ในที่สุดก็ถึงเวลาที่วิศวินต้องกลับออสเตรเลีย จากสนามบินเชียงใหม่ชายหนุ่มต้องไปต่อเครื่องที่สุวรรณภูมิ เขาไม่ได้ให้ใครมาส่งนอกจากลูกพี่ลูกน้อง
“แล้วจะกลับมาอีกเมื่อไร”
ธีทัตถาม วิศวินหัวเราะ
“ฉันยังอยู่ไม่จุใจนายอีกเหรอ นี่ก็อยู่จนแม่นึกว่าฉันจะกลับมาอยู่เชียงใหม่แล้วนะ”
“ก็ถาม ๆ ดู เผื่อว่าหนนี้มีอะไรจูงใจให้นายกลับมา”
ธีทัตเอ่ยทีเล่นทีจริง
“ตกลงแกกับส้มหวานนี่มันยังไงวะ”
“ก็ไม่ไงนี่”
วิศวินทำเป็นง่วนกับการตรวจเช็คความเรียบร้อยของกระเป๋าและตั๋วโดยสาร
“ส้มหวานก็น่ารักดี คุยด้วยแล้วสบายใจ... น่าเห็นใจเขาที่เจอผู้ชายที่ไม่ดี”
“ก็เพราะผู้ชายดี ๆ มันไม่กล้าจีบน่ะสิ ไอ้พวกไม่ดีเลยเอาไปกินเสียหมด”
“มันก็ต้องมีคนดี ๆ หลงเหลือบ้างล่ะน่า... คนที่ใช้ชีวิตอยู่ใกล้กับเขาได้ ดูแลเขาได้...”
วิศวินเอ่ยเบา ๆ เหมือนตั้งใจจะพูดกับตัวเอง
ถ้าเป็นเมื่อก่อนธีทัตอาจจะยุให้ลูกพี่ลูกน้องเดินหน้าสานสัมพันธ์กับสริดาให้รู้แล้วรู้รอดและเขาจะช่วยเป็นพ่อสื่อให้ด้วยอีกแรง แต่หลังจากผ่านเรื่องอะไรต่อมิอะไรมาทั้งร้ายและดี ชายหนุ่มพ่อลูกอ่อนจึงคิดว่าปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติโดยตัวเขาเองไม่ต้องเข้าไปยุ่งจะดีกว่า
การที่มนิษาเพิ่งคลอดนั้นถือเป็นเรื่องดี ๆ ที่ทำให้ทุกคนยอมปล่อยวางความคิดที่จะไปเอาเรื่องศรัณ ตอนแรกนั้นมนิษากับป้าองุ่นเป็นตัวตั้งตัวตีที่จะจ้างทนายมาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ชายคนนั้นโทษฐานที่โกหกและทำให้สริดาเสียชื่อเสียง
มีเพียงสริดาที่ยืนยันว่าเธอยินดีปล่อยเขาไป เธอไม่ได้เสียอะไรมากไปกว่าเสียเวลากับเสียความรู้สึก หญิงสาวคิดว่าตัวเองโชคดีมากกว่าโชคร้ายและต้องขอบคุณน้องสาวกับภรรยาของศรัณเสียอีกที่มาเปิดโปงที่งานหมั้น ยิ่งเมื่อกำลังตื่นเต้นกับหลานคนแรก สริดาก็ยิ่งไม่ได้คิดถึงผู้ชายตลบตะแลงคนนั้นอีกเลย
ดังนั้นเมื่อเขามาปรากฏตัวที่หน้าบ้านของเธออีกครั้งในวันนี้ หญิงสาวจึงค่อนข้างอึดอัดใจพอสมควร
“นิดหน่อย หาน้ำมาให้แขกด้วยนะ”
สริดาสั่ง เด็กสาวจงใจจ้องมองศรัณตาแข็งและยอมเดินกลับไปยกน้ำมาอย่างเสียไม่ได้ สริดาไม่ตำหนินิดหน่อยเลยสักนิด เธอเองก็ไม่ได้สบายใจนักที่ต้องได้เจอศรัณอีก ตั้งแต่งานหมั้น สริดาก็ปิดช่องทางการติดต่อสื่อสารจากเขาทั้งหมด เรียกได้ว่าไม่เปิดโอกาสให้ชายหนุ่มได้มาแก้ตัวอะไรทั้งนั้น
