เสียงพูดคุยดังเข้าผ่านหูของหญิงสาวที่นอนหลับอยู่บนเตียง กลิ่นยาและน้ำหอมจากคนผสมกัน ทำให้ดมจนแทบอยากจะอ้วก ไม่นานนักเสียงที่น่ารำคาญก็ค่อยๆ หายไป จรีภรณ์พยายามปรือตาที่หนักอึ้งขึ้นอย่างช้าๆ มองไปยังเพดานสีขาวสะอาด ตอนนี้ก็พอจะเดาได้ว่าอยู่โรงพยาบาล เธอขยับปรับเปลือกตาเพื่อรับแสงก่อนจะมองเห็นพยาบาลที่กำลังเก็บของอยู่
“ฟื้นแล้วหรือคะ ? ฉันจะไปตามคุณหมอมานะคะ” จรีภรณ์เพียงแค่พยักหน้าตอบเพราะยังคงมึนงงกับร่างกายอยู่ หญิงสาวหลับตาลงในขณะที่พยาบาลเดินออกจากห้องไป กำลังพยายามนึกภาพก่อนเกิดอุบัติเหตุและก็จำได้ว่าดวงซวยที่ดันไปยืนอยู่ตรงนั้น จนถูกป้ายโฆษณาหล่นใส่เอาได้ ดีที่ยังไม่ตาย ไอ้ต๋อมเอ๊ย...เพิ่งเข้าโรงพยาบาลหนักๆ แบบนี้เป็นครั้งแรกเลย ประตูห้องเปิดเข้ามา เสียงมากมายก็ดังตามมาด้วย จรีภรณ์หันหน้าไปมองผู้มาเยือนที่ไม่รู้จัก “พริมฟื้นแล้วหรือลูก” หญิงสาวยิ่งคิ้วขมวดใหญ่มากกว่าเดิมเมื่อถูกหญิงวัยกลางคนทัก...ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ?? “คุณหมอคะ เธอเป็นอะไรทำไมไม่ยอมพูดคะ” จรีภรณ์ยังคงมองด้วยความงุนงงทั้งที่อยากจะเปิดปากพูดว่ากำลังทักคนผิดแต่ทว่าไม่มีแรงมากพอได้แค่นอนนิ่งๆ มองดูคนแปลกหน้าต่อไป สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะหลับตาลงหนีความวุ่นวายนี้เสีย “คงเพราะสมองสับสนจากอุบัติเหตุน่ะครับ อาจจะต้องใช้เวลาพักฟื้นก็จะหายเป็นปกติครับ” “คุณแม่คะ ให้ยัยพริมพักผ่อนก่อนดีกว่าไหมคะ ? ยัยพริมคงยังไม่หายดี” มารวีเอ่ยขึ้นเมื่อมองเห็นว่าคนป่วยได้นอนหลับไปแล้ว บวรลักษณ์พยักหน้าเห็นด้วย เพราะลูกสะใภ้อาจจะต้องใช้เวลา พักฟื้นและทำใจกับเรื่องเลวร้ายบ้าง พลันมองคนป่วยที่หลับตาลงแล้วก็อดสงสารไม่ได้ว่าเจ้าลูกชายไม่ยอมมาเยี่ยมบ้าง “พริมแม่ไปก่อนนะ แล้วจะมาเยี่ยมใหม่” เสียงประตูห้องปิดลง ทุกอย่างกลับมาเงียบสงบ จรีภรณ์หรี่ตาขึ้นมาและมองไปรอบๆ พลางถอนหายใจออกมา หญิงสาวไม่รู้ว่าคนกลุ่มนี้กำลังเข้าใจอะไรผิดกันแน่ที่อยู่ๆ มาทักคนผิด แต่เอาเถอะมันก็แค่เรื่องที่ไม่เข้าใจและไม่ต้องใส่ใจ จรีภรณ์ขยับตัวลุกขึ้นนั่งพลางยกมือขึ้นลูบศีรษะจับผ้าพันแผลแต่ก็ตกใจเมื่อเส้นผมที่ซอยสั้นนั้นดันยาวและดัดลอน เดี๋ยวนะ...