กตตน์เดินเข้ามาในบ้าน หลังจากที่ไม่ได้กลับมานอนหลายคืน ด้วยเหตุที่อ้างว่าติดงานเยอะจึงอยู่พักที่คอนโดฯ ส่วนตัว สองเท้าก้าวยาวตรงผ่านห้องรับแขกไปทว่าเสียงของมารดาก็ดักขึ้นเสียก่อน
“กว่าจะกลับมาได้ วันๆ ซุกตัวอยู่กับนังผู้หญิงแพศยานั่น” บวรลักษณ์กล่าวว่าลูกชายด้วยความโมโห ทั้งที่หาคนเหมาะสมให้แต่งงานด้วยแล้วยังจะไปหาผู้หญิงคนนั้นอีก กตตน์หันมาด้วยสีหน้านิ่งๆ แม้จะรู้สึกไม่พอใจที่กล่าวว่าแบบนี้ “ผมกับแพรว เรารักกัน” คำพูดนี้พูดออกมาจากใจจริง ทว่า บวรลักษณ์ได้ยินแล้วไม่รู้สึกเห็นใจในความรักของลูกชายสักนิด “รักแกจริงใจ ! น้ำเน่า…ผู้หญิงแบบนั้นจะรักแก มันรักเงินของแกมากกว่าน่ะสิ !” บวรลักษณ์แทบเลือดขึ้นหน้า ทั้งที่บอกแล้วว่าผู้หญิงอย่างแพรวรุ้งไม่มีทางจริงใจได้ แต่ลูกชายก็ไม่ฟัง หนำซ้ำยังคิดจะแต่งเป็นเมียอีก กตตน์ไม่ฟังที่มารดาพูด เขาหมุนตัวเดินจากไปในทันที “กลับมาก่อนนะ ตาไม้” พูดไปก็เหมือนลมผ่านหูเมื่อลูกชายสุดที่รักเดินลับสายตาไปแล้ว บวรลักษณ์คิดแค่ว่าหากกตตน์แต่งงานเเล้วจะเลิกสนใจแพรวรุ้ง แต่ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะวุ่นวายมากกว่าเดิม หนำซ้ำพริมมาต้องมาทนทุกข์จากการกระทำของลูกชายตัวดีอีก “พูดไปก็ไม่ฟังหรอกค่ะคุณแม่” มารวี สะใภ้ของลูกชายคนโตเดินเข้ามาหา “สงสารก็แต่ยัยพริมนั่นเเหละค่ะ” บวรลักษณ์ถอนหายใจด้วยสีหน้าอ่อนล้า ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้กตตน์เลิกสนใจตัวแพรวรุ้งได้เสียที “ตอนนี้เรามาหาวิธีจัดการกับไม้ก่อนดีไหมคะ?” มารวียิ้มที่มุมปากก่อนพูดต่อไปว่า “ถ้าผู้ชายไม่เอาสักอย่าง ยัยแพรวก็ทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ” “นั่นสิ…” พยักหน้าเห็นด้วยกับลูกสะใภ้ ทั้งสองคนเดินกลับมานั่งที่โซฟาในห้องรับแขกเช่นเดิม ระหว่างคุยกันบวรลักษณ์ก็เหลือบมองทางดูว่าลูกชายจะเดินลงมาหรือยัง เเต่ก็ไม่มีวี่แวว ทั้งที่หาคู่ชีวิตดีๆ ให้เเล้วเเต่ไม่สนใจ…โชคดีที่พริมมาเป็นหญิงเรียบร้อย ไม่โวยวาย เเต่มันก็ไม่ได้ดีมากเพราะไม่ยอมสู้คน “คุยอะไรกันครับ ทำไมหน้าเครียดกันแบบนั้น ?” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยทัก ทำให้ทั้งคู่หันไปมอง บวรลักษณ์หันมองลูกชายคนโตที่เดินเข้ามาในห้องรับแขก “ก็จะเรื่องใครอีกละ มีแต่เรื่องตาไม้ไง” กันตภณมองหน้าภรรยาและมารดาอีกครั้งก่อนจะยิ้มหัวเราะออกมา “เรื่องนี้อีกแล้วหรือครับ” “ก็จะมีเรื่องไหนอีกล่ะ แม่กับเมย์กำลังคิดหาวิธีอยู่นี่ไง” บวรลักษณ์บอกลูกชายคนโตด้วยเสียงเครียด “แม่ครับ เรื่องแบบนี้ต้องให้เจ้าไม้ตัดสินใจเอง...” “ถึงตอนนั้นได้หมดตัวก่อนนะคุณ !” มารวีพูดขึ้นแทรก “คุณก็เห็นด้วยกับคุณแม่ไปหมด” กันตภณกล่าว “หึ ! คุณจะรู้อะไร” คนเป็นภรรยาเชิดหน้าใส่สามี “เอาน่า...แม่ว่าอย่าเพิ่งเถียงกันเลย...” “ถ้าคุณแม่ไม่สบายใจเรื่องไม้ เดี๋ยวผมจะลองคุยให้นะครับ” บวรลักษณ์ถอนหายใจออกมา ถึงกันตภณจะพูดแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้สบายใจขึ้นแม้แต่น้อย ขนาดแม่ยังไม่คิดจะฟังเลย แล้วนี่พี่ชายจะยอมซะที่ไหนกัน “นี่ก็ได้เวลามื้อเย็นเเล้ว…ป่านนี้ป้ามาลัยคงตั้งโต๊ะเสร็จเเล้วละค่ะ” มารวีพูดขึ้น บวรลักษณ์พยักหน้า เเล้วหันไปสั่งให้สาวใช้ไปตามกตตน์ลงมารับประทานอาหารมื้อเย็น ก่อนที่จะเดินไปยังห้องอาหารพร้อมกับกันตภณเเละมารวี บนโต๊ะอาหารมื้อเย็นทุกคนพร้อมหน้า เเต่ทว่าไม่มีเสียงพูดคุยหรือบนสนทนากัน จนกระทั่งสะใภ้คนโตเกริ่นขึ้น “อีกไม่นานยัยพริมก็คงออกจากโรงพยาบาลเเล้วนะคะ” “นั่นสิ” บวรลักษณ์ตอบหันไปพูดกับกตตน์ว่า “ไม้แม่อยากให้เรากลับมาอยู่บ้าน ถึงจะไม่ได้ชอบอะไรหนูพริมเขา แต่ก็ควรจะมาดูแลบ้าง” กตตน์เงียบไม่พูดหรือรับปากอะไรทั้งนั้น “พี่ว่าไม้น่าจะกลับมานอนบ้านบ้างนะ ยังไง...” “ผมอิ่มแล้ว ขอตัวก่อน” กตตน์เช็ดปากและลุกขึ้นเดินไปทันที “เห็นไหมคะ ! บอกแล้วว่ายังไงก็ไม่มีทางฟัง” มารวีพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ตั้งแต่แต่งงานเข้ามาเป็นสะใภ้ของบ้านหลังนี้หญิงสาวก็เข้าได้ดีกับแม่สามีและรักครอบครัวนี้มาก หนำซ้ำยังโชคดีที่มีสามีไม่นอกใจเช่นกตตน์ด้วย บวรลักษณ์ได้เพียงแต่มองลูกชายคนเล็กเดินลับสายตาไปพลางถอนหายใจออกมา “พรุ่งนี้พริมก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว เดี๋ยวผมทำงานเสร็จจะไปรับ...” “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวแม่จะไปรับเอง” “ฉันก็จะลางานไปครึ่งวันด้วย” “แบบนั้