LOGIN“คุณป๋าอยู่เที่ยวกับน้ำผึ้งสักสองวันนะคะ...นะคะ” คราวนี้ไม่เพียงแค่เสียงออดอ้อนใสแจ๋ว แต่ทั้งสีหน้าและดวงตาที่ทอดมองภาวัติเว้าวอนหน้าเศร้าระคนคาดหวัง
“คุณป๋าติดงานสำคัญน่ะน้ำผึ้ง” ไม่ใช่ว่าไม่อยากอยู่ ใครจะกล้าปล่อยปลาย่างสวยๆ ไว้กับแมวฝรั่งตัวโตๆ ที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะมีคนดอดเข้ามาแอบคว้าปลาย่างหวานๆ ไปครอง คิดแล้วอยากยอมเสียเงินค่าห้องโดยไม่ใช้บริการ พามธุรสตามติดไปทำงานด้วยดีกว่า แต่พอนึกถึงจำนวนเงินที่จ่ายไปแล้วก็อดเสียดายไม่ได้
“คุณป๋าใจร้าย ไม่รักน้ำผึ้งแล้วใช่ไหมล่ะ ถึงได้ปล่อยให้อยู่คนเดียว” มธุรสทำเสียงน้อยใจ สองแขนสอดไขว้ระหว่างอก เชิดหน้านวลผ่องขึ้นสูง หันมองออกไปนอกบริเวณฟรอนต์ แต่ยังแอบเหลือบสายตามองภาวัติเป็นระยะ
“น้ำผึ้งอย่าทำให้คุณป๋าหนักใจสิ ก็รู้อยู่คุณป๋าไม่ได้อยากให้สาวน้อยแสนน่ารักอยู่คนเดียว หรือไปด้วยกันดีไหม”
น้ำเสียงห้าวอบอุ่นแต่เด็ดขาดบ่งบอกถึงความหนักอกหนักใจดังมา ทำให้คนแสนงอนเก่งถึงกับถอนใจ แต่ก็ยังอยากลองดูอีกครั้ง มธุรสปรับเปลี่ยนสีหน้าบูดบึ้งให้เป็นยิ้มหวานระรื่น
“นะคะคุณป๋าขา อยู่เที่ยวกับน้ำผึ้งสักวัน ไม่เห็นจะเสียหายอะไรนี่นา ป๋าแก่แล้วนะ...สี่สิบกว่าแล้วนะคะ อย่าหักโหมใช้ร่างกายหนักมากสิ เงินทองเรามีตั้งมากมาย ถึงไม่ทำงาน เราก็มีเงินให้ใช้เป็นสิบปีก็ไม่หมด” กะพริบตาปริบๆ ส่งไปให้อย่างน่ารัก เพื่อหลอมละลายหัวใจภาวัติให้ทำตามความต้องการ
ภาวัติถอนหายใจเฮือกใหญ่ อายุเยอะขึ้นเป็นอุปสรรคสำหรับการเดินทางและการทำงานจริงๆ นั่นแหละ ไหนจะเสียงออดอ้อนหวานแผ่วพลิ้วราวกับแมวเหมียวตัวน้อยคลอเคลียเจ้าของ แต่เหงาเศร้าเหมือนกับนกบินกลับรังไม่ถูกอีก ทำให้เขาเป็นห่วงจนร้อนใจแล้วต้องทอดถอนใจ
“เรานี่นะ...อยากได้อะไรต้องเอาให้ได้จริงๆ” บีบจมูกเล็กเบาๆ ใบหน้าเปื้อนยิ้ม “เดี๋ยวรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ คุณป๋าจะไปจัดการเรื่องห้องให้เรียบร้อย”
“เย้...คุณป๋าน่ารักที่สุดเลยในโลกเลย” อยากไชโยโห่ร้องด้วยการกระโดดกอดภาวัติเหมือนตอนอยู่ที่บ้าน แต่ยังกริ่งเกรงและอายเล็กๆ กับสายตาหลายคู่ที่มองมา เลยได้แต่ส่งยิ้มหวานๆ ให้กับคนใจดีที่น่ารักที่สุด