ผมเธอไม่ใช่แบบนี้นี่ ! ยังตกใจกับผมที่เปลี่ยนไปไม่พอนิ้วมือจากที่ป้อมๆ สั้นๆ ก็ดูเหมือนจะเรียวขึ้น หญิงสาวจับไปทุกส่วนของร่างกายและรู้สึกว่ามันแปลก และเมื่อ มือทั้งสองข้างจับที่หน้าอกก็ต้องตกใจมากกว่าเดิม หน้าอกเธอไม่เคยโตแบบนี้มาก่อน แล้วนี่ทำไมถึงใหญ่กว่าเดิมคูณสองเท่า ! จรีภรณ์กำลังมึนงงและเรียบเรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พลางหันมองดูนาฬิกาหรือปฏิทินเพื่อนับวันเวลา หญิงสาวหันมองไปทางประตูและเห็นพยาบาลเดินเข้ามาจึงรีบพูดขึ้นทันที “วันนี้วันอะไรคะ ?” “วันเสาร์จ้ะ” “อ้อ ค่ะ ” จรีภรณ์กำลังไม่เข้าใจตัวเองแต่ก็ไม่ลืมที่จะขอกระจกจากพยาบาล “เออ...มีกระจกไหมคะ ?...” พยาบาลวัยกลางคนมองหน้าก่อนจะเดินไปหยิบกระจกมาให้แล้วเดินออกจากห้องไป “ขอบคุณค่ะ” จรีภรณ์ยิ้มและกล่าวของคุณ ไม่รอช้าที่จะรีบพลิกกระจกส่องมองตัวเองทันที ผู้หญิงตรงหน้าของเธอคือใครกัน จรีภรณ์ยกมือขึ้นลูบใบหน้าและตบแรงๆ ให้ตื่นจากฝัน เพียะ ! เจ็บระบมไปทั่วใบหน้าซีกขวา แต่เมื่อส่องกระจกอีกครั้งก็ยังเห็นใบหน้าสวยหวานผมสีน้ำตาลดำดัดลอนอยู่ “เฮ้ย !...” จรีภรณ์ร้องอุทานด้วยความตกใจ มือก็โยนกระจกทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดี คุณพระ ! นี่มันต้องเป็นความฝันแน่ๆ ความฝันที่ยังไม่ตื่น เสียงเปิดประตูเข้ามาอีกครั้งจรีภรณ์ไม่ได้สนใจมากไปกว่าการตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง...ไม่มีใครทักผิดตั้งแต่แรก แต่เป็นเพราะเธออยู่ในร่างของใครไม่เคยรู้จักพบเจอด้วยซ้ำ แล้วร่างของเธอล่ะไปไหนแล้ว ! “คุณแม่บอกผมว่าคุณประสบอุบัติเหตุ” จรีภรณ์สะดุ้งและค่อยๆ หันไปมองชายหนุ่มผู้มาเยือนใหม่ ใบหน้าหล่อขาวคมเข้มดวงตาสีน้ำตาลดำ จมูกโด่งในแบบชายไทย... “คุณเป็นใคร ?” จรีภรณ์เอ่ยถามขึ้นพลางส่งสายตามองคนตรงหน้า ชายหนุ่มมองหญิงสาวร่างเล็กพลางครุ่นคิดในใจโดยไม่ปริปากพูดอะไร “คุณเป็นใคร เพื่อนงั้นเหรอ” จรีภรณ์พูดด้วยน้ำเสียงห้วน พินิจมองชายหนุ่มตรงหน้าที่แต่งตัวดูภูมิฐานดี “คุณจำผมไม่ได้ ?” หญิงสาวมองด้วยความหมั่นไส้นิดๆ เมื่อเขาท่าทางนิ่งขรึมเก็กหล่อ ถ้ารู้จักจะถามไหมล่ะ !! “ถ้ารู้จักคงถามหรอก” จรีภรณ์พูดก่อนขยับตัวพยายามเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำที่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียง หยิบไม่ถึง…!! ทำไมผู้หญิงร่างนี้ถึงแขนสั้นนัก กตตน์มองคนป่วยบนเตียงก่อนจะก้าวไปหยิบแก้วและเทน้ำส่งให้ จรีภรณ์รับแก้วมาพลางมองโดยไม่กล่าวขอบคุณ เธอดื่มน้ำโดยไม่สนใจคนที่ยืนรอข้างเตียง “งั้นผมจะบอกคุณเผื่อบางทีคุณอาจจะลืม” กตตน์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งมองหญิงสาวที่ไม่สนใจอะไรนอกจากตั้งหน้าดื่มน้ำในแก้ว “ผมเป็นสามีของคุณ...”