บ้านสองชั้นหลังนั้นตั้งตระหง่านบนที่ดินกว้างขวางหนึ่งไร่ ห่างจากสนามบินเชียงใหม่เพียงสิบกว่านาทีแต่กลับเงียบสงบเหมือนอยู่นอกเมือง ต้นก้ามปูขนาดมหึมาแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาครอบคลุมพื้นที่เกือบครึ่งสนามด้านหน้า ส่วนตัวบ้านที่เป็นสถาปัตยกรรมยุค ๘๐ ยังคงเค้าโครงเดิม แม้จะถูกรีโนเวทใหม่ให้กลายเป็นออฟฟิศแต่ก็ไม่ได้สูญเสียเสน่ห์ดั้งเดิมไป ภายในถูกปรับให้เปิดโล่งขึ้น พื้นหินขัดเย็นเท้า เฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้มแซมเหล็กดำให้ความรู้สึกโมเดิร์นแต่ไม่แข็งกระด้าง บันไดปูนที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของบ้านยุคเก่า ตอนนี้ถูกเสริมด้วยราวบันไดเหล็กเส้นบาง ดูร่วมสมัยแต่ก็ไม่ทิ้งโครงสร้างเส้นสายเดิม
บ้านหลังนี้เคยเป็นของตากับยายของธีทัต เมื่อท่านทั้งสองจากไป แม่ของเขาก็ให้คนมาทำความสะอาดและจ้างแม่บ้านมาดูแลรายเดือน จนเมื่อสามปีก่อนที่ชายหนุ่มกับเพื่อนสนิทอีกสองคนลงขันกันเปิดบริษัท ทรีทีพรอเจคต์แอนด์ดีไซน์ แม่ของธีทัตจึงเสนอให้ลูกชาย ‘เช่า’ บ้านหลังนี้เพื่อทำเป็นสำนักงาน แน่นอนว่าความสวยงามแบบคลาสสิกและโครงสร้างที่ยังแข็งแรงหาได้ยากทำให้สามหนุ่มรุ่นลูก หนึ่งวิศวกร สองสถาปนิก ตอบตกลงทันทีและรีโนเวทจนที่นี่เป็นหนึ่งในโฮมออฟฟิศที่สวยเก๋มีสไตล์ที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่
ชั้นสองของตัวบ้านเป็นพื้นที่สำหรับอยู่อาศัย แต่ธีทัตไม่ได้พักที่นี่ เขายกให้เป็นที่พักเหล่าวิศวกรกับสถาปนิก ผู้เป็นทั้งลูกน้องและรุ่นน้องจากสถาบันเดียวกัน ส่วนตัวชายหนุ่มเองนั้นยังคงอาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกับพ่อแม่ที่อยู่ในโซนอำเภอหางดง
วันนี้ธีทัตเข้าออฟฟิศตามปกติ หนึ่งปีมานี้เขาแทบไม่ได้ลงไปตรวจสอบงานก่อสร้างด้วยตัวเองเพราะหน้าที่หุ้นส่วนใหญ่ทำให้เขาต้องดูแลเรื่องลูกค้าและการปิดดีลสำคัญต่าง ๆ มากกว่าจะได้ลงภาคสนาม แต่ธีทัตก็ไม่มีอะไรให้กังวลใจเพราะรุ่นน้องวิศวกรโยธาจากสถาบันเดียวกันที่เขาชักชวนมาทำงานด้วยนั้นถือว่าเป็นคนเก่ง รอบคอบและไว้วางใจได้
ชายหนุ่มกำลังตรวจสอบแฟ้มเอกสารเบิกจ่ายอยู่ที่โต๊ะทำงานที่อยู่ด้านในสุด ตอนที่รุ่นน้องเดินมาบอกว่ามีคนมาขอพบและแขกผู้หญิงคนนั้นยืนยันจะขอนั่งรอที่ชิงช้าใต้ต้นก้ามปู
เมื่อธีทัตออกมา เขาก็ทั้งแปลกใจและดีใจ
“น้องมะนาว!”
