บ้านสองชั้นหลังนั้นตั้งตระหง่านบนที่ดินกว้างขวางหนึ่งไร่ ห่างจากสนามบินเชียงใหม่เพียงสิบกว่านาทีแต่กลับเงียบสงบเหมือนอยู่นอกเมือง ต้นก้ามปูขนาดมหึมาแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาครอบคลุมพื้นที่เกือบครึ่งสนามด้านหน้า ส่วนตัวบ้านที่เป็นสถาปัตยกรรมยุค ๘๐ ยังคงเค้าโครงเดิม แม้จะถูกรีโนเวทใหม่ให้กลายเป็นออฟฟิศแต่ก็ไม่ได้สูญเสียเสน่ห์ดั้งเดิมไป ภายในถูกปรับให้เปิดโล่งขึ้น พื้นหินขัดเย็นเท้า เฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้มแซมเหล็กดำให้ความรู้สึกโมเดิร์นแต่ไม่แข็งกระด้าง บันไดปูนที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของบ้านยุคเก่า ตอนนี้ถูกเสริมด้วยราวบันไดเหล็กเส้นบาง ดูร่วมสมัยแต่ก็ไม่ทิ้งโครงสร้างเส้นสายเดิม
บ้านหลังนี้เคยเป็นของตากับยายของธีทัต เมื่อท่านทั้งสองจากไป แม่ของเขาก็ให้คนมาทำความสะอาดและจ้างแม่บ้านมาดูแลรายเดือน จนเมื่อสามปีก่อนที่ชายหนุ่มกับเพื่อนสนิทอีกสองคนลงขันกันเปิดบริษัท ทรีทีพรอเจคต์แอนด์ดีไซน์ แม่ของธีทัตจึงเสนอให้ลูกชาย ‘เช่า’ บ้านหลังนี้เพื่อทำเป็นสำนักงาน แน่นอนว่าความสวยงามแบบคลาสสิกและโครงสร้างที่ยังแข็งแรงหาได้ยากทำให้สามหนุ่มรุ่นลูก หนึ่งวิศวกร สองสถาปนิก ตอบตกลงทันทีและรีโนเวทจนที่นี่เป็นหนึ่งในโฮมออฟฟิศที่สวยเก๋มีสไตล์ที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่
ชั้นสองของตัวบ้านเป็นพื้นที่สำหรับอยู่อาศัย แต่ธีทัตไม่ได้พักที่นี่ เขายกให้เป็นที่พักเหล่าวิศวกรกับสถาปนิก ผู้เป็นทั้งลูกน้องและรุ่นน้องจากสถาบันเดียวกัน ส่วนตัวชายหนุ่มเองนั้นยังคงอาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกับพ่อแม่ที่อยู่ในโซนอำเภอหางดง
วันนี้ธีทัตเข้าออฟฟิศตามปกติ หนึ่งปีมานี้เขาแทบไม่ได้ลงไปตรวจสอบงานก่อสร้างด้วยตัวเองเพราะหน้าที่หุ้นส่วนใหญ่ทำให้เขาต้องดูแลเรื่องลูกค้าและการปิดดีลสำคัญต่าง ๆ มากกว่าจะได้ลงภาคสนาม แต่ธีทัตก็ไม่มีอะไรให้กังวลใจเพราะรุ่นน้องวิศวกรโยธาจากสถาบันเดียวกันที่เขาชักชวนมาทำงานด้วยนั้นถือว่าเป็นคนเก่ง รอบคอบและไว้วางใจได้
ชายหนุ่มกำลังตรวจสอบแฟ้มเอกสารเบิกจ่ายอยู่ที่โต๊ะทำงานที่อยู่ด้านในสุด ตอนที่รุ่นน้องเดินมาบอกว่ามีคนมาขอพบและแขกผู้หญิงคนนั้นยืนยันจะขอนั่งรอที่ชิงช้าใต้ต้นก้ามปู
เมื่อธีทัตออกมา เขาก็ทั้งแปลกใจและดีใจ
“น้องมะนาว!”
