“พี่ส้มก็เป็นหลานป้าองุ่นเหมือนกัน ถ้าคุณเห็นแก่ป้าฉันจริงก็ไม่น่าจะทำให้หลานสาวของป้าเสียใจเลย”
“ใครเสียใจ? ส้มหวานเหรอ”
แววตาหยอกล้อหายวับไป ท่าทีเขาจริงจังขึ้นเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าคลิปนี้อาจมีคนเสียใจหรือเข้าใจผิด แต่มนิษาส่ายหน้า
“เปล่า พี่ส้มไม่ใช่คนงี่เง่าอะไรแบบนั้น แต่ฉันเองที่อยากรู้ ไม่ใช่เพราะฉันชอบคุณจนอยากได้มาเป็นพี่ชายอีกคนหรอกนะ แต่เพราะฉันไม่ชอบคุณมาก ๆ ต่างหาก ก็เลยอยากให้คุณยอมรับตรง ๆ ว่าคุณคบผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่พี่ส้มอยู่...คุณมีแฟนอยู่แล้วใช่ไหม”
“ไม่ใช่ครับ พี่โสดล้านเปอร์เซ็นต์ ส่วนเพื่อนผู้หญิงในคลิป ก็เพื่อนกันจริง ๆ เพื่อนสนิทมาก ๆ ด้วย”
“สนิทถึงขั้นถูกเนื้อต้องตัวกันขนาดนั้นเลยหรือไง”
“อืม ใช่”
ธีทัตไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ เขาสบสายตากลมโตของ มนิษาก่อนเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“บางทีพี่กับเพื่อนก็ไม่ทันได้ระวังตัว ถ้ามะนาวไม่ชอบ คราวหน้าพี่จะระวังให้มากกว่านี้ก็แล้วกัน”
“นาวจะชอบหรือไม่ชอบไม่ได้เกี่ยวอะไรสักหน่อย”
“เกี่ยวสิ พี่ยังอยากเข้านอกออกในบ้านของมะนาวกับป้าองุ่นอยู่ ถ้าทำให้มะนาวเกลียดขี้หน้าก็คงไม่ดีเท่าไร”
หญิงสาวฮึดฮัด ทำไมน้ำเสียงของธีทัตถึงฟังดูใจเย็นจนน่าหงุดหงิดพิกล
“ถ้าฉันบอกว่าไม่อยากให้คุณไปมาหาสู่กับพี่ส้มอีกคุณจะว่ายังไง พี่ส้มเป็นคนดีมาก ดีที่สุด แถมยังเรียบร้อยอ่อนหวาน ไม่เหมาะกับผู้ชายเจ้าชู้รอบจัดอย่างคุณหรอกนะคุณธีทัต”
“พี่ว่ามะนาวก็ชมพี่เกินไป”
ธีทัตอดยวนไม่ได้
“พี่ยอมรับก็ได้ว่าพี่กับส้มหวานอาจจะแตกต่างกันมาก ใครเห็นก็คงคิดว่าพี่ไม่เหมาะกับส้ม ถ้าอย่างนั้นในความคิดของมะนาว พี่ต้องเหมาะกับสาว ๆ แบบไหนดีล่ะ แบบมะนาวพอได้ไหม”
“กรี๊ด อี๋ อย่ามาพูดจาแบบนี้นะ อย่างคุณน่ะเห็นแค่เงาก็รู้แล้วว่าเจ้าชู้แน่ ๆ แต่คุณจะไปทำนิสัยแบบนี้กับใครก็เรื่องของคุณ แต่ต้องไม่ใช่กับพี่สาวของฉัน ฉันไม่อยากให้พี่ส้มต้องทุกข์ทรมานกับชีวิตแต่งงาน คุณเข้าใจใช่ไหม”
“แล้วทำไมมะนาวถึงคิดว่าพี่สาวจะไม่มีความสุขถ้าแต่งงานกับพี่ล่ะครับ”