ร่างสูง ๆ ก้าวตรงดิ่งมาหาหญิงสาวที่ยืนกอดอกรอเขาอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ก้ามปูต้นนี้อาจจะอยู่มานานกว่าอายุของบ้านหลังนี้ด้วยซ้ำ ธีทัตให้ช่างผูกชิงช้าไว้ นั่งเล่นได้จริงและยังเป็นมุมถ่ายรูปที่ลูกค้าชอบเช็คอินบ่อย ๆ
“มะนาวมาหาพี่หรือครับ”
หญิงสาวพยักหน้าแทนคำตอบ แต่ชายหนุ่มไม่ถือสากับกิริยาแบบนั้น เขายังคงยิ้มอารมณ์ดี หลายครั้งที่ธีทัตไปที่บ้านของ สริดา ทั้งหญิงสาวเจ้าของบ้านและเหล่าคนงานต่างทักทายเขาอย่างเป็นมิตร ยกเว้นก็เพียง ‘มะนาว’ เปรี้ยวจี๊ดลูกนี้ที่ไม่เคยปิดบังว่าเธอต้อนรับเขาน้อยแค่ไหน การที่จู่ ๆ สาวน้อยเป็นฝ่ายมาปรากฏตัวถึงถิ่นของเขาจึงทำให้ชายหนุ่มประหลาดใจเป็นธรรมดา
“แล้วน้องมะนาวมีธุระอะไรอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ต้องเรียกฉันว่าน้องก็ได้ ฉันก็จะไม่เรียกคุณว่าพี่เหมือนกัน เพราะว่าเราสองคนไม่ได้เป็นญาติกัน”
นอกจากไม่มีคำทักทาย หญิงสาวตัวเล็กแต่ตาโตยังเชิดหน้าตอบด้วยน้ำเสียงแบบมะนาวแล้งน้ำ ถ้าเป็นคนอื่นคงหน้าม้านหรือไม่ก็เคืองกันไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับธีทัต วิศวกรหนุ่มหน้าหล่อยังคงยิ้มออก หนำซ้ำแววตาของเขาเหมือนจะขบขันมากเสียด้วย
“ถึงตอนนี้พี่กับมะนาวจะยังไม่ได้เป็นญาติกัน แต่อนาคตมันก็ยังไม่แน่ใช่ไหมล่ะ”
มนิษารู้ว่าเขาหมายถึงอะไร หญิงสาวหน้าบึ้งถลึงตาโตกว่าเดิม
“ที่มาก็เพราะเรื่องนี้แหละ เรื่องที่คุณกำลังจะหมั้นกับพี่ส้มหวาน”
“เอ...พี่ว่ายังไม่ได้กำหนดวันหมั้นอะไรเลยนะ หรือว่ามะนาวมาเพราะอยากเร่งให้พี่หาฤกษ์หมั้นกับส้มหวานเร็ว ๆ ได้สิพี่ยินดีมาก สักเดือนหน้าเลยก็ยังได้ พี่ไม่ซีเรียสเรื่องฤกษ์ยามอะไรอยู่แล้ว”
“อย่ามากวนนะ แล้วก็ฝันไปเถอะว่าจะมีใครยอมให้พี่ส้มหมั้นกับคนที่ทำอะไรแบบนี้”
มนิษาบอกพลางกดโทรศัพท์ที่เปิด ‘คลิป’ รอเอาไว้แล้ว เมื่อยื่นให้ธีทัตดู ชายหนุ่มสีหน้าตื่นเต้น
“อ้าว นี่ที่พี่ไปเที่ยวเมื่อคืนก่อนนี่ มืดขนาดนั้นแต่วิดีโอยังชัดแจ๋วเลยนะ ใช้ยี่ห้ออะไรน่ะเผื่อพี่หาซื้อมาใช้บ้าง”
“โอ๊ย! คุณนี่ ฉันไม่ได้จะมาขายโทรศัพท์ แต่จะมาถามว่าผู้หญิงในคลิปนี่เป็นใคร”
“อ้อ...สงสัยเรื่องนี้เองเหรอ”