ไม่คิดเลยว่าเขายังจะกล้าโผล่หน้ามา
ถ้าเป็นน้องสาวที่แสนตรงไปตรงมาของเธอ มนิษาคงจะเอ่ยปากไล่ศรัณกลับไปแล้ว แต่เมื่อเป็นสริดา... เธอจำใจรับแขกไม่รับเชิญคนนี้ที่ซุ้มเฟื่องฟ้า อุ่นใจนิดว่ายังมีคนงานทำงานอยู่ใกล้ ๆ แต่ละคนดูเหมือนก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองไปแต่สริดารู้ดีว่าทุกคนจงใจป้วนเปี้ยนแถวนั้นเพราะเป็นห่วงเธอ
“ส้มเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหมครับ”
“สบายดีค่ะ”
“พี่โทรมา ไลน์มา แต่ส้มไม่อ่าน ไม่รับสายพี่เลย”
“ค่ะ”
เธอตอบสั้น ๆ ไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา นึกแปลกใจตัวเองว่าครั้งหนึ่งเธอเคยคบหาถึงขั้นกำลังจะหมั้นหมายกับผู้ชายคนนี้ไปได้อย่างไรกัน
“พี่รู้ว่าส้มรู้สึกยังไง ตอนนี้ส้มคงจะเกลียดพี่มาก พี่อยากมาหาส้มให้เร็วกว่านี้แต่เพราะพี่กำลังเคลียร์กับทางนั้นอยู่...พี่กับเขาเราไม่ได้อยู่ด้วยกันมานานแล้ว พี่พยายามขอหย่าจากเขามานาน แต่เขาไม่ยอม ถึงขั้นขู่จะฆ่าตัวตายแล้วจะฆ่าลูกด้วย พี่เครียดมากเลยนะครับ ตอนนี้ก็เลยค่อย ๆ รอให้เขาสงบลงก่อน ถึงยังไงพี่ก็จะหย่ากับเขาแน่นอนเพราะคนที่พี่รักคือส้มคนเดียว พี่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนเลยจริง ๆ พี่สาบานได้”
สริดาชักมือหนีโดยอัตโนมัติเมื่อศรัณทำท่าเหมือนจะจับมือเธอ รู้สึกไม่พอใจปรี๊ดขึ้นมาทันที พอกันทีกับมารยาทหรือความเกรงใจ
“พูดจบหรือยังคะ”
“ส้ม...ยกโทษให้พี่เถอะนะครับ พี่รักส้มคนเดียวเท่านั้น กับเขามันเป็นแค่ความรับผิดชอบ”
“จะอะไรก็ช่างเถอะค่ะ ระหว่างคุณกับฉันมันไม่มีอะไรต่อกันแล้ว ฉันจะไม่เอาเรื่องเอาราวอะไรทั้งนั้น ขอแค่คุณอย่ากลับมาที่นี่อีกก็พอ”
ศรัณหน้าชา เขาเตรียมตัวมาเจอความโกรธ ความเสียใจ การตัดพ้อต่อว่า แต่เขาไม่ได้เตรียมตัวมารับมือกับท่าทีไม่ยี่หระปนรังเกียจแบบนี้ แค่ไม่กี่สัปดาห์ที่เขาไม่ได้มาเจอหน้าเธอ ศรัณไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าช่วงเวลาสั้น ๆ จะทำให้สริดาตัดใจจากเขาได้แล้ว
“ส้ม...พี่รักส้มจริง ๆ จะให้พี่ทำยังไงส้มถึงจะเชื่อแล้วให้โอกาสพี่อีกครั้งครับ”