เชื่อว่าถ้ามีภาวัติอยู่ด้วย ผู้ชายคนนั้นต้องไม่กล้าทำอะไร แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นมธุรสก็ยังไม่ไว้วางใจ ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบบริเวณด้วยหัวใจสั่นไหว ก่อนผ่อนลมหายใจออกจากปอด เมื่อไม่เห็นคนที่ทำให้เธอกลัว...กลัวผู้ชายคนนั้นไม่เท่ากลัวหัวใจตัวเอง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หัวใจถึงได้เต้นแรงรัวเร็วราวกับจะทะลุอกยามถูกแตะต้อง ร่างกายก็ร้อนผ่าวราวกับถูกเปลวเพลิงเผาไหม้ คล้ายน้ำถูกต้มเดือดจนกลายเป็นไอยามถูกแนบชิดและบดคลึงริมฝีปากนุ่ม
มธุรสยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองเบาๆ เมื่อรู้ตัวว่าเผลอไปคิดถึงเรื่องน่าอับอายที่เกิดขึ้น ถ้าใครรู้เข้าเธอไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เพราะไอ้คนฉวยโอกาสนั่นแท้ๆ กรามเล็กขบกัดจนแก้มนูนขึ้นสัน
อยากรู้นักว่าเขาเป็นใคร คงดีถ้าเป็นแค่พนักงานในโรงแรมนี้ จะได้ฟ้องให้ถูกไล่ออกจากงานไปเสียเลย ขืนปล่อยไว้รังแต่จะทำให้โรงแรมเสื่อมเสียชื่อเสียง เพราะพนักงานเลวทรามชอบลวนลามทำอุกอาจกับผู้หญิง แต่...
กลีบปากอวบอิ่มขบกัดจนแบนราบเรียบ ในดวงตาเป็นประกายเจิดจ้าด้วยโกรธกรุ่นระคนเจ็บปวดใจ ไม่รู้เป็นอย่างนี้ได้ยังไง เพียงแค่คิดว่ามือคู่นั้นไปจับต้องผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ อ้อมแขนเขามีผู้หญิงคนอื่นเป็นเจ้าของ
โอ๊ย! เธอเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ เลยที่ดันไปคิดแบบนั้นกับผู้ชายเพิ่งแรกเจอ ชักเพี้ยนไปแล้วจริงๆ ตื่น...ตื่นได้แล้วมธุรส มาคิดอะไรบ้าๆ ไม่เป็นกุลสตรีอย่างนี้ได้ไงกัน สองมือนุ่มยกขึ้นตบแก้มแรงๆ เรียกสติกลับคืนมา ปรับเปลี่ยนวงหน้ารูปไข่ที่บูดบึ้งให้แย้มยิ้มหวาน
“คุณป๋าขา...” ปกติแล้วเธอจะพูดไทยกับภาวัติ แต่ในครั้งนี้เธอเลือกเรียกขานอีกฝ่ายด้วยภาษาอังกฤษ เพราะคิดว่าสิ่งนี้จะกลายเป็นเกราะคุ้มกันภัยให้ได้ดีที่สุด ไม่มีผู้ชายคนไหนอยากยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงที่มีเจ้าของแล้วแน่นอน ไม่มีใครอยากเป็นชู้!
ใบหน้างามเริ่มมีแวววิตกกังวล เมื่อภาวัติเดินกลับมาพร้อมสีหน้ายุ่งเหยิงคล้ายไม่สบอารมณ์ หรือว่า...แย่แน่เลย “เกิดอะไรขึ้นคะคุณป๋า หรือว่า...”
“อือ...”
“อย่างนี้ก็แย่สิคะ อย่างนี้น้ำผึ้งก็ต้องนอนคนเดียวสิ” มธุรสเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อรู้ว่าภาวัติเปลี่ยนโปรแกรมที่วางไว้ไม่ได้ ใบหน้าฉายแวววิตกกังวล หัวคิ้วโค้งได้รูปขมวดมุ่นเข้าหากัน กัดแคะปลายเล็บอย่างลืมตัว
“มีอะไรปกปิดคุณป๋าอยู่ใช่ไหมน้ำผึ้ง” เชื่อสายตาตัวเอง มองไม่ผิดแน่ มธุรสต้องมีเรื่องปกปิดเขาชัวร์!