“มันก็เห็นเห็นกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ฉันมั่นใจนะว่าคุณน่ะต่อให้แต่งงานแล้วก็คงจะหยุดหว่านเสน่ห์ไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นคุณอย่าทำร้ายชีวิตพี่สาวฉันด้วยการแต่งงานกับพี่เลยนะฉันขอร้อง”
ธีทัตส่ายหน้า
“พูดจาใจร้ายกับพี่จังเลยนะ พี่ธีมั่นใจว่าเราสองคนแทบไม่เคยได้พูดคุยกัน แต่ทำไมมะนาวถึงตัดสินว่าพี่ธีแย่ถึงขนาดนั้น”
“นาว...ฉันก็ไม่ได้กล่าวหาคุณลอย ๆ นี่ แต่ฉันมีหลักฐานอย่างเช่นคลิปในโทรศัพท์นี้ไง อีกอย่างนะไลฟ์สไตล์ของหนุ่มสังคมคนดังอย่างคุณน่ะมันก็ไม่ใช่ความลับอะไรไม่ใช่หรือ แต่คุณจะใช้ชีวิตยังไงฉันไม่เคยสนใจเลยถ้าไม่เพราะป้าองุ่นพยายามจับคู่คุณให้กับพี่ส้ม”
“ก็แล้วทำไมไม่ให้ส้มหวานปฏิเสธเองล่ะครับ”
“พี่ส้มเป็นคนหัวอ่อนใจอ่อน ป้าองุ่นพูดอะไรพี่ก็ไม่เคยเถียง ไม่เคยขัดใจ แต่ถ้าคุณจะกรุณาเป็นฝ่ายปฏิเสธเสียเอง มันก็คงจะง่ายกว่าเพราะจะว่าไปคนเท่ ๆ คูล ๆ อย่างคุณก็คงไม่ยอมให้ใครบังคับคลุมถุงชนหรอก จริงไหม”
มนิษากัดฟันชมเขา เผื่อว่าธีทัตจะตกหลุมพราง
“อืม...ที่มะนาวพูดมาก็ฟังดูมีเหตุผลนะ”
ชายหนุ่มวัยสามสิบต้น ๆ แกล้งกอดอก ลูบคาง สีหน้าครุ่นคิด
“เอาไว้พี่จะลองเก็บไปคิดดูแล้วกันว่าจะเอายังไง เพราะว่าแม่ของพี่กับน้าองุ่นเขาสนิทกันมาก แล้วเขาทั้งคู่ก็หวังไว้เยอะ พี่ธีไม่อยากให้ผู้ใหญ่ผิดหวัง เอาไว้จะลองคิดดูว่ามีหนทางอะไรที่ละมุนละม่อมแล้วดีต่อทั้งสองฝ่าย...”
“คุณพูดจริงนะ”
มนิษามองอย่างคลางแคลง เธอเตรียมตัวมาโต้เถียงเต็มที่ ไม่คิดว่าเขาจะยอมง่าย ๆ แบบนี้
“จริงสิ จริงที่บอกว่าจะกลับไปคิดดูก่อน ยังไม่ได้รับปากอะไร เอาล่ะ สรุปว่าเรื่องนี้จบแล้วนะ นี่ก็กำลังจะเที่ยง มะนาวมีนัดหรือยัง พี่จะออกไปหาอะไรกินอยู่พอดี ไปกินอะไรด้วยกันไหม”
มนิษานิ่งไปนิดก่อนจะเบ้ปาก
“เชิญตามสบายเถอะ ฉันหวังว่าคงจะไม่ได้พบคุณอีกนะคะ ขอบคุณมาก”
พูดจบก็เดินฉับ ๆ ตัดสนามหญ้าออกไป
ธีทัตมองส่งด้วยสายตาพลางหัวเราะออกมาเบา ๆ
มนิษาพูดถูกอย่างหนึ่ง นั่นคือเขากับพี่สาวของเธอแทบจะยังไม่รู้จักกัน แม้ว่าแม่ของเขากับป้าของสองสาวจะสนิทกันมาเกือบทั้งชีวิต แต่แม่ก็ส่งธีทัตไปเรียนต่อเมืองนอกตอนอยู่ชั้นไฮสกูล เมื่อกลับมาเรียนมหาวิทยาลัยที่ไทยเขาก็ขลุกอยู่แต่กับกลุ่มเพื่อน จึงไม่ได้สนิทชิดใกล้กับสริดาและมนิษา หากสองสาวจะรู้สึกต่อเขาเสมือนคนแปลกหน้าก็ไม่แปลกอะไร