ศรัณสีหน้าทุกข์ตรมเหมือนกำลังจะร้องไห้ เขาเชื่อว่าเธอจะต้องใจอ่อนและให้อภัยเหมือนที่อุรัศยาให้อภัยเขามาแล้ว แต่นั่นก็หลังจากที่เขาคุกเข่าร้องห่มร้องไห้ สาบานเจ็ดวันเก้าวัดว่าจะไม่นอกใจภรรยาอีก อุรัศยาจึงยอมยกโทษให้
ถ้าน้ำตาลูกผู้ชายใช้ได้ผลกับอุรัสยา จะหลั่งน้ำตาอีกสักครั้งเพื่อผู้หญิงอีกคนก็คงไม่ยาก สำหรับผู้หญิงทั้งสองคนนี้ ศรัณจะไม่มีทางยอมเสียใครไปแน่นอน ไม่ใช่เพราะเขารักเธอทั้งคู่ แต่เพราะเขาเห็นแก่ตัวเกินกว่าจะยอมให้ตัวเองเจ็บปวดต่างหาก
แต่สีหน้าเหมือนจะร้องไห้ของเขาทำให้สริดาถอนหายใจเฮือก ท่าทีระวังตัวของเธอหายไปแล้ว แต่กลับมีรังสีบางอย่างขึ้นมาแทนจนศรัณเย็นยะเยือก
“ฟังนะคะ ต่อให้วันนี้พี่จะไม่มีพันธะกับใครแล้ว ส้มก็ไม่มีทางกลับมาคุยกับพี่อีกแน่นอน ส้มขอร้องพี่ดี ๆ อย่ากลับมาที่นี่อีกเลย ถือเสียว่าเห็นแก่มิตรภาพดี ๆ ที่เคยมีต่อกันเถอะนะคะ”... แม้จะไม่แน่ใจว่ามันมีความจริงใจอยู่สักที่เปอร์เซ็นต์ หญิงสาวพูดต่อในใจ
สริดาถือว่าเธอพูดชัดเจนแล้ว จึงลุกขึ้นจะเดินกลับเข้าบ้าน ศรัณทำท่าจะคว้ามือเธอไว้อีกครั้งแต่คนงานที่ซุ่มดูอยู่ด้วยความเป็นห่วงเจ้านายปราดเข้ามาทันที
“คุณส้มครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
ศรัณชักสีหน้าที่โดนขัดจังหวะ แต่ใบหน้าดุดันกับเสียมในมือคนงานทำให้เขากัดฟัน ยอมถอย
“พี่คิดว่าวันนี้ส้มคงยังโกรธพี่อยู่ แต่พี่จะกลับมาอีก...พี่รักส้ม ส้มไล่พี่ออกไปจากชีวิตไม่ได้ง่าย ๆ หรอก”
ชายหนุ่มประกาศและทำหูทวนลมกับเสียงก่นด่าของคนงานที่ไล่หลัง เขากลับออกจากบ้านของสริดาด้วยความผิดหวังและหัวเสีย ไม่แปลกถ้าเธอจะโกรธและทำใจแข็ง หากแต่เมื่อครู่ศรัณสัมผัสไม่ได้เลยว่าเธอรักหรืออาลัยอาวรณ์เขาอยู่ ไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นให้เห็นเลยสักนิด ไม่อย่างนั้นทุกอย่างก็คงจะง่ายกว่านี้
ชายหนุ่มนึกโกรธหฤทัย เพราะน้องสาวจอมสาระแนของเขาแท้ ๆ ที่พาเมียเขามาพังงานหมั้น โชคดีที่อุรัศยารักเขามากและเป็นคนใจอ่อนเป็นทุนเดิมจึงยังยอมรักษาความเป็นครอบครัวเอาไว้
ศรัณไม่มีวันหย่าขาดกับภรรยาคนนี้ของเขาแน่นอน ไม่ใช่แค่เพราะเธอคือเมียตามกฎหมายแต่เธอยังเป็นแม่ของลูก หากจะมีใครที่ชายหนุ่มรักด้วยใจบริสุทธิ์ก็คงจะเป็นลูกสาวของเขาคนเดียวเท่านั้น... แต่ทั้งที่รักลูกมาก ศรัณก็ยังไม่เคยหยุดคิดสักนิดว่าหากวันที่ลูกโตขึ้นพอที่จะรับรู้พฤติกรรมของเขาได้ ลูกสาวจะรู้สึกอย่างไรกับการมีพ่อแบบนี้