ร่างสูง ๆ ก้าวตรงดิ่งมาหาหญิงสาวที่ยืนกอดอกรอเขาอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ก้ามปูต้นนี้อาจจะอยู่มานานกว่าอายุของบ้านหลังนี้ด้วยซ้ำ ธีทัตให้ช่างผูกชิงช้าไว้ นั่งเล่นได้จริงและยังเป็นมุมถ่ายรูปที่ลูกค้าชอบเช็คอินบ่อย ๆ
“มะนาวมาหาพี่หรือครับ”
หญิงสาวพยักหน้าแทนคำตอบ แต่ชายหนุ่มไม่ถือสากับกิริยาแบบนั้น เขายังคงยิ้มอารมณ์ดี หลายครั้งที่ธีทัตไปที่บ้านของ สริดา ทั้งหญิงสาวเจ้าของบ้านและเหล่าคนงานต่างทักทายเขาอย่างเป็นมิตร ยกเว้นก็เพียง ‘มะนาว’ เปรี้ยวจี๊ดลูกนี้ที่ไม่เคยปิดบังว่าเธอต้อนรับเขาน้อยแค่ไหน การที่จู่ ๆ สาวน้อยเป็นฝ่ายมาปรากฏตัวถึงถิ่นของเขาจึงทำให้ชายหนุ่มประหลาดใจเป็นธรรมดา
“แล้วน้องมะนาวมีธุระอะไรอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ต้องเรียกฉันว่าน้องก็ได้ ฉันก็จะไม่เรียกคุณว่าพี่เหมือนกัน เพราะว่าเราสองคนไม่ได้เป็นญาติกัน”
นอกจากไม่มีคำทักทาย หญิงสาวตัวเล็กแต่ตาโตยังเชิดหน้าตอบด้วยน้ำเสียงแบบมะนาวแล้งน้ำ ถ้าเป็นคนอื่นคงหน้าม้านหรือไม่ก็เคืองกันไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับธีทัต วิศวกรหนุ่มหน้าหล่อยังคงยิ้มออก หนำซ้ำแววตาของเขาเหมือนจะขบขันมากเสียด้วย
“ถึงตอนนี้พี่กับมะนาวจะยังไม่ได้เป็นญาติกัน แต่อนาคตมันก็ยังไม่แน่ใช่ไหมล่ะ”
มนิษารู้ว่าเขาหมายถึงอะไร หญิงสาวหน้าบึ้งถลึงตาโตกว่าเดิม
“ที่มาก็เพราะเรื่องนี้แหละ เรื่องที่คุณกำลังจะหมั้นกับพี่ส้มหวาน”
“เอ...พี่ว่ายังไม่ได้กำหนดวันหมั้นอะไรเลยนะ หรือว่ามะนาวมาเพราะอยากเร่งให้พี่หาฤกษ์หมั้นกับส้มหวานเร็ว ๆ ได้สิพี่ยินดีมาก สักเดือนหน้าเลยก็ยังได้ พี่ไม่ซีเรียสเรื่องฤกษ์ยามอะไรอยู่แล้ว”
“อย่ามากวนนะ แล้วก็ฝันไปเถอะว่าจะมีใครยอมให้พี่ส้มหมั้นกับคนที่ทำอะไรแบบนี้”
มนิษาบอกพลางกดโทรศัพท์ที่เปิด ‘คลิป’ รอเอาไว้แล้ว เมื่อยื่นให้ธีทัตดู ชายหนุ่มสีหน้าตื่นเต้น
“อ้าว นี่ที่พี่ไปเที่ยวเมื่อคืนก่อนนี่ มืดขนาดนั้นแต่วิดีโอยังชัดแจ๋วเลยนะ ใช้ยี่ห้ออะไรน่ะเผื่อพี่หาซื้อมาใช้บ้าง”
“โอ๊ย! คุณนี่ ฉันไม่ได้จะมาขายโทรศัพท์ แต่จะมาถามว่าผู้หญิงในคลิปนี่เป็นใคร”
“อ้อ...สงสัยเรื่องนี้เองเหรอ”
ธีทัตก้มมองคนที่ตัวเล็กกว่า ดวงตาสีดำเข้มวิบวับขบขัน มนิษากระแอม
“ไม่ใช่ว่าชอบเผือกเรื่องของใครหรอกนะ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะคุณกำลังจะมาเป็นพี่เขยของฉัน สาบานได้ว่าจะไม่ยุ่งไม่สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว”