แต่การที่คนเป็นน้องสาวออกตัวแรงแสดงอาการต่อต้านอย่างเต็มตัวแบบนี้ ทำให้ธีทัตนึกสนุกและอยากกวนประสาทเธอขึ้นมาเสียเฉย ๆ
ครั้งแรก ๆ เขาแวะเวียนไปทักทายสริดาด้วยมารยาทเพราะไม่อยากขัดใจแม่และเกรงใจน้าองุ่น
ครั้งต่อ ๆ มาเขาแวะไปด้วยความเต็มใจเพราะคนงานแทบทุกคนในบ้านนั้นคุยสนุกและสริดาก็เป็นคนน่ารัก จิตใจดี เป็นเหมือนน้องสาวที่เขาไม่เคยมีแต่ฝันอยากมีมาโดยตลอด แปลกที่เขาก็สัมผัสได้เช่นกันว่าสริดาก็รู้สึกกับเขาเหมือนเป็นพี่ชาย ธีทัตจึงสะดวกใจที่จะได้แวะไปบ้านนั้นตามสมควร แต่มนิษากลับคอยแต่จะจ้องเขาด้วยตากลมที่ลุกวาบ ๆ เหมือนอยากสิงร่างแล้วแหกตับเขาอยู่ตลอดเวลา...
น่าสงสารเจ้ามะนาวต้นเล็กเสียเหลือเกิน อุตส่าห์มาถึงนี่เพราะอยากกีดกันเขาออกจากชีวิตของพี่สาวตัวเอง โดยไม่รู้ตัวเลยว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะไปในทางตรงข้ามโดยสิ้นเชิง
ภูมิวัตน์ส่งต่อบ้านให้เพื่อนอย่างเรียบร้อยก่อนตัวเองจะย้ายไปอเมริกา ธีทัตจึงได้เวลาขนของย้ายเข้าไปอยู่อย่างเป็นทางการ และเริ่มตกแต่งทั้งข้างนอกและข้างในให้เข้ากับรสนิยมตัวเองธิดาแม้ไม่อยากให้ลูกชายแยกบ้านแต่ก็ต้องยอมรับว่าบ้านและที่ดินหลังนี้สวยงามคุ้มค่าน่าอยู่"ภูมิเพื่อนลูกเขาดูแลบ้านดีมากเลยนะ ไม่มีเสียหายตรงไหนเลย แล้วลูกจะขึ้นบ้านใหม่เมื่อไรล่ะธี”คนเป็นแม่ถามระหว่างเดินสำรวจบ้าน"ใหม่ที่ไหนแม่ ซื้อต่อจากไอ้ภูมิก็ไม่ใหม่แล้วสิ""ก็ใหม่ของเรา จะเก่าของใครก็ช่างสิ”ธิดาพูดพลางเงยหน้ามองไปรอบ ๆ ตัวบ้าน ฝ้าเพดานในห้องรับแขกที่สูงไปถึงชั้นสองทำให้ตัวบ้านดูโปร่งโล่ง"ถึงธีจะไม่ได้นอนที่นี่ทุกวัน แต่ยังไงมันก็เป็นบ้านของเราแล้ว ทำบุญเลี้ยงพระสักทีก็น่าจะดีนะลูก ถ้าไม่อยากจัดอะไรให้ยุ่งยาก แค่นิมนต์พระมาสัก ๙ รูป ๑๒ รูปก็ได้""ทำอย่างที่แม่เขาบอก พ่อว่าก็ดีนะ"คงเดชออกความเห็นบ้าง"ก็ได้ครับ ผมยังไงก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเอาไว้ผมเช็คตารางงานก่อน แล้วได้วันไหนจะบอกแม่อีกที"ธิดาคิดว่าอาจต้องรออีกหลายวั