หญิงสาวขมวดคิ้ว เมื่อจอดรถไว้หน้ารั้วบ้านก็ต้องทำใจอยู่สักพักกว่าจะยอมลงจากรถศรัณส่งยิ้มอบอุ่นหล่อเหลามาให้ มือประคองช่อกุหลาบช่อใหญ่ไว้ด้วย เธอจ้องดอกกุหลาบสีแดงดอกใหญ่หลายดอกที่ถูกจัดอย่างประณีต ไม่ใช่เพราะประทับใจแต่เพราะไม่อยากจะมองหน้าเจ้าของช่อดอกไม้ตรง ๆ“น้องส้ม...พี่คิดถึงส้มจังเลยครับ”ศรัณเอ่ยเสียงนุ่มพลางยื่นช่อกุหลาบให้หญิงสาวที่เขาตั้งใจมาหา แต่หนนี้สริดาไม่แม้แต่จะรักษาน้ำใจด้วยการรับไว้“คราวก่อนส้มพูดชัดแล้วนะคะว่าไม่อยากให้พี่โซ่กลับมาที่นี่อีก”“พี่รู้ แต่พี่คิดถึงส้มมากเกินไป หลายวันมานี้พี่แทบไม่มีสมาธิทำงานเลยนะครับ...ในหัวพี่คิดถึงแต่เรื่องของส้มตลอดเวลา ว่าต้องทำยังไงส้มถึงจะเชื่อว่าพี่รักแล้วก็จริงจังกับส้มจริง ๆ”สริดาถอนหายใจ เหลือจะเชื่อจริง ๆ ผู้ชายคนนี้“กลับไปเถอะค่ะ อย่าให้ส้มต้องไล่ซ้ำซากเลย ส้มเหนื่อย...”“พี่จะกลับแต่อยากให้ส้มรู้ว่าเมียพี่...ภรรยาตามกฎหมายคนนั้น เขายินดีหย่าให้พี่แล้ว อย่างที่บอกว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันฉันท์ผัวเมียมานานหลายปีแล้ว ที่ทนอยู่ก็เพราะลูก แต่ตอนนี้เขายอมรับแล้วว่าเขาก็ไม่อยากแกล้งพี่อีกต่อไป เขาจะหย่าให้ครับ”“ถ้าอย่างนั้
วันพระใหญ่ สริดากับองุ่นออกไปทำบุญที่วัดตั้งแต่ตอนกลางวัน คนเป็นป้ายังคงรู้สึกผิด แม้หลานสาวบอกให้ลืมมันไปได้แล้วก็ตาม“กรวดน้ำไปเยอะ ๆ เลยนะลูก พวกเจ้ากรรมนายเวรมันจะได้ไม่มารังควานเราอีก”องุ่นบอกหลานสาว สริดาอดยิ้มขันไม่ได้โดยเฉพาะเมื่อตอนที่ป้าขอน้ำมนตร์จากหลวงพ่อ เพื่อจะมาผสมน้ำอาบ ไล่เสนียดจัญไรออกจากชีวิต“นายคนนั้นมันติดต่อเรามาอีกไหมส้มหวาน”หลังจากไม่ได้เอ่ยชื่อศรัณมานาน องุ่นก็เลียบเคียงถามจนได้ สริดาอยากปิดเรื่องที่เขาแวะมาที่บ้านหลายวันก่อนแต่ก็ตัดสินใจบอกความจริงไป“เวรกรรม ยังกล้ามาอีกหรือนี่ มันมาเซ้าซี้ตอแยอะไรอีกได้ แล้วได้แจ้งตำรวจหรือเปล่าลูก”“เขายังไม่ได้ทำอะไรหรอกค่ะป้าหงุ่น ไม่ต้องห่วงนะคะ”สริดารีบบอก“ป้าหงุ่นอย่าเพิ่งบอกน้องนะคะ แค่เลี้ยงทิวลิป มะนาวก็น่าจะวุ่นพออยู่แล้ว”“อืม ป้าไม่บอกหรอก แต่ส้มก็อย่าประมาทนะลูก บอกคนงานให้เฝ้าบ้านกันดี ๆ แล้วถ้ามันกลับมาอีกก็โทรแจ้งตำรวจข้อหาบุกรุกไปเลย”“ค่ะป้าหงุ่น”สริดารับคำเพื่อให้ผู้อาวุโสสบายใจ เอาไว้ถ้าศรัณยังไม่ยอมเลิกราจริง ๆ ตอนนั้นเธอค่อยใช้ไม้แข็งกับเขาอย่างที่ป้าบอกก็แล้วกัน**“เมื่อไรจะหายเห่อลูกสักที ใจคอ