“ไม่นี่คะ” ใบหน้าเศร้าหมองลงมองพื้น ด้วยกลัวจะเปิดเผยทุกอย่างทางสายตา สอดมือเข้ากอดแขนอวบ แนบหน้ากับต้นไหล่กว้างอย่างประจบ
“แค่เสียดาย คุณป๋าทำงานหนักและทำเพื่อคนอื่นมาตลอด ทำไมวันนี้ถึงไม่ยอมทำให้ตัวเองมีความสุขบ้างล่ะคะ น้ำผึ้งไม่อยากให้วันที่ได้พักคือวันที่ต้องจากโลกนี้ไป”
ความรักความห่วงใยที่สื่อมาทำให้ภาวัติเต็มตื้นไปทั้งหัวใจ แขนใหญ่โอบรัดรอบกายอรชร ทาบมือบนศีรษะทุยเขย่าเบาๆ “ถ้าคุณป๋าพักด้วยอย่างที่น้ำผึ้งคิด จะไม่เป็นการกีดกันหนุ่มๆ ที่จะมาจีบสาวน้อยแสนสวยหรือไง มันน่าเสียดายอยู่นะ แถวนี้ฝรั่งหน้าตาดีเยอะเสียด้วยสิ” เอ่ยถามพลางหัวเราะกลั้วคอ
‘เอ๊ะ...คำพูดนี้ฟังดูแล้วแปลกพิกล’ มธุรสรีบเงยหน้ามองภาวัติ คิ้วโค้งได้รูปเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนทำหน้าง้ำเมื่อเข้าใจความนัยในคำพูด
“คุณป๋าน่ะ แกล้งน้ำผึ้งอีกแล้ว”
“ก็เรามันน่าแกล้งนี่น่า” ภาวัติหัวเราะ นี่มันต่างบ้านต่างเมืองนะ ทำอะไรก็ต้องเตรียมตัวให้เรียบร้อยก่อนสิ ไม่ใช่นึกอยากทำอะไรก็ทำ
“งอนคุณป๋าแล้ว ไปห้องอาบน้ำให้สดชื่นสบายใจสบายกายดีกว่า” ถึงจะบอกว่างอน ทว่ามธุรสก็ยังสอดมือกอดแขนอวบดึงภาวัติให้ลุกขึ้นเดินไปหาพนักงานโรงแรมซึ่งยืนรออยู่หน้าลิฟต์ด้วยสีหน้าแช่มชื่น ดวงตาใสแจ๋วเป็นประกาย ด้วยยามนี้หัวใจเธอก็เริงรื่นราวกับได้บินไปบนท้องฟ้าซึ่งไร้เมฆหมอกควันไฟให้ระคายเคืองขุ่นใจ
รองเท้าและถุงเท้าถอดออกวางไว้ และเริ่มต้นหาทางปีนป่ายขึ้นไปชั้นสองของบ้าน แต่สิ่งที่เขาคิดได้แซมก็คิดได้เช่นกัน ทั้งๆ ที่ฝนไม่ตกทว่า...ผนังห้องกลับเปียกชื้นและถ้ามองให้ดีเขารู้สึกเหมือนเห็นเป็นมันวาว อีกทั้งยังได้กลิ่นเหม็นเอียนคล้าย...น้ำมัน! ทำให้คนที่ปีนป่ายต้นไม้ไม่เก่งอย่างเขา ปีนแล้วตกอยู่หลายครั้ง แล้วพอปีนได้ถึงครึ่งทาง“ลงไปหาอะไรอยู่แถวนั้นนะคุณไซม่อน” คุณพ่อตาตัวแสบชะโงกหน้า“โอ๊ย!” คนที่ปีนป่ายเป็นลิงขาเจ็บเงยหน้าขึ้นมองด้านบน มือเลยเกี่ยวพลาดร่วงหล่นตุ้บลงไปนอนจุกตัวงอบนพื้น โดยมีเสียงหัวเราะสะใจของพ่อตาดังลั่นตามมา“คุณป๋า ไม่เล่นแล้วนะคะ ถ้าขืนยังแกล้งคุณไซม่อนอีก น้ำผึ้งโกรธจริงๆ” มธุรสทำหน้างอนๆ ด้วยความเป็นห่วงสามี อยากวิ่งลงไปดูว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่า