ธีทัตก้มมองคนที่ตัวเล็กกว่า ดวงตาสีดำเข้มวิบวับขบขัน มนิษากระแอม
“ไม่ใช่ว่าชอบเผือกเรื่องของใครหรอกนะ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะคุณกำลังจะมาเป็นพี่เขยของฉัน สาบานได้ว่าจะไม่ยุ่งไม่สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว”
“แต่พี่ให้ยุ่งได้นะ ถามก็ได้ มะนาวก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล เป็นหลานของน้าองุ่น...” แม่ของธีทัตสอนให้เขาเรียกองุ่นว่าน้ามาตั้งแต่เด็ก เขาจึงติดปากเรียกมาแบบนั้น...(อ่านต่อตอนที่ 3)
ภูมิวัตน์ส่งต่อบ้านให้เพื่อนอย่างเรียบร้อยก่อนตัวเองจะย้ายไปอเมริกา ธีทัตจึงได้เวลาขนของย้ายเข้าไปอยู่อย่างเป็นทางการ และเริ่มตกแต่งทั้งข้างนอกและข้างในให้เข้ากับรสนิยมตัวเองธิดาแม้ไม่อยากให้ลูกชายแยกบ้านแต่ก็ต้องยอมรับว่าบ้านและที่ดินหลังนี้สวยงามคุ้มค่าน่าอยู่"ภูมิเพื่อนลูกเขาดูแลบ้านดีมากเลยนะ ไม่มีเสียหายตรงไหนเลย แล้วลูกจะขึ้นบ้านใหม่เมื่อไรล่ะธี”คนเป็นแม่ถามระหว่างเดินสำรวจบ้าน"ใหม่ที่ไหนแม่ ซื้อต่อจากไอ้ภูมิก็ไม่ใหม่แล้วสิ""ก็ใหม่ของเรา จะเก่าของใครก็ช่างสิ”ธิดาพูดพลางเงยหน้ามองไปรอบ ๆ ตัวบ้าน ฝ้าเพดานในห้องรับแขกที่สูงไปถึงชั้นสองทำให้ตัวบ้านดูโปร่งโล่ง"ถึงธีจะไม่ได้นอนที่นี่ทุกวัน แต่ยังไงมันก็เป็นบ้านของเราแล้ว ทำบุญเลี้ยงพระสักทีก็น่าจะดีนะลูก ถ้าไม่อยากจัดอะไรให้ยุ่งยาก แค่นิมนต์พระมาสัก ๙ รูป ๑๒ รูปก็ได้""ทำอย่างที่แม่เขาบอก พ่อว่าก็ดีนะ"คงเดชออกความเห็นบ้าง"ก็ได้ครับ ผมยังไงก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเอาไว้ผมเช็คตารางงานก่อน แล้วได้วันไหนจะบอกแม่อีกที"ธิดาคิดว่าอาจต้องรออีกหลายวั
“อ้าว...นั่นคุณธีมานี่คะ”ดอกรักที่กำลังจัดเรียงถุงต้นกล้าให้เข้าที่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าใครที่อยู่หน้าร้าน มีแค่สองคนที่ยังเรียกธีทัตว่าคุณ ก็คือพี่ดอกรักกับน้าน้อย เพราะทั้งคู่มีอายุมากกว่าธีทัตหลายปี ส่วนมนิษานั้นไม่นับ หญิงสาวนึกอยากจะใช้สรรพนามเรียกขานชายหนุ่มว่าอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ในขณะนั้นและตอนนี้มนิษาก็ใจหายวาบเมื่อได้ยินชื่อที่ไม่ได้ยินมาหลายวัน ก่อนจะค่อย ๆ หันไปหาเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตรงข้ามกับใบหน้าคมคุ้นตามที่เดินยิ้มแฉ่งตรงมาหาพร้อมถุงของฝากเต็มสองมือ“สวัสดีครับพี่ดอกรัก”“สวัสดีค่ะคุณธี หายไปไหนตั้งนานคะ ไม่เห็นหน้าเลย”“เพิ่งกลับจากกรุงเทพฯ ครับ...ไปทำงานมา”ประโยคหลังเขาตั้งใจเอ่ยกับเจ้าของร้านต้นไม้“อ้าว... น้องมะนาวก็อยู่ด้วยหรือนี่ พี่ไม่ทันเห็น สวัสดีจ้ะ”มนิษาแยกเขี้ยวใส่ รู้ว่าเขาแกล้ง“ผมซื้อของมาฝากครับพี่ดอกรัก” ดอกรักรีบถอดถุงมือออกก่อนเอื้อมมือไปรับถุงของฝากจากชายหนุ่ม ธีทัตซื้อมาฝากครบทุกคนเหมือนเช่นเคย แต่ถุงสุ
เสียงฝีเท้าหลายคู่พร้อมกับเสียงพูดคุยครึกครื้นที่หน้าร้าน ทำให้มนิษาที่กำลังทอนเงินให้ลูกค้า หันขวับไปหาทันทีโดยอัตโนมัติ แต่ในบรรดาลูกค้ากลุ่มใหญ่นั้น กลับไม่มีใบหน้าที่เธอคุ้นเคยและเผลอคาดหวังว่าจะได้เห็น... พี่ดอกรักกับน้าน้อย รีบเข้าไปบริการลูกค้ากลุ่มใหม่ดังกล่าว คนงานทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของร้านต้นไม้แห่งนี้มาตั้งแต่มนิษายังเป็นเพียงเด็กมัธยมฯ เธอไว้ใจพวกเขาได้เท่ากับที่ไว้ใจครอบครัวของตัวเอง หญิงสาวจึงไม่เข้าไปวุ่นวายและเลิกจะเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านเงียบ ๆ ด้วยอาการเงื่องหงอย"วันนี้ทำอะไรน่ะพี่ส้ม" มะนาวถามเนือย ๆ เมื่อโผล่หน้าเข้าไปในครัวและเดินตรงไปที่ตู้เย็น หยิบขวดน้ำมารินใส่แก้วให้ตัวเอง "ขนมกรวยจ้ะ" "ทำคนเดียวเหรอ ไม่ให้นิดหน่อยมาช่วยล่ะ" "ทำคนเดียวได้ ทำง่ายแล้ววันนี้พี่ก็ทำไม่เยอะจ้ะ" คนเป็นพี่สาวตอบ กำลังหยอดแป้งลงในกรวยใบตองที่ม้วนเตรียมไว้แล้ว ตัวแป้งเนื้อขนมทำไม่ยาก ใช้แป้งข้าวเจ้าผสมกับแป้งถั่วเขียวอีกนิดหน่อย เติมกะทิ น้ำตาลปี๊บ เหยาะเกลือเล็กน้อยอย่าเผลอหลุดมือใส่ลงไปเยอะ แล้วก็กวนให้เป็นเนื้อเดียวกัน