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่วิศวินต้องกลับออสเตรเลีย จากสนามบินเชียงใหม่ชายหนุ่มต้องไปต่อเครื่องที่สุวรรณภูมิ เขาไม่ได้ให้ใครมาส่งนอกจากลูกพี่ลูกน้อง“แล้วจะกลับมาอีกเมื่อไร”ธีทัตถาม วิศวินหัวเราะ“ฉันยังอยู่ไม่จุใจนายอีกเหรอ นี่ก็อยู่จนแม่นึกว่าฉันจะกลับมาอยู่เชียงใหม่แล้วนะ”“ก็ถาม ๆ ดู เผื่อว่าหนนี้มีอะไรจูงใจให้นายกลับมา”ธีทัตเอ่ยทีเล่นทีจริง“ตกลงแกกับส้มหวานนี่มันยังไงวะ”“ก็ไม่ไงนี่”วิศวินทำเป็นง่วนกับการตรวจเช็คความเรียบร้อยของกระเป๋าและตั๋วโดยสาร“ส้มหวานก็น่ารักดี คุยด้วยแล้วสบายใจ... น่าเห็นใจเขาที่เจอผู้ชายที่ไม่ดี”“ก็เพราะผู้ชายดี ๆ มันไม่กล้าจีบน่ะสิ ไอ้พวกไม่ดีเลยเอาไปกินเสียหมด”“มันก็ต้องมีคนดี ๆ หลงเหลือบ้างล่ะน่า... คนที่ใช้ชีวิตอยู่ใกล้กับเขาได้ ดูแลเขาได้...”วิศวินเอ่ยเบา ๆ เหมือนตั้งใจจะพูดกับตัวเองถ้าเป็นเมื่อก่อนธีทัตอาจจะยุให้ลูกพี่ลูกน้องเดินหน้าสานสัมพันธ์กับสริดาให้รู้แล้วรู้รอดและเขาจะช่วยเป็นพ่อสื่อให้ด้วยอีกแรง แต่หลังจากผ่านเรื่องอะไรต่อมิอะไรมาทั้งร้ายและดี ชายหนุ่มพ่อลูกอ่อนจึงคิดว่าปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติโดยตัวเขาเองไม่ต้องเข้าไปยุ่งจะดีกว่า
ระหว่างรอธีทัตซื้ออาหารอีสานมาสมทบ สริดาเข้าครัวเพื่อทำอาหารเพิ่มอีกสองสามเมนูเพราะป้าองุ่นก็จะมาร่วมโต๊ะด้วยเช่นกัน“มะนาวไปนั่งดูทีวีรอพี่ข้างนอกไป จะมานั่งทำไมในครัว”เธอบอกน้องสาว มนิษาบ่นอุบอิบแต่ก็ยอมหยิบข้าวต้มมัดที่นึ่งสุกแล้วใส่จานเดินออกจากครัว ปล่อยให้พี่สาวกับนิดหน่อยช่วยกันล้างผักหั่นผักกันไป นาทีต่อมาวิศวินก็เดินพับแขนเสื้อเข้ามา“พี่วิน จะรับอะไรหรือคะ”“เปล่าครับ พี่จะมาช่วยเป็นลูกมือน่ะ”“ขอบคุณนะคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ส้มกับนิดหน่อยทำสองคนก็ไหว พี่วินไปนั่งคุยกับมะนาวเถอะค่ะ”“มะนาวก็ไล่พี่มาช่วยส้มเหมือนกัน” วิศวินอ้างส่งเดช “ให้พี่ช่วยเถอะครับ พี่ทำครัวเป็นนะ”“จริงหรือคะ”เป็นนิดหน่อยที่ถาม ชายหนุ่มพยักหน้ายืนยันพลางเดินไปหยิบมีดทำครัวขึ้นมาหนึ่งเล่ม“ให้พี่หั่นผักให้ดูไหมล่ะ เดี๋ยวจะหาว่าโม้”สริดาเกรงใจแต่ก็ยอมหลีกทางให้ และฝีมือหั่นผักด้วยความเร็วและเนี้ยบระดับพ่อครัวมืออาชีพก็ทำให้สองสาวอ้าปากค้าง“โอ้โห...