แต่ก็ถูกภาวัติจับมือไว้“เอาน่าน้ำผึ้ง คุณไซม่อนของหนูเก่งจะตาย ดูสิปีนขึ้นมาได้ครึ่งทางแล้ว เดี๋ยวอีกสักสองสามรอบก็ปีนเข้ามาได้แล้วละ หนูมายืนให้กำลังเขาหน่อยสิ”ดึงร่างลูกสาวมายืนให้มองไซม่อนซึ่งไม่ยอมแพ้ เริ่มต้นปีนป่ายใหม่และหล่นตุ้บลงไปอีกหลายครั้ง แม้เหนื่อยล้าและแทบจะหมดไร้เรี่ยวแรง แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ ยังคงพยายาม
มธุรสทอดมองไปยังร่างใหญ่ซึ่งนั่งก้มๆ เงยๆ อยู่ตรงแปลงกุหลาบซึ่งเธอว่าตอนแรกก็ไม่มีนะ แต่พอไซม่อนมาอยู่ ทำไมถึงโผล่มาได้ก็ไม่รู้ คงเป็นฝีมือคุณป๋าจอมเจ้าเล่ห์นั่นแหละ ทั้งสงสารและเห็นใจไซม่อนเหลือเกิน แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไง เพราะเธอถูกภาวัติคุมเข้ม ขนาดกลางคืนยังถูกเรียกไปนอนใกล้ๆ“คุณป๋ารู้สึกอึดอัดหายใจติดๆ ขัดๆ ยังไงไม่รู้ หนูนอนเป็นเพื่อนหน่อยนะน้ำผึ้ง เพื่อว่าตกดึกเป็นอะไรจะได้ช่วยเหลือกันทัน”เธอทำอะไรได้ล่ะ นอกจากทำตามคำอ้อนของบิดา “คุณป๋าขา อากาศร้อนนะคะ” มองร่างแกร่งที่ตอนนี้เหงื่อไหลโซมกาย ผิวที่เคยขาวถูกแดดเผาจนแดงจัดอย่างน่ากลัว ถ้าหากลอกเขาคงเจ็บน่าดู ตอนเย็นตอนทานอาหารเสร็จเธอคงต้องหาพวกโลชั่นทาผิวหรือไม่ก็ออยให้ชายหนุ่มไว้ใช้ทาตัวหน่อยละ แล้วตอนนี้เธอก็ควรจะช่วยเขาด้วย“อากาศร้อนแบบนี้ น้ำผึ้งว่า...เอ่อ...คุณป๋าให้...” มธุรสกระอึกกระอักไซม่อนยิ้มหวานให้คนตัวเล็กที่ออกโรงช่วยเหลือ จนแทบลืมอาการเข็ดเมื่อยตามร่างกายไปเลย“นั่นสิ คุณป๋าก็ว่าเหมือนกัน หนูก็เอาน้ำเย็นๆ ไปให้เขากินเสียหน่อยสิ จะได้ชุ่มใจชุ่มคอ หายคอแห้งไปสักหน่อย” ได้ยินเช่นนั้นไซม่อนก็ยิ้มจนแก้มตุ่ย แม้ไม
“น้ำผึ้งไปทำธุระ” เขาส่งมธุรสไปต่างจังหวัดกับคนรู้จักที่ไว้ใจได้ “สองสามวันถึงจะกลับ” กะว่าจะให้อยู่ยาวสักอาทิตย์หรือมากกว่านั้นท่าจะดี“หรือครับ” ตอบกลับทั้งน้ำเสียงและใบหน้าเศร้าหมองลงทันควัน การเดินทางของเขาเป็นไปตามข้อตกลงของภาวัติ จัดการเคลียร์ปัญหาทุกอย่างจนเรียบร้อย ก่อนเดินทางก็โทรมาบอกล่วงหน้า เพราะอีกฝ่ายบอกไว้แล้วจะให้คนมารับที่สนามบิน ซึ่งถ้าเขาฉุกใจสักนิด ฉลาดอีกสักหน่อย ก็คงไม่ถูกเล่นงานจนสะบักสะบอมถึงขนาดนี้หรอก “คุณมาอย่างนี้ งานที่โน่นใครรับผิดชอบ บอกเอาไว้ก่อนนะคุณ ผมไม่นิยมชมชอบคนไม่สู้และทิ้งงานกลางคัน”“ผมเข้าใจครับ ผมส่งมอบงานให้เพื่อนดูแลเรียบร้อย ถ้าหากว่าติดขัดอะไร เราจะคุยกันผ่านการสื่อสารออนไลน์ แบบนั้นคุณคงไม่ว่านะครับ ถ้าหากต้องขอปลีกตัวไปบ้างเป็นครั้งคราว”“แล้วแต่คุณจะตัดสินใจ” โยนให้ไซม่อนเป็นคนคิดเอาเอง จะแก้สถานการณ์ซึ่งหน้ายังไง “คุณมาเหนื่อยๆ ไปห้องพักอาบน้ำสักหน่อยน่าจะดี”“ดีเหมือนกัน ขอบคุณครับ” ไซม่อนรับคำอย่างไม่รู้ความนัยน์ของคำพูดภาวัติ แต่เมื่อถึงห้องนอนที่อีกฝ่ายให้พัก เขาก็ผงะในทันที...ห้องเล็กกว่าห้องพักของพนักงานเขาเสียอีก อย่างกับรูห
ประตูยังไม่ทันปิดดี...คนที่เร่งรีบเดินตามมาติดๆ ก็รีบเอ่ยปากพูดโดยไม่สนใจเพลิงโทสะของภาวัติ “ผมรัก honey”ภาวัติตวัดสายตาไปมอง “คุณจะรักฮันน่งฮันนี่ก็รักไปสิคุณไซม่อน ไม่เห็นเกี่ยวกับผมและน้ำผึ้งเลยนี่” ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนแก้มเนียนใส “คุณป๋าเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เราเก็บข้าวของกลับบ้านเราดีกว่าลูก”“คุณป๋า...เอ่อ...” มธุรสหันรีหันขวาง ไม่รู้จะทำยังไงดี ห่วงความรู้สึกของแต่ละคนไม่น้อยกว่ากันเลยถ้าอยู่กับไซม่อนที่นี่แล้วใครจะดูแลพ่อล่ะ ท่านก็แก่แล้ว มัวแต่ทำงานจนลืมดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองอยู่บ่อยครั้ง เวลาเจ็บป่วยใครจะดูแลป้อนข้าวเช็ดตัวและบังคับให้กินยาแต่ถ้าไปกับพ่อแล้วไซม่อนล่ะ เขาจะเสียใจแค่ไหน แค่คิดว่าเธอต้องอยู่โดยไม่มีเขา หัวใจก็แทบขาดรอนแล้ว ทว่าสายตาพ่อบีบคั้นหัวใจจนเธอรู้สึกเหมือนมีหินก้อนยักษ์ถ่วงอยู่ให้หายใจไม่ออก ได้แต่นั่งนิ่งงัน ก้มลงมองมือบนตักซึ่งกระชับรัดเอาไว้แน่นเห็นใบหน้าเศร้าหม่นหมองของเมียรักแล้วเขาอึดอัดหายใจไม่ออก เห็นควรต้องทำอะไรสักอย่าง ที่จะทำให้ภาวัติเห็นถึงความรักและจริงใจที่มีให้กับมธุรส เพื่อละลายไฟเย็นพร้อมทำให้ภาวัติยอมรับในตัวเขาไซม่อ