“เมื่อไรมึงจะยอมไปนอนบ้านกูสักที มากี่หนก็จะนอนแต่โรงแรม” ทยากรเอ่ยกับธีทัตที่เพิ่งมาถึงกรุงเทพฯ เขาขับรถมารับเพื่อนสนิทและหุ้นส่วนที่สนามบิน ชวนแวะกินข้าวร้านประจำก่อนจะไปส่งโรงแรม“กูชอบอาหารเช้าโรงแรม มึงทำไม่อร่อยไงไอ้ทอยกูเลยไม่อยากไปนอนด้วย”ธีทัตแกล้งตอบ ทยากรหัวเราะหึ ๆ รู้ว่าเพื่อนเกรงใจเพราะตอนนี้แฟนสาวของเขาย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน ถ้าทยากรอยู่คนเดียวตามประสาหนุ่มโสดแบบเมื่อก่อน ธีทัตก็คงจะไม่ปฏิเสธทยากรคือหุ้นส่วนหนึ่งในสามคนของ ‘ทรีทีพรอเจคต์แอนด์ดีไซน์’ เมื่อสถาปนิกหนุ่มเรียนจบปริญญาตรีที่เชียงใหม่ เขาลงขันเปิดบริษัทกับธีทัตและเพื่อนรักอีกหนึ่งคนที่เรียนสถาปัตย์เหมือนกัน โดยมีธีทัตเป็นหุ้นส่วนใหญ่ที่สุดคือถือหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ทยากรกับเพื่อนอีกคนคนละยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ แบ่งหน้าที่กันไปตามความถนัดแม้สำนักงานหลักจะอยู่ที่เชียงใหม่ แต่ตัวทยากรเองก็มารับงานที่กรุงเทพฯ ที่เป็นบ้านเกิดของเขา วันนี้ที่ธีทัตเดินทางมาก็เพื่อจะมาช่วยประเมินโครงสร้างอาคารของโปรเจกต์ใหม่ที่บริษัทเพิ่งเซ็นสัญญารีโนเวต
วันนี้ป้าองุ่นขับโฟล์กสวาเก้นรุ่นปี ๑๙๖๗ หรือ 'รถเต่า' สีน้ำเงินของตัวเองมากินข้าวเที่ยงกับหลานสาวอีกเช่นเคย นอกจากจิ๊นหมูนึ่ง[1] ผักนึ่ง ตำบะหนุน[2] น้ำพริกข่า[3] กับข้าวนึ่ง(ข้าวเหนียว) สริดาก็ยังเตรียมมะยงชิดลอยแก้วใส่กล่องไว้ให้เรียบร้อยเพราะรู้ว่าป้าจะต้องไปเที่ยวหาป้าธิดาเพื่อนสนิท หญิงสาวจึงทำเผื่อไปฝากบ้านนั้นอีกกล่องใหญ่ ๆ“เมื่อวานพี่ธีซื้อมาฝากเยอะแยะเลยค่ะ ส้มเลยแบ่งทำมะยงชิดโซดาให้คนงานกินแก้เหนื่อย แล้วก็แบ่งทำลอยแก้วให้ป้าหงุ่นกับป้าธิดาด้วย”“ขอบใจนะส้ม นี่ป้าไม่ได้กินมานานแล้วนะนี่”“มะยงชิดลอยแก้วทำง่ายค่ะป้าหงุ่น ถ้าวันไหนป้าอยากกินอีกบอกส้มก็ได้นะคะ แค่ปอกเปลือกคว้านเมล็ด แล้วก็ทำน้ำเชื่อม ตอนจะกินก็แค่ตักน้ำเชื่อมราด เติมน้ำแข็งอีกหน่อย เหมาะกับอากาศบ้านเราตอนนี้สุด ๆ”คนเป็นหลานบอกพลางตักให้ป้าชิมหนึ่งถ้วยใหญ่ ๆ“มะนาวไม่กินเหรอ”สริดาถามน้องสาวอย่างแปลกใจเพราะปกติมนิษาจะต้องถามหาของหวานด้วยเสมอ แต่วันนี้เจ้าหล่อนส่ายหน้าดิก ตั้งปณิธานว่าจะไม่ยอมกินของฝากของธีทัตให้ป้าองุ่นเห็นเด็ดขาด“พ่อธีนี่ก็น่ารักจริง ๆ เลยน