อย่างกับที่เขาแข่งทำอาหารในโทรทัศน์แน่ะพี่ส้ม”นิดหน่อยร้องอย่างตื่นเต้น วิศวินหัวเราะเบา ๆ“ตอนพี่จบไฮสกูล...หมายถึงม.ปลายน่ะ พี่ไปเรียนเป็นเชฟอยู่เกือบสามปีเ
ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากศรัณกลับไปกับครอบครัวของเขาในวันนั้นแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างเพราะเขาเองก็ไม่กล้าโผล่กลับมาให้เห็นหน้าอีก ทำเพียงส่งข้อความมาขอโทษสริดาและบอกว่าจะกลับมาอธิบายทุกอย่างทีหลัง“ส้มหวานเป็นไงบ้างวะไอ้ธี”วิศวินถามธีทัตหลังผ่านงานหมั้นไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ เพราะตั้งแต่วันนั้นเขาก็ยังไม่ได้เจอสริดาเลย ครั้นจะไปหาเธอที่บ้านหรือส่งข้อความไปก็ไม่แน่ใจว่าจะยิ่งทำให้เธอไม่สบายใจหรือเปล่า“เห็นมะนาวบอกว่าก็ยังสบายดีนะ อาจมีโกรธบ้างแต่รวม ๆ ก็เหมือนทำใจได้”“แปลก แล้วจะเอายังไงต่อกับผู้ชายคนนั้น ครอบครัวเขา เมียเขา จะมาเอาเรื่องอะไรอีกไหม”วิศวินยังถามต่อด้วยความเป็นห่วง ธีทัตส่ายหน้า“เท่าที่รู้ ทางนั้นไม่ได้ติดต่ออะไรมาอีก คงไม่อยากยุ่งกับเราเหมือนกัน มีแต่เมียฉันนี่ล่ะที่ร่ำ ๆ จะไปเอาเรื่องนายศรัณให้ได้ นี่ฉันขอไว้ว่าอย่าเพิ่งต่อความยาวสาวความยืด ไม่อย่างนั้นป่านนี้มะนาวตัวดีบุกศาลากลางแล้ว แม่เจ้าประคุณกะจะไปบู๊ทั้ง ๆ ที่ท้องโย้อยู่นั่นแหละ”ธีทัตหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน แต่ก็พอเข้าใจว่าถ้าผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนมาเจอสถานการณ์แบบนี้ก็คงจะขำไม่ออก นึกแล้วก็โชคดีจริง ๆ ที่น้อง
“ส้มครับ...ไม่ว่าใครจะพูดอะไร พี่อยากให้ส้มเชื่อใจพี่นะครับ”“ส้มไม่เข้าใจค่ะ”“พี่รักส้มนะ รักจริง ๆ แล้วพี่จะอธิบายทุกอย่างให้ฟังทีหลัง”“อธิบายเรื่องอะไรคะ พี่โซ่พูดให้ชัด ๆ ได้ไหม ส้มงงไปหมดแล้ว”แต่ศรัณไม่มีเวลาอธิบายเพราะหฤทัยจูงมือพี่สะใภ้ก้าวอาด ๆ มาหา ชายหนุ่มหน้าซีดเป็นกระดาษ อุรัศยามองสามีที่สวมใส่ชุดไทยประยุกต์หล่อเหลาจัดเต็มแถมยังยืนเคียงข้างหญิงสาวอีกคนแต่งตัวโทนเดียวกัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าสถานะของสองคนนี้คืออะไร...