“ฉัน...ฉัน...” พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ดีใจจนเนื้อเต้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรักษาท่าทีเอาไว้ “คุณแน่ใจแล้วหรือคะคุณไซม่อน ฉันอาจเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตคุณ พอจากกันไม่นานคุณก็ลืม”ไซม่อนทาบมือบนแก้มเนียนใสเปล่งปลั่งด้วยเลือดฝาดสาว “แน่ใจที่สุดเลยละ honey รู้อย่างหนึ่งไหม เธอหมดสิทธิ์ไปจากฉันตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันแล้วละที่รัก” ตอบกลับและยิ้มใส่ตากลมโตซึ่งเบิกกว้างอย่างตกตะลึง“หายโกรธแล้วใช่ไหม darling”“ใครว่า ฉันไม่ได้โกรธสักหน่อย” น้ำเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ผลักดันกายแข็งแกร่งและไล่จับมือซึ่งเคลื่อนไหวไปทั่วกาย ราวกับหนวดปลาหมึกจับไม่ได้ไล่ไม่ทันจนเธอเหนื่อยอ่อนแต่ระคนด้วยความสุข“ไม่ได้โกรธ งั้นก็แค่งอน” ปลายนิ้วยาวร้อนผ่าววางทาบบนกลีบปากอวบอิ่มที่ขยับจะพูด “Honey…my darling will you marry me?”หัวใจโป่งพองราวกับลูกโป่งที่ถูกอัดด้วยแก๊ส เขารักเธอ...รักและปรารถนามีเธอเคียงข้าง ทว่าใบหน้านวลผ่องหมองเศร้าลง “คุณป๋า...” กังวลใจกับคนอยู่ไกล ไม่รู้ว่าจะทนทำใจรับได้ไหม ถ้าเธอต้องอยู่กับไซม่อนที่นี่ ห่างไกลกันคนละฟากฟ้านิ้วยาวยกขึ้นทาบบนปากอิ่ม “กังวลไปก็เ
“honey” ไซม่อนร้องเรียและรีบยื่นมือไปคว้าแขนเรียวของคนที่กำลังก้าวขึ้นรถดึงกลับมาหาตัวและกอดเอาไว้“กรุณาปล่อยฉันด้วยคุณไซม่อน” ข่มกลั้นความเจ็บปวดที่เผาผลาญหัวใจ เอ่ยขับไล่คนที่ทำให้เธอเจ็บและกลายเป็นคนไร้ค่าเสียงเบาหวิว มือเรียวทาบบนแขนแกร่งดึงออกอย่างช้าๆ แต่มั่นคงเธอยอมเจ็บที่ต้องจากเขาไป แต่จะไม่ยอมกลายเป็นคนโง่ถูกหลอกด้วยคำพูด...รัก! ซึ่งเธอยังไม่รู้เลย เขารักจริงๆ หรือเปล่าหรือเพียงแค่ต้องการร่างกาย แต่เป็นเธอนี่แหละหลงรักเขาอยู่ฝ่ายเดียวและโดนหักหลังจนเจ็บแทบกระอักไม่มีเสียงโวยวายด่าทอหรือแม้แต่ทุบตี มีเพียงแค่คำพูดนุ่มๆ หวานเศร้าบาดเข้าไปในจิตของไซม่อน “ไม่...ฉันไม่ยอมปล่อย honey เด็ดขาด” เปลี่ยนจากการจับแขน เป็นสอดมือโอบรัดกายอรชร จับรั้งคนตัวเล็กให้หันมาประจันหน้าด้วย แต่เหลียวมองไปรอบๆ แล้วตอนนี้จุดซึ่งเขายืนอยู่ เป็นจุดที่เรียกความสนใจจากคนอื่นได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มย่อตัวสอดแขนใต้ข้อพับดันร่างแบบบางลอยขึ้นจากพื้น“ถ้าร้องเรียกขอความช่วยเหลือทำอะไรก็ตาม ฉันจูบโชว์คนอื่นแน่...แล้วไม่แน่ใจด้วย หยุดแค่จูบหรือเปล่า” ขู่ไว้ก่อนเมื่อเห็นมธุรสขยับริมฝีปากพูด“เห็นและได้ยินคนอ







