสอดมือโอบรัดกายอรชร จับรั้งคนตัวเล็กให้หันมาประจันหน้าด้วย แต่เหลียวมองไปรอบๆ แล้วตอนนี้จุดซึ่งเขายืนอยู่ เป็นจุดที่เรียกความสนใจจากคนอื่นได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มย่อตัวสอดแขนใต้ข้อพับดันร่างแบบบางลอยขึ้นจากพื้น“ถ้าร้องเรียกขอความช่วยเหลือทำอะไรก็ตาม ฉันจูบโชว์คนอื่นแน่...แล้วไม่แน่ใจด้วย หยุดแค่จูบหรือเปล่า” ขู่ไว้ก่อนเมื่อเห็นมธุรสขยับริมฝีปากพูด“เห็นและได้ยินคนอ