พรวด!! เมื่อได้ยินจรีภรณ์ก็สำลักน้ำออกมาทันที ยกมือขึ้นลูบหน้าอกเบาๆ ก่อนหันมองชายหนุ่มพลางเช็ดปาก “คุณพูดอีกทีสิ บางทีฉันอาจหูฝาดไป” หญิงสาวบอกให้เขาพูด อีกครั้งเพื่อความมั่นใจ “สามี...แค่ในนามเท่านั้น” กตตน์มองคนป่วยที่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ จรีภรณ์แทบจะเป็นลมทำอะไรไม่ถูก มือที่ถือแก้วอยู่ได้ร่วงลงไป ถ้าจะเป็นแบบนี้ให้ตายแล้วกลับมาอยู่ในร่าง หญิงคนนี้ยอมตายเสียดีกว่า ถึงเป็นแค่สามีในนามหรือสามีจริงๆ ก็เถอะ แบบนี้มันนรกชัดๆ ! “นี่คุณ...” หญิงสาวเอ่ยปากเรียกด้วยเสียงแผ่ว ดวงตากลอกไปมาแสดงถึงความไม่เชื่อ “ตบหน้าฉันทีสิ” กตตน์มองคนป่วยที่กระวนกระวายราวกับรับความจริงไม่ได้ “คุณจำอะไรไม่ได้เลยอย่างงั้นเหรอ ?” ชายหนุ่มถามอีกครั้ง เธออยากจะเอาหัวชนฝาจริงๆ ทำไมโชคชะตาเล่นตลกกันแบบนี้ ! “คุณคงสับสน พักเถอะ” กตตน์เอ่ยขึ้นก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไปเงียบๆ “มันไม่ตลกนะ ไม่ตลกเลยสักนิด ม่ายยยยยยย...” เมื่อประตูปิดลงแล้วจรีภรณ์ถึงกับต้องร้องออกมาเสียงดังครั้นเห็นสีหน้าของภรรยาก็รู้สึกสนุก เขายิ้มออกมาแล้วพูดขึ้น “คุณอยากให้ผมหยุดไหม?”นั่นเป็นคำถามที่เขาควรถามหรือไม่?!จรีภรณ์ก้มหน้านิ่งลงด้วยความอายร่างกายกำลังเรียกร้องหาเขา ถ้าให้เธอหยุดตอนนี้...หญิงสาวขยับตัวลงเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม“ไม่อยากมีกอหญ้าให้ต้นน้ำแล้วหรือคะ?” น้ำเสียงหวานพูดเชิญชวนชายหนุ่ม กตตน์ใจอ่อนทันตา เพราะเสียงและสายตาที่ชวนเขาขนาดนี้มีหรือจะปฏิเสธลงได้กตตน์ดันหญิงสาวชิดกับขอบโต๊ะเขาจูบเธอก่อนที่จะอุ้มร่างเล็กวางนอนกับโต๊ะทำงาน ของและกองเอกสารที่วางอยู่มุมโต๊ะถูกปัดหล่นที่พื้นโดยไม่มีใครสนใจชายหนุ่มฝั่งปลายจมูกลงที่ส่วนอ่อนไหวอีกครั้งหนึ่งคราวนี้เขาสามารถทำให้เธอตอบสนองและครางออกมาได้มากกว่าเดิม“คุณชอบไหม?”&nb
ต้นน้ำวิ่งออกมาจากห้องหันมองประตูด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความอดทน เพราะอยากจะมีน้องสาวไวๆ จึงต้องยอมนอนคนเดียวตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ทั้งยังต้องปล่อยให้พ่ออยู่แม่ด้วยกันนานๆ“กำลังอดทน?”