ในห้องครัว สริดากำลังตั้งหม้อนึ่งถั่วเขียวซีกเพื่อเตรียมจะทำขนมถั่วแปบ ตอนที่มนิษากับนิดหน่อยช่วยกันยกกล่องลังผลไม้เข้ามาหลายกล่อง“พี่ธีเอามะยงชิดมาฝากค่ะพี่ส้ม”นิดหน่อยรีบบอกโดยไม่ต้องรอให้ถามตอนแรกคนงานทุกคนไม่กล้าเรียกธีทัตว่าพี่ และยืนยันจะเรียก “คุณธี” เหมือนที่เรียกลูกค้าคนอื่น ๆ แต่เมื่อชายหนุ่มมาเป็นแขกบ้านนี้บ่อยครั้งเข้า และทุกครั้งที่มาเขาก็ขอร้องให้ทุกคนเลิกใช้คำเรียกขานที่ห่างเหิน คนงานทุกคนจึงค่อย ๆ เรียกเขาว่าพี่ธีหรือธีเฉย ๆ ได้อย่างสนิทปากสนิทใจ (แต่แน่ล่ะว่าสร้างความหมั่นไส้ให้ มนิษาอย่างที่สุด)“พี่ธีเอามาฝาก? ทั้งหมดนี่เลยหรือ”สริดาเปิดกล่องแล้วหยิบพวงมะยงชิดมาชื่นชมอย่างแปลกใจ แต่ละลูกผลใหญ่ ผิวสีส้มเนียนสวยน่ารับประทาน“ใช่แล้วจ้ะ ตอนแรกหนูนึกว่ามะปราง แต่พี่ธีบอกว่าเป็นมะยงชิด มันต่างกันยังไงอะพี่ส้ม”นิดหน่อยถามซื่อ ๆ ก็ใช่ว่าทุกคนจะรู้จักผลไม้ในประเทศตัวเองได้หมดนี่นา“ที่จริงมันก็คือมะปรางเหมือนกันนั่นล่ะจ้ะ มะปรางจะผลเล็กกว่ามะยงชิดแต่เม็ดในใหญ่กว่า เปลือกจะออกนวล ๆ แล้วก็หวานจัดกว่าด้วย แต่
เมื่อถึงห้องน้ำ ฟ้าลดาโก่งคออาเจียนอาหารออกมาจนหมดท้อง เธอรู้สึกคลื่นไส้มาเป็นเดือนแล้ว กินได้แต่น้ำผักผลไม้ แม่ก็สังเกตเห็นแต่หญิงสาวก็อ้างเพียงว่ากินแต่อาหารจืด ๆ มานานจนท้องไส้ไม่ค่อยยอมรับอาหารรสจัดแบบไทย ๆล้างปากล้างหน้าเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวก็พาร่างบอบบางจนแทบปลิวลมกับใบหน้าซีดเซียวเดินออกจากห้องน้ำ ยังไม่อยากกลับไปที่โต๊ะแต่เลือกเดินออกไปสูดอากาศด้านนอกที่ระเบียงติดแม่น้ำเมื่อผลักประตูกระจกออกมา สายลมของเดือนมีนาคมก็สัมผัสใบหน้า แม้จะเป็นสายลมอุ่นแต่ก็ทำให้หายใจได้โล่งขึ้น เมื่อเริ่มรู้สึกดีขึ้น หญิงสาวนักเรียนนอกจึงหันกลับจะเข้าไปในร้าน ลูกค้าจากด้านในกำลังผลักประตูกระจกออกมาพอดีเธอจึงหยุดรอ ร่างสูงชะงักกึกตอนที่หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาตาคมเข้มคู่นั้น ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างขึ้นพร้อมกัน“ฟ้า!”“ธี!”***สามปีก่อน...“ไม่อยากให้ฟ้าไปเลย แค่คิดว่าต้องอยู่คนเดียวก็ใจจะขาดแล้ว”ธีทัตออดอ้อนร่างบางเปล่าเปลือยที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา สองร่างอิงซบกันอยู่บนเตียงกว้าง ห้วงยามหวามหวานเพิ่งผ่านพ