“แต่พี่ให้ยุ่งได้นะ ถามก็ได้ มะนาวก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล เป็นหลานของน้าองุ่น...” แม่ของธีทัตสอนให้เขาเรียกองุ่นว่าน้ามาตั้งแต่เด็ก เขาจึงติดปากเรียกมาแบบนั้น...(อ่านต่อตอนที่ 3)
หญิงสาวขมวดคิ้ว เมื่อจอดรถไว้หน้ารั้วบ้านก็ต้องทำใจอยู่สักพักกว่าจะยอมลงจากรถศรัณส่งยิ้มอบอุ่นหล่อเหลามาให้ มือประคองช่อกุหลาบช่อใหญ่ไว้ด้วย เธอจ้องดอกกุหลาบสีแดงดอกใหญ่หลายดอกที่ถูกจัดอย่างประณีต ไม่ใช่เพราะประทับใจแต่เพราะไม่อยากจะมองหน้าเจ้าของช่อดอกไม้ตรง ๆ“น้องส้ม...พี่คิดถึงส้มจังเลยครับ”ศรัณเอ่ยเสียงนุ่มพลางยื่นช่อกุหลาบให้หญิงสาวที่เขาตั้งใจมาหา แต่หนนี้สริดาไม่แม้แต่จะรักษาน้ำใจด้วยการรับไว้“คราวก่อนส้มพูดชัดแล้วนะคะว่าไม่อยากให้พี่โซ่กลับมาที่นี่อีก”“พี่รู้ แต่พี่คิดถึงส้มมากเกินไป หลายวันมานี้พี่แทบไม่มีสมาธิทำงานเลยนะครับ...ในหัวพี่คิดถึงแต่เรื่องของส้มตลอดเวลา ว่าต้องทำยังไงส้มถึงจะเชื่อว่าพี่รักแล้วก็จริงจังกับส้มจริง ๆ”สริดาถอนหายใจ เหลือจะเชื่อจริง ๆ ผู้ชายคนนี้“กลับไปเถอะค่ะ อย่าให้ส้มต้องไล่ซ้ำซากเลย ส้มเหนื่อย...”“พี่จะกลับแต่อยากให้ส้มรู้ว่าเมียพี่...ภรรยาตามกฎหมายคนนั้น เขายินดีหย่าให้พี่แล้ว อย่างที่บอกว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันฉันท์ผัวเมียมานานหลายปีแล้ว ที่ทนอยู่ก็เพราะลูก แต่ตอนนี้เขายอมรับแล้วว่าเขาก็ไม่อยากแกล้งพี่อีกต่อไป เขาจะหย่าให้ครับ”“ถ้าอย่างนั้น
วันพระใหญ่ สริดากับองุ่นออกไปทำบุญที่วัดตั้งแต่ตอนกลางวัน คนเป็นป้ายังคงรู้สึกผิด แม้หลานสาวบอกให้ลืมมันไปได้แล้วก็ตาม“กรวดน้ำไปเยอะ ๆ เลยนะลูก พวกเจ้ากรรมนายเวรมันจะได้ไม่มารังควานเราอีก”องุ่นบอกหลานสาว สริดาอดยิ้มขันไม่ได้โดยเฉพาะเมื่อตอนที่ป้าขอน้ำมนตร์จากหลวงพ่อ เพื่อจะมาผสมน้ำอาบ ไล่เสนียดจัญไรออกจากชีวิต“นายคนนั้นมันติดต่อเรามาอีกไหมส้มหวาน”หลังจากไม่ได้เอ่ยชื่อศรัณมานาน องุ่นก็เลียบเคียงถามจนได้ สริดาอยากปิดเรื่องที่เขาแวะมาที่บ้านหลายวันก่อนแต่ก็ตัดสินใจบอกความจริงไป“เวรกรรม ยังกล้ามาอีกหรือนี่ มันมาเซ้าซี้ตอแยอะไรอีกได้ แล้วได้แจ้งตำรวจหรือเปล่าลูก”“เขายังไม่ได้ทำอะไรหรอกค่ะป้าหงุ่น ไม่ต้องห่วงนะคะ”สริดารีบบอก“ป้าหงุ่นอย่าเพิ่งบอกน้องนะคะ แค่เลี้ยงทิวลิป มะนาวก็น่าจะวุ่นพออยู่แล้ว”“อืม ป้าไม่บอกหรอก แต่ส้มก็อย่าประมาทนะลูก บอกคนงานให้เฝ้าบ้านกันดี ๆ แล้วถ้ามันกลับมาอีกก็โทรแจ้งตำรวจข้อหาบุกรุกไปเลย”“ค่ะป้าหงุ่น”สริดารับคำเพื่อให้ผู้อาวุโสสบายใจ เอาไว้ถ้าศรัณยังไม่ยอมเลิกราจริง ๆ ตอนนั้นเธอค่อยใช้ไม้แข็งกับเขาอย่างที่ป้าบอกก็แล้วกัน**“เมื่อไรจะหายเห่อลูกสักที ใจคอ