สริดาผงะไปเล็กน้อยเมื่อหญิงสาวที่เธอยังไม่รู้จักจู่ ๆ ก็สะอื้นเสียงดัง น้ำตาร่วงพรู มารดาของศรัณโอบกอดหญิงสาวคนนั้นไว้ ส่วนผู้หญิงอีกคนที่ดูอ่อนวัยที่สุด กำลังจ้องเธออย่างรังเกียจ“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ”“ที่ถามนี่ไม่รู้จริง ๆ เหรอ...”“ซ่า เดี๋ยวพี่พูดเอง”ศรัณพยายามปรามน้องสาว แต่ถึงตอนนี้แม้แต่ช้างก็ฉุดหฤทัยไม่อยู่แล้ว“จะพูดอะไร จะบอกเมียน้อยพี่หรือไงว่าที่กำลังร้องไห้อยู่นี่คือเมียตัวจริง เมียหลวง!”มีเสียงอุทานและฮือฮารอบข้างดังขึ้นเบา ๆ สีเลือดเผือดหายไปจากใบหน้าของสริดาทันที“ส้ม ฟังพี่ก่อนนะครับ...”เป็นอีกครั้งที่ศรัณยังไม่มีโอกาสได้แก้ตัว เพราะมนิษาท
แสงแดดอ่อนยามเช้าทาบทอทั่วลานสนามหญ้าที่ตัดแต่งอย่างประณีต เก้าอี้ไม้สีขาวรูปทรงวินเทจจัดเรียงเป็นระเบียบรองรับแขกเหรื่อได้หลายสิบคน ดอกกุหลาบขาว ลิลลี่ และไฮเดรนเยีย ถูกจัดแต่งสวยงามประดับประดาไว้ทุกมุมของบริเวณจัดงานเล็ก ๆ ที่แสนจะอบอุ่นและอ่อนหวานแห่งนั้นด้านหน้าเวทียังมีกุหลาบขาว คาเนชั่น และดอกยิปโซ คุมโทนให้เข้ากันกับโซฟาหรูสีงาช้างสำหรับคู่หมั้นและผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย ฉากหลังประดับด้วยอักษรภาษาอังกฤษตัวเอสสองตัวซ้อนกันแทนชื่อย่อของสริดากับศรัณศรัณอาสาดูแลเรื่องงานหมั้นในวันนี้ทั้งหมด เขาเลือกซื้อแพ็คเกจจัดงานที่ดูแลเบ็ดเสร็จทั้งสถานที่ อาหาร เครื่องแต่งกาย แต่งหน้าทำผม และยังดูแลไปถึงรูปแบบพิธีกรรมในการหมั้นหมายแบบไทย ๆ ชายหนุ่มนึกดีใจที่สริดากับป้าองุ่นเสนอให้จัดงานเล็ก ๆ ที่มีเฉพาะญาติและคนสนิทกันเท่านั้น ถึงกระนั้นฝ่ายของเขาก็มีเพียงนายอนุสรณ์ผู้เป็นพ่อเท่านั้นที่มาร่วมงานหมั้นของลูกชายได้อนุสรณ์บอกว่านารีติดโควิดจึงมาด้วยกันในวันนี้ไม่ได้ โชคดีที่ดูเหมือนว่าญาติของฝ่ายหญิงไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร แต่เขากระซิบบอกลูกชายแล้วตั้งแต่เมื่อวันก่อนที่มาถึงเชียงใหม่‘…แม่แกน่ะ หัวเด