ธีทัตยอมรับว่าเงินซื้อบ้านหลังนี้ไม่ใช่เงินที่เขาหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองทั้งหมด แต่เป็นเงินมรดกจากปู่ย่าตายายที่ส่งต่อมาให้กับพ่อกับแม่ในรูปแบบของที่ดิน ตลาด โรงงาน และกิจการอีกหลายอย่าง และดอกผลจากธุรกิจเหล่านั้นก็ส่งต่อมาถึงเขาอีกทีเมื่อตกลงกันได้ ภูมิวัตน์ก็ยิ้มโล่งใจ ธีทัตโอบไหล่เพื่อน“คืนนี้ไปหาอะไรดื่มกัน อีกหน่อยมึงไปอยู่นู่นก็ไม่ค่อยได้เจอกันแล้ว เดี๋ยวคืนนี้กูเลี้ยงเอง”“ไม่ได้ ๆ มึงจะซื้อบ้านกูทั้งที ให้กูเลี้ยงเอง”ภูมิวัฒน์รีบบอก ก่อนจะกดโทรศัพท์ชวนเพื่อนสนิทอีกสี่ห้าคนออกไปสังสรรค์กันในคืนนี้ **ธีทัตกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านก่อนจะออกไปเจอกับเพื่อนที่ร้านอาหารที่ภูมิวัตน์จองไว้ เขาแวะบอกพ่อกับแม่ให้กินข้าวเย็นได้เลยไม่ต้องรอ และบอกด้วยว่าเขาตกลงจะซื้อบ้านใหม่ต่อจากเพื่อนแล้ว“ตกลงซื้อแน่ใช่ไหมลูก”คงเดชถามย้ำ เขาได้เห็นรูปบ้านที่ลูกชายส่งมาแล้ว“ครับพ่อ ราคานี้แทบไม่ต้องทำอะไรเพิ่มแล้ว เข้าอยู่ได้เลย”“โอ๊ย... เงินทองน่ะมีก็เก็บ ๆ กันไว้บ้างเถอะ”ธิดาเอ่ยขัดพลางมองลูกชายตาเขียว
“จริงเหรอ หมู่นี้ธีไปหาส้มหวานแทบทุกสัปดาห์เลยเหรอ”องุ่นถามย้ำอย่างตื่นเต้นเมื่อ ‘สายลับ’ ของหล่อนที่ทำงานอยู่บ้านหลานสาว โทรศัพท์มาบอก“ใช่ค่ะป้าหงุ่น เดือนก่อนคุณธีพาเพื่อนมาเรียนทำขนมกับพี่ส้ม ตอนนี้เห็นว่าเพื่อนกลับเยอรมันไปแล้ว แต่คุณธีก็ยังแวะมาหาทุกอาทิตย์ มากินข้าวบ้าง มาซื้อต้นไม้บ้าง หนูว่าเป็นข้ออ้างทั้งนั้นล่ะค่ะ...”สายขององุ่นหัวเราะคิกคัก ก่อนพูดต่อไปว่า“คุณธีคงจะเดินหน้าจีบพี่ส้มหวานจริง ๆ จัง ๆ อย่างที่ป้าหงุ่นหวังแล้วล่ะค่ะ”“ขอให้มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็แล้วกัน ป้าล่ะกลัวจะแก่ตายก่อนได้เห็นหลานเป็นฝั่งเป็นฝา”“อ้าว... ทำไมจู่ ๆ พูดแช่งตัวเองอย่างนั้นล่ะคะ”“เออ ๆ ฉันก็พูดไปเรื่อยเปื่อยนั่นล่ะ”องุ่นว่า หล่อนเพิ่งเกษียณจากราชการในตำแหน่งศึกษานิเทศก์ยังไม่ถึงห้าปีด้วยซ้ำ คงยังเร็วไปที่จะพูดจาดราม่าแบบวัยไม้ใกล้ฝั่ง“ขอบใจนะนิดหน่อยที่โทรมารายงานความคืบหน้า มีอะไรก็โทรมาบอกอีกนะ”“ได้เลยค่ะป้าหง