จรีภรณ์ทวนคำพูดของลูกชายก่อนจะวางงานเเละลุกขึ้นทันทีทว่าประตูห้องเปิดเข้ามาเสียก่อน“มาเอาของหรือคะฉันจะไปดูลูกหน่อย”หญิงสาวพูดขณะเตรียมก้าวไปทว่ามือแกร่งของชายหนุ่มรั้งไว้เสียก่อน“ต้นน้ำไม่เป็นอะไรหรอกคุณโอ๋ลูกมาไปจนติดคุณเเล้วรู้ไหม"กตตน์พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มเเล้วเอ่ยต่อไปว่า“ต้นน้ำแกบอกว่าอยากมีน้องสาว…”จรีภรณ์ส่งสายตามองสามีเธอรับรู้ถึงน้ำเสียงกะล่อนของเขาได้“คุณไม่ได้พูดอะไรกับลูกใช่ไหม?!”“ผมเปล่าพูดอะไร&rdqu
จากวันนั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้วทุกอย่างไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนเเปลงไปมากกว่าเก่าเพียงเเต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนเเปลงไปคือความรู้สึกของเขาหลายปีมานี้จนกระทั่งมีลูกชายคนเเรกเธอรับรู้การเปลี่ยนไปของผู้ชายคนนี้มากรวมทั้งตัวของเธอด้วยเเต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของเธอไปตลอดคือ'พริมมา'ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ไม่มีวันลืมได้ว่าร่างกายนี้…เสียงลมหายใจนี้เป็นของหล่อนที่มอบให้เธอได้กลับมาอยู่กับเขาอีกครั้งหนึ่ง“แม่ค้าบบ”เสียงของเด็กชายวัยสี่ปีกว่าๆดังขึ้นขณะที่เสียงฝีเท้าวิ่งพราดเข้ามาหาผู้เป็นแม่มือน้อยๆดึงชายกระโปรงชุดนอนเป็นเชิงเรียกให้มารดาที่นั่งทำงานอยู่บนโซฟาหันมามอง“มีอะไรครับคนเก่งของแม่”จรีภรณ์ละสายตาจากเอกสารหันมองลูกชายตัวน้อยเด็กชายส่งสมุดวาดรูปให้กับผู้เป็นแม่
ขวัญข้าวจัดกระเป๋าขณะที่มือก็ถือกุญแจเอาไว้ แต่ถือไว้ไม่ดีจึงทำให้หล่นลงพื้น ไม่เพียงแค่นั้นขณะก้มลงเก็บสายสะพายกระเป๋าก็ร่วงลงมาด้วยทำให้น้ำหนักทั้งหมดอยู่ที่แขนซ้าย หญิงสาวมีใบหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะของที่เยอะทำให้หยิบจับอะไรไม่สะดวก แต่ก็โทษใครไม่ได้ที่ดันซื้อมาเยอะเองเพราะคิดว่าคืนนี้ต้องอยู่ดึกทำรายงานยาว เกรงว่าจะหิวเลยจัดซะเต็ม‘ของเธอใช่ไหม ?’ เสียงทุ้มเอ่ยทักขึ้นขณะที่ยื่นมือส่งกุญแจให้กับเธอ ขวัญข้าวพยักหน้ารับก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงเขาอีกแล้ว...!!‘ขอบคุณค่ะ’ หญิงสาวกล่าวพร้อมกับเอื้อมมือรับ‘พักอยู่ห้องนี้เหรอ’ ธนวินทร์เอ่ยถามขึ้น‘ค่ะ’‘เหรอ’ เขายิ้ม ‘เราพักอยู่ห้องข้างๆ เธอนะ’ขวัญข้าวยิ้มเจื่อนๆ ก่อนหันมาเปิดประตูห้อง แต่ก็นึกเพราะคนเก่าที่อยู่เป็นรุ่นพี่ผู้หญิง แสดงว่าเขาเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ได้ไม่นาน‘เธอชื่ออะไรเหรอ ?’ ชายหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับส่งยิ้มที่เป็นมิตรให้ คนตัวเล็กมองอยู่นานก่อนจะตอบกลับ‘ข้าวค่ะ’&lsquo