“ฟังแล้วอย่าเพิ่งโกรธหรือพูดอะไรนะ ฟังแม่ให้จบก่อน”หฤทัยเริ่มนึกสนุก รีบนั่งขัดสมาธิใกล้แม่ หยิบหมอนมาหนุนข้อศอก ตั้งท่าฟังอย่างตั้งอกตั้งใจแต่รอยยิ้มสนุกก็ค่อย ๆ เลือนหายไปเมื่อนารีเล่าเรื่องที่ลูกชายมาขอให้ไปสู่ขอผู้หญิงคนหนึ่งที่เชียงใหม่ และยังขอร้องให้ปิดบังเรื่องนี้จากอุรัศยา ผู้ที่เป็นสะใภ้อย่างถูกต้องตามกฎหมายหฤทัยขบกรามกรอด ๆ และอดทนฟังอย่างไม่ปริปากตามที่แม่ขอไว้ จนเมื่อนารีพูดจบหญิงสาวก็แทบจะฉีกหมอนแทนการพุ่งไปห้องนอนพี่ชายแล้วทำร้ายเขาแทน“นี่เขาส่งมันไปทำงาน แต่มันดันไปมีเมียน้อยเนี่ยนะแม่! แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร รู้หรือเปล่าว่าไอ้โซ่มันมีลูกมีเมียแล้ว”เมื่อโกรธจัด การเรียกพี่ชายอย่างให้ความเคารพก็ดูเหมือนจะไม่จำเป็น“มันบอกว่าทางนั้นก็ยังไม่รู้ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือเปล่า”“ถ้าเขาไม่รู้ก็ยิ่งชั่วหนัก นอกใจเมียแล้วยังไปหลอกผู้หญิง แบบนี้มันผิดวินัยนะแม่ ถ้าผู้หญิงเขารู้เขาเอามันออกจากราชการได้เลยนะ”“มันรู้ทุกอย่างแหละซ่า พี่ชายแกมันรู้หมดอะไรผิดอะไรถูก แต่มันจะทำ แถมยังขอให้แม่ไปขอเมียให้”“แล้วแม่ก็จะไปหรือไง”“จะไปได้ยังไงล่ะ แค่คิดฉันก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว
เป็นไปตามคาด มนิษาโวยวายเสียงดังจนคนฟังหูแทบแตกเมื่อสริดาโทรศัพท์ไปบอกว่าอีกหนึ่งเดือนจะมีงานหมั้นของเธอกับศรัณ“มะนาว ใจเย็น ๆ ก่อนสิ”คนเป็นพี่พยายามเอ่ย“ถามจริงเถอะ นี่คิดดีแล้วใช่ไหม หมั้นกับไอ้...กับเขาน่ะ”“ไม่รู้ ไม่ได้คิด”“อ้าว! ทำไมพูดแบบนี้ล่ะพี่ส้ม เรื่องแบบนี้ไม่คิดได้ยังไง”สริดานิ่งไป... เงียบนานจนคนเป็นน้องเอะใจ“พี่ส้ม ฟังอยู่หรือเปล่า”“อือ...อยู่”“เป็นอะไร ตกลงมันยังไงกันแน่”“...”ไม่มีคำตอบ แต่มนิษาเหมือนได้ยินเสียงคนถอนหายใจหนัก ๆ ความโกรธหายไปทันที หญิงสาวที่กำลังท้องโตกดโทรศัพท์แนบหูแรงขึ้นราวกับยังได้ยินไม่ชัดพอ“พี่ส้มอยู่ที่ไหน เดี๋ยวนาวไปหา”“ไม่เอา ไม่ต้องมา พี่เป็นห่วง”“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เดี๋ยวให้พี่ธีไปส่งก็ได้ พี่ธีอยู่บ้าน...ให้นาวไปหานะ”“เจอกันที่ร้านกาแฟดีกว่า พี่ไม่อยากให้คนอื่นได้ยินน่ะ”นี่ก็แปลกที่สุด...ตลอดชีวิตของมนิษาไม่เคยเห็นพี่สาวทำตัวลับลมคมในแบบนี้ สริดาบอกชื่อร้านกาแฟแถวบ้าน หญิงสาวรับปากก่อนจะรีบวางสาย แต่งตัว และขอให้ธีทัตพาไปส่งที่ร้านอย่างรวดเร็ว**เพราะคิดว่าภรรยาของเขาควรได้พูดคุยกับพี่สาวอย่างเป็นส่วนตัว ธีทัตจึงขอตัวไปเดินเ