“อ้าว...นั่นคุณธีมานี่คะ”ดอกรักที่กำลังจัดเรียงถุงต้นกล้าให้เข้าที่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าใครที่อยู่หน้าร้าน มีแค่สองคนที่ยังเรียกธีทัตว่าคุณ ก็คือพี่ดอกรักกับน้าน้อย เพราะทั้งคู่มีอายุมากกว่าธีทัตหลายปี ส่วนมนิษานั้นไม่นับ หญิงสาวนึกอยากจะใช้สรรพนามเรียกขานชายหนุ่มว่าอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ในขณะนั้นและตอนนี้มนิษาก็ใจหายวาบเมื่อได้ยินชื่อที่ไม่ได้ยินมาหลายวัน ก่อนจะค่อย ๆ หันไปหาเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตรงข้ามกับใบหน้าคมคุ้นตามที่เดินยิ้มแฉ่งตรงมาหาพร้อมถุงของฝากเต็มสองมือ“สวัสดีครับพี่ดอกรัก”“สวัสดีค่ะคุณธี หายไปไหนตั้งนานคะ ไม่เห็นหน้าเลย”“เพิ่งกลับจากกรุงเทพฯ ครับ...ไปทำงานมา”ประโยคหลังเขาตั้งใจเอ่ยกับเจ้าของร้านต้นไม้“อ้าว... น้องมะนาวก็อยู่ด้วยหรือนี่ พี่ไม่ทันเห็น สวัสดีจ้ะ”มนิษาแยกเขี้ยวใส่ รู้ว่าเขาแกล้ง“ผมซื้อของมาฝากครับพี่ดอกรัก” ดอกรักรีบถอดถุงมือออกก่อนเอื้อมมือไปรับถุงของฝากจากชายหนุ่ม ธีทัตซื้อมาฝากครบทุกคนเหมือนเช่นเคย แต่ถุงสุ
เสียงฝีเท้าหลายคู่พร้อมกับเสียงพูดคุยครึกครื้นที่หน้าร้าน ทำให้มนิษาที่กำลังทอนเงินให้ลูกค้า หันขวับไปหาทันทีโดยอัตโนมัติ แต่ในบรรดาลูกค้ากลุ่มใหญ่นั้น กลับไม่มีใบหน้าที่เธอคุ้นเคยและเผลอคาดหวังว่าจะได้เห็น... พี่ดอกรักกับน้าน้อย รีบเข้าไปบริการลูกค้ากลุ่มใหม่ดังกล่าว คนงานทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของร้านต้นไม้แห่งนี้มาตั้งแต่มนิษายังเป็นเพียงเด็กมัธยมฯ เธอไว้ใจพวกเขาได้เท่ากับที่ไว้ใจครอบครัวของตัวเอง หญิงสาวจึงไม่เข้าไปวุ่นวายและเลิกจะเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านเงียบ ๆ ด้วยอาการเงื่องหงอย"วันนี้ทำอะไรน่ะพี่ส้ม" มะนาวถามเนือย ๆ เมื่อโผล่หน้าเข้าไปในครัวและเดินตรงไปที่ตู้เย็น หยิบขวดน้ำมารินใส่แก้วให้ตัวเอง "ขนมกรวยจ้ะ" "ทำคนเดียวเหรอ ไม่ให้นิดหน่อยมาช่วยล่ะ" "ทำคนเดียวได้ ทำง่ายแล้ววันนี้พี่ก็ทำไม่เยอะจ้ะ" คนเป็นพี่สาวตอบ กำลังหยอดแป้งลงในกรวยใบตองที่ม้วนเตรียมไว้แล้ว ตัวแป้งเนื้อขนมทำไม่ยาก ใช้แป้งข้าวเจ้าผสมกับแป้งถั่วเขียวอีกนิดหน่อย เติมกะทิ น้ำตาลปี๊บ เหยาะเกลือเล็กน้อยอย่าเผลอหลุดมือใส่ลงไปเยอะ แล้วก็กวนให้เป็นเนื้อเดียวกัน
“เมื่อไรมึงจะยอมไปนอนบ้านกูสักที มากี่หนก็จะนอนแต่โรงแรม” ทยากรเอ่ยกับธีทัตที่เพิ่งมาถึงกรุงเทพฯ เขาขับรถมารับเพื่อนสนิทและหุ้นส่วนที่สนามบิน ชวนแวะกินข้าวร้านประจำก่อนจะไปส่งโรงแรม“กูชอบอาหารเช้าโรงแรม มึงทำไม่อร่อยไงไอ้ทอยกูเลยไม่อยากไปนอนด้วย”ธีทัตแกล้งตอบ ทยากรหัวเราะหึ ๆ รู้ว่าเพื่อนเกรงใจเพราะตอนนี้แฟนสาวของเขาย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน ถ้าทยากรอยู่คนเดียวตามประสาหนุ่มโสดแบบเมื่อก่อน ธีทัตก็คงจะไม่ปฏิเสธทยากรคือหุ้นส่วนหนึ่งในสามคนของ ‘ทรีทีพรอเจคต์แอนด์ดีไซน์’ เมื่อสถาปนิกหนุ่มเรียนจบปริญญาตรีที่เชียงใหม่ เขาลงขันเปิดบริษัทกับธีทัตและเพื่อนรักอีกหนึ่งคนที่เรียนสถาปัตย์เหมือนกัน โดยมีธีทัตเป็นหุ้นส่วนใหญ่ที่สุดคือถือหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ทยากรกับเพื่อนอีกคนคนละยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ แบ่งหน้าที่กันไปตามความถนัดแม้สำนักงานหลักจะอยู่ที่เชียงใหม่ แต่ตัวทยากรเองก็มารับงานที่กรุงเทพฯ ที่เป็นบ้านเกิดของเขา วันนี้ที่ธีทัตเดินทางมาก็เพื่อจะมาช่วยประเมินโครงสร้างอาคารของโปรเจกต์ใหม่ที่บริษัทเพิ่งเซ็นสัญญารีโนเวต
วันนี้ป้าองุ่นขับโฟล์กสวาเก้นรุ่นปี ๑๙๖๗ หรือ 'รถเต่า' สีน้ำเงินของตัวเองมากินข้าวเที่ยงกับหลานสาวอีกเช่นเคย นอกจากจิ๊นหมูนึ่ง[1] ผักนึ่ง ตำบะหนุน[2] น้ำพริกข่า[3] กับข้าวนึ่ง(ข้าวเหนียว) สริดาก็ยังเตรียมมะยงชิดลอยแก้วใส่กล่องไว้ให้เรียบร้อยเพราะรู้ว่าป้าจะต้องไปเที่ยวหาป้าธิดาเพื่อนสนิท หญิงสาวจึงทำเผื่อไปฝากบ้านนั้นอีกกล่องใหญ่ ๆ“เมื่อวานพี่ธีซื้อมาฝากเยอะแยะเลยค่ะ ส้มเลยแบ่งทำมะยงชิดโซดาให้คนงานกินแก้เหนื่อย แล้วก็แบ่งทำลอยแก้วให้ป้าหงุ่นกับป้าธิดาด้วย”“ขอบใจนะส้ม นี่ป้าไม่ได้กินมานานแล้วนะนี่”“มะยงชิดลอยแก้วทำง่ายค่ะป้าหงุ่น ถ้าวันไหนป้าอยากกินอีกบอกส้มก็ได้นะคะ แค่ปอกเปลือกคว้านเมล็ด แล้วก็ทำน้ำเชื่อม ตอนจะกินก็แค่ตักน้ำเชื่อมราด เติมน้ำแข็งอีกหน่อย เหมาะกับอากาศบ้านเราตอนนี้สุด ๆ”คนเป็นหลานบอกพลางตักให้ป้าชิมหนึ่งถ้วยใหญ่ ๆ“มะนาวไม่กินเหรอ”สริดาถามน้องสาวอย่างแปลกใจเพราะปกติมนิษาจะต้องถามหาของหวานด้วยเสมอ แต่วันนี้เจ้าหล่อนส่ายหน้าดิก ตั้งปณิธานว่าจะไม่ยอมกินของฝากของธีทัตให้ป้าองุ่นเห็นเด็ดขาด“พ่อธีนี่ก็น่ารักจริง ๆ เลยน