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่วิศวินต้องกลับออสเตรเลีย จากสนามบินเชียงใหม่ชายหนุ่มต้องไปต่อเครื่องที่สุวรรณภูมิ เขาไม่ได้ให้ใครมาส่งนอกจากลูกพี่ลูกน้อง“แล้วจะกลับมาอีกเมื่อไร”ธีทัตถาม วิศวินหัวเราะ“ฉันยังอยู่ไม่จุใจนายอีกเหรอ นี่ก็อยู่จนแม่นึกว่าฉันจะกลับมาอยู่เชียงใหม่แล้วนะ”“ก็ถาม ๆ ดู เผื่อว่าหนนี้มีอะไรจูงใจให้นายกลับมา”ธีทัตเอ่ยทีเล่นทีจริง“ตกลงแกกับส้มหวานนี่มันยังไงวะ”“ก็ไม่ไงนี่”วิศวินทำเป็นง่วนกับการตรวจเช็คความเรียบร้อยของกระเป๋าและตั๋วโดยสาร“ส้มหวานก็น่ารักดี คุยด้วยแล้วสบายใจ... น่าเห็นใจเขาที่เจอผู้ชายที่ไม่ดี”“ก็เพราะผู้ชายดี ๆ มันไม่กล้าจีบน่ะสิ ไอ้พวกไม่ดีเลยเอาไปกินเสียหมด”“มันก็ต้องมีคนดี ๆ หลงเหลือบ้างล่ะน่า... คนที่ใช้ชีวิตอยู่ใกล้กับเขาได้ ดูแลเขาได้...”วิศวินเอ่ยเบา ๆ เหมือนตั้งใจจะพูดกับตัวเองถ้าเป็นเมื่อก่อนธีทัตอาจจะยุให้ลูกพี่ลูกน้องเดินหน้าสานสัมพันธ์กับสริดาให้รู้แล้วรู้รอดและเขาจะช่วยเป็นพ่อสื่อให้ด้วยอีกแรง แต่หลังจากผ่านเรื่องอะไรต่อมิอะไรมาทั้งร้ายและดี ชายหนุ่มพ่อลูกอ่อนจึงคิดว่าปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติโดยตัวเขาเองไม่ต้องเข้าไปยุ่งจะดีกว่า
ระหว่างรอธีทัตซื้ออาหารอีสานมาสมทบ สริดาเข้าครัวเพื่อทำอาหารเพิ่มอีกสองสามเมนูเพราะป้าองุ่นก็จะมาร่วมโต๊ะด้วยเช่นกัน“มะนาวไปนั่งดูทีวีรอพี่ข้างนอกไป จะมานั่งทำไมในครัว”เธอบอกน้องสาว มนิษาบ่นอุบอิบแต่ก็ยอมหยิบข้าวต้มมัดที่นึ่งสุกแล้วใส่จานเดินออกจากครัว ปล่อยให้พี่สาวกับนิดหน่อยช่วยกันล้างผักหั่นผักกันไป นาทีต่อมาวิศวินก็เดินพับแขนเสื้อเข้ามา“พี่วิน จะรับอะไรหรือคะ”“เปล่าครับ พี่จะมาช่วยเป็นลูกมือน่ะ”“ขอบคุณนะคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ส้มกับนิดหน่อยทำสองคนก็ไหว พี่วินไปนั่งคุยกับมะนาวเถอะค่ะ”“มะนาวก็ไล่พี่มาช่วยส้มเหมือนกัน” วิศวินอ้างส่งเดช “ให้พี่ช่วยเถอะครับ พี่ทำครัวเป็นนะ”“จริงหรือคะ”เป็นนิดหน่อยที่ถาม ชายหนุ่มพยักหน้ายืนยันพลางเดินไปหยิบมีดทำครัวขึ้นมาหนึ่งเล่ม“ให้พี่หั่นผักให้ดูไหมล่ะ เดี๋ยวจะหาว่าโม้”สริดาเกรงใจแต่ก็ยอมหลีกทางให้ และฝีมือหั่นผักด้วยความเร็วและเนี้ยบระดับพ่อครัวมืออาชีพก็ทำให้สองสาวอ้าปากค้าง“โอ้โห...อย่างกับที่เขาแข่งทำอาหารในโทรทัศน์แน่ะพี่ส้ม”นิดหน่อยร้องอย่างตื่นเต้น วิศวินหัวเราะเบา ๆ“ตอนพี่จบไฮสกูล...หมายถึงม.ปลายน่ะ พี่ไปเรียนเป็นเชฟอยู่เกือบสามปีเ
ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากศรัณกลับไปกับครอบครัวของเขาในวันนั้นแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างเพราะเขาเองก็ไม่กล้าโผล่กลับมาให้เห็นหน้าอีก ทำเพียงส่งข้อความมาขอโทษสริดาและบอกว่าจะกลับมาอธิบายทุกอย่างทีหลัง“ส้มหวานเป็นไงบ้างวะไอ้ธี”วิศวินถามธีทัตหลังผ่านงานหมั้นไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ เพราะตั้งแต่วันนั้นเขาก็ยังไม่ได้เจอสริดาเลย ครั้นจะไปหาเธอที่บ้านหรือส่งข้อความไปก็ไม่แน่ใจว่าจะยิ่งทำให้เธอไม่สบายใจหรือเปล่า“เห็นมะนาวบอกว่าก็ยังสบายดีนะ อาจมีโกรธบ้างแต่รวม ๆ ก็เหมือนทำใจได้”“แปลก แล้วจะเอายังไงต่อกับผู้ชายคนนั้น ครอบครัวเขา เมียเขา จะมาเอาเรื่องอะไรอีกไหม”วิศวินยังถามต่อด้วยความเป็นห่วง ธีทัตส่ายหน้า“เท่าที่รู้ ทางนั้นไม่ได้ติดต่ออะไรมาอีก คงไม่อยากยุ่งกับเราเหมือนกัน มีแต่เมียฉันนี่ล่ะที่ร่ำ ๆ จะไปเอาเรื่องนายศรัณให้ได้ นี่ฉันขอไว้ว่าอย่าเพิ่งต่อความยาวสาวความยืด ไม่อย่างนั้นป่านนี้มะนาวตัวดีบุกศาลากลางแล้ว แม่เจ้าประคุณกะจะไปบู๊ทั้ง ๆ ที่ท้องโย้อยู่นั่นแหละ”ธีทัตหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน แต่ก็พอเข้าใจว่าถ้าผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนมาเจอสถานการณ์แบบนี้ก็คงจะขำไม่ออก นึกแล้วก็โชคดีจริง ๆ ที่น้อง
“ส้มครับ...ไม่ว่าใครจะพูดอะไร พี่อยากให้ส้มเชื่อใจพี่นะครับ”“ส้มไม่เข้าใจค่ะ”“พี่รักส้มนะ รักจริง ๆ แล้วพี่จะอธิบายทุกอย่างให้ฟังทีหลัง”“อธิบายเรื่องอะไรคะ พี่โซ่พูดให้ชัด ๆ ได้ไหม ส้มงงไปหมดแล้ว”แต่ศรัณไม่มีเวลาอธิบายเพราะหฤทัยจูงมือพี่สะใภ้ก้าวอาด ๆ มาหา ชายหนุ่มหน้าซีดเป็นกระดาษ อุรัศยามองสามีที่สวมใส่ชุดไทยประยุกต์หล่อเหลาจัดเต็มแถมยังยืนเคียงข้างหญิงสาวอีกคนแต่งตัวโทนเดียวกัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าสถานะของสองคนนี้คืออะไร...สริดาผงะไปเล็กน้อยเมื่อหญิงสาวที่เธอยังไม่รู้จักจู่ ๆ ก็สะอื้นเสียงดัง น้ำตาร่วงพรู มารดาของศรัณโอบกอดหญิงสาวคนนั้นไว้ ส่วนผู้หญิงอีกคนที่ดูอ่อนวัยที่สุด กำลังจ้องเธออย่างรังเกียจ“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ”“ที่ถามนี่ไม่รู้จริง ๆ เหรอ...”“ซ่า เดี๋ยวพี่พูดเอง”ศรัณพยายามปรามน้องสาว แต่ถึงตอนนี้แม้แต่ช้างก็ฉุดหฤทัยไม่อยู่แล้ว“จะพูดอะไร จะบอกเมียน้อยพี่หรือไงว่าที่กำลังร้องไห้อยู่นี่คือเมียตัวจริง เมียหลวง!”มีเสียงอุทานและฮือฮารอบข้างดังขึ้นเบา ๆ สีเลือดเผือดหายไปจากใบหน้าของสริดาทันที“ส้ม ฟังพี่ก่อนนะครับ...”เป็นอีกครั้งที่ศรัณยังไม่มีโอกาสได้แก้ตัว เพราะมนิษาท