หลังเลิกเรียนวิชาสุดท้ายของวัน อาจารย์ผู้สอนเก็บของและเดินออกไปจากห้อง พะแพงลุกขึ้นวางของแล้วเดินเข้ามาหาเพื่อนในกลุ่มก่อนจะพูดขึ้นเสียงดัง‘วันนี้ไปส่องผู้ชายกัน !’‘ที่ไหน ! / ไปตอนไหน !’ แก้วและปรางพูดขึ้นพร้อมกันขณะที่ ขวัญข้าวนิ่งเงียบทำราวกับว่าไม่ได้ยินที่พะแพงพูด‘ข้าว แกต้องไปด้วยนะ’‘การบ้านยังไม่เสร็จเลย’ หญิงสาวหาข้ออ้าง‘แกทำการบ้านทุกวันนั่นแหละ ! อย่าอ้าง วันนี้ต้องไปด้วย ! เห็นว่าเด็กบริหารหล่อๆ มาเล่นกีฬาที่สนามเยอะเลย’หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆ มองหน้าเพื่อนรักทั้งสามคนทำตาปริบๆ‘ไม่ต้อง ! แกต้องไปส่องผู้ชาย ทำการบ้านไปด้วยได้บรรยากาศดีจะตาย’ แก้วพูดขึ้นขวัญข้าวทำหน้ามุ่ย ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะหาข้ออ้างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆเป็นเวลานานเกือบชั่วโมงที่นั่งรวมตัวอยู่กับเพื่อนแล้ว ‘ส่องผู้ชาย’ ขวัญข้าวแทบไม่มีอะไรทำจนต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมานั่งเล่นเกมเป็นการฆ่าเวลา จนกระทั่งผ่านไปถึงสองชั่วโมงเพื่อนทั้งสามของเธอก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับหอ หญิงสา
มีคนบอกว่าการพบกันของคนสองคนมาจากโชคชะตา แต่สำหรับเธอแล้วเหมือน ‘กรรม’ มากกว่า การพบกันไม่ใช่ว่าจะเกิดเรื่องราวดีๆ ระหว่างกันขึ้นเสมอไป มันอาจจะโชคร้ายและแสนเศร้ามากๆ เลยก็ได้ แม้จะมีความสุขแต่ทว่าผลสุดท้ายแล้วคือความเจ็บปวดดีๆ นี่เองเสียงฝีเท้าจากส้นสูงคู่หนึ่งก้าวหยุดอยู่ที่บ้านไม้สองชั้นบรรยากาศ ร่มรื่นมีไม้ดอก ไม้ประดับปลูกล้อมรอบไว้ อีกทั้งในบ้านก็มีต้นไม้ใหญ่หนึ่งต้นที่คอยให้ร่มเงา เธอเอื้อมมือกดกริ่งเรียกคนในบ้านและยืนรอ“กลับมาแล้วเหรอข้าว” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นขณะที่เดินมาเปิดประตูบ้านให้“กลับมาแล้วค่ะแม่” ขวัญข้าวขานรับทันทีที่ประตูเปิดออกหญิงสาวขนสัมภาระเข้ามาในบ้านแล้วเดินมากอดผู้เป็นมารดา“คิดถึงจังเลยค่ะ”สองปีได้ที่ต้องไปทำงานที่เมืองนอกโดยแทบไม่มีเวลากลับมาเลย ปีหนึ่งกลับมาแค่ช่วงปีใหม่เท่านั้น ต่อให้จะโทรคุยกันในช่วงที่มีเวลาว่างก็ตาม แต่ก็ไม่เท่ากับการพบหน้าคุยกันอยู่ดี“จ้ะ...แล้วนี่กลับมาทำงานที่นี่เลยไหม ?”“ค่ะ เพราะงานวิจัยที่นั่นเสร็จแล้ว&rdquo