ในห้องครัว สริดากำลังตั้งหม้อนึ่งถั่วเขียวซีกเพื่อเตรียมจะทำขนมถั่วแปบ ตอนที่มนิษากับนิดหน่อยช่วยกันยกกล่องลังผลไม้เข้ามาหลายกล่อง“พี่ธีเอามะยงชิดมาฝากค่ะพี่ส้ม”นิดหน่อยรีบบอกโดยไม่ต้องรอให้ถามตอนแรกคนงานทุกคนไม่กล้าเรียกธีทัตว่าพี่ และยืนยันจะเรียก “คุณธี” เหมือนที่เรียกลูกค้าคนอื่น ๆ แต่เมื่อชายหนุ่มมาเป็นแขกบ้านนี้บ่อยครั้งเข้า และทุกครั้งที่มาเขาก็ขอร้องให้ทุกคนเลิกใช้คำเรียกขานที่ห่างเหิน คนงานทุกคนจึงค่อย ๆ เรียกเขาว่าพี่ธีหรือธีเฉย ๆ ได้อย่างสนิทปากสนิทใจ (แต่แน่ล่ะว่าสร้างความหมั่นไส้ให้ มนิษาอย่างที่สุด)“พี่ธีเอามาฝาก? ทั้งหมดนี่เลยหรือ”สริดาเปิดกล่องแล้วหยิบพวงมะยงชิดมาชื่นชมอย่างแปลกใจ แต่ละลูกผลใหญ่ ผิวสีส้มเนียนสวยน่ารับประทาน“ใช่แล้วจ้ะ ตอนแรกหนูนึกว่ามะปราง แต่พี่ธีบอกว่าเป็นมะยงชิด มันต่างกันยังไงอะพี่ส้ม”นิดหน่อยถามซื่อ ๆ ก็ใช่ว่าทุกคนจะรู้จักผลไม้ในประเทศตัวเองได้หมดนี่นา“ที่จริงมันก็คือมะปรางเหมือนกันนั่นล่ะจ้ะ มะปรางจะผลเล็กกว่ามะยงชิดแต่เม็ดในใหญ่กว่า เปลือกจะออกนวล ๆ แล้วก็หวานจัดกว่าด้วย แต่
เมื่อถึงห้องน้ำ ฟ้าลดาโก่งคออาเจียนอาหารออกมาจนหมดท้อง เธอรู้สึกคลื่นไส้มาเป็นเดือนแล้ว กินได้แต่น้ำผักผลไม้ แม่ก็สังเกตเห็นแต่หญิงสาวก็อ้างเพียงว่ากินแต่อาหารจืด ๆ มานานจนท้องไส้ไม่ค่อยยอมรับอาหารรสจัดแบบไทย ๆล้างปากล้างหน้าเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวก็พาร่างบอบบางจนแทบปลิวลมกับใบหน้าซีดเซียวเดินออกจากห้องน้ำ ยังไม่อยากกลับไปที่โต๊ะแต่เลือกเดินออกไปสูดอากาศด้านนอกที่ระเบียงติดแม่น้ำเมื่อผลักประตูกระจกออกมา สายลมของเดือนมีนาคมก็สัมผัสใบหน้า แม้จะเป็นสายลมอุ่นแต่ก็ทำให้หายใจได้โล่งขึ้น เมื่อเริ่มรู้สึกดีขึ้น หญิงสาวนักเรียนนอกจึงหันกลับจะเข้าไปในร้าน ลูกค้าจากด้านในกำลังผลักประตูกระจกออกมาพอดีเธอจึงหยุดรอ ร่างสูงชะงักกึกตอนที่หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาตาคมเข้มคู่นั้น ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างขึ้นพร้อมกัน“ฟ้า!”“ธี!”***สามปีก่อน...“ไม่อยากให้ฟ้าไปเลย แค่คิดว่าต้องอยู่คนเดียวก็ใจจะขาดแล้ว”ธีทัตออดอ้อนร่างบางเปล่าเปลือยที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา สองร่างอิงซบกันอยู่บนเตียงกว้าง ห้วงยามหวามหวานเพิ่งผ่านพ
ธีทัตยอมรับว่าเงินซื้อบ้านหลังนี้ไม่ใช่เงินที่เขาหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองทั้งหมด แต่เป็นเงินมรดกจากปู่ย่าตายายที่ส่งต่อมาให้กับพ่อกับแม่ในรูปแบบของที่ดิน ตลาด โรงงาน และกิจการอีกหลายอย่าง และดอกผลจากธุรกิจเหล่านั้นก็ส่งต่อมาถึงเขาอีกทีเมื่อตกลงกันได้ ภูมิวัตน์ก็ยิ้มโล่งใจ ธีทัตโอบไหล่เพื่อน“คืนนี้ไปหาอะไรดื่มกัน อีกหน่อยมึงไปอยู่นู่นก็ไม่ค่อยได้เจอกันแล้ว เดี๋ยวคืนนี้กูเลี้ยงเอง”“ไม่ได้ ๆ มึงจะซื้อบ้านกูทั้งที ให้กูเลี้ยงเอง”ภูมิวัฒน์รีบบอก ก่อนจะกดโทรศัพท์ชวนเพื่อนสนิทอีกสี่ห้าคนออกไปสังสรรค์กันในคืนนี้ **ธีทัตกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านก่อนจะออกไปเจอกับเพื่อนที่ร้านอาหารที่ภูมิวัตน์จองไว้ เขาแวะบอกพ่อกับแม่ให้กินข้าวเย็นได้เลยไม่ต้องรอ และบอกด้วยว่าเขาตกลงจะซื้อบ้านใหม่ต่อจากเพื่อนแล้ว“ตกลงซื้อแน่ใช่ไหมลูก”คงเดชถามย้ำ เขาได้เห็นรูปบ้านที่ลูกชายส่งมาแล้ว“ครับพ่อ ราคานี้แทบไม่ต้องทำอะไรเพิ่มแล้ว เข้าอยู่ได้เลย”“โอ๊ย... เงินทองน่ะมีก็เก็บ ๆ กันไว้บ้างเถอะ”ธิดาเอ่ยขัดพลางมองลูกชายตาเขียว
“จริงเหรอ หมู่นี้ธีไปหาส้มหวานแทบทุกสัปดาห์เลยเหรอ”องุ่นถามย้ำอย่างตื่นเต้นเมื่อ ‘สายลับ’ ของหล่อนที่ทำงานอยู่บ้านหลานสาว โทรศัพท์มาบอก“ใช่ค่ะป้าหงุ่น เดือนก่อนคุณธีพาเพื่อนมาเรียนทำขนมกับพี่ส้ม ตอนนี้เห็นว่าเพื่อนกลับเยอรมันไปแล้ว แต่คุณธีก็ยังแวะมาหาทุกอาทิตย์ มากินข้าวบ้าง มาซื้อต้นไม้บ้าง หนูว่าเป็นข้ออ้างทั้งนั้นล่ะค่ะ...”สายขององุ่นหัวเราะคิกคัก ก่อนพูดต่อไปว่า“คุณธีคงจะเดินหน้าจีบพี่ส้มหวานจริง ๆ จัง ๆ อย่างที่ป้าหงุ่นหวังแล้วล่ะค่ะ”“ขอให้มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็แล้วกัน ป้าล่ะกลัวจะแก่ตายก่อนได้เห็นหลานเป็นฝั่งเป็นฝา”“อ้าว... ทำไมจู่ ๆ พูดแช่งตัวเองอย่างนั้นล่ะคะ”“เออ ๆ ฉันก็พูดไปเรื่อยเปื่อยนั่นล่ะ”องุ่นว่า หล่อนเพิ่งเกษียณจากราชการในตำแหน่งศึกษานิเทศก์ยังไม่ถึงห้าปีด้วยซ้ำ คงยังเร็วไปที่จะพูดจาดราม่าแบบวัยไม้ใกล้ฝั่ง“ขอบใจนะนิดหน่อยที่โทรมารายงานความคืบหน้า มีอะไรก็โทรมาบอกอีกนะ”“ได้เลยค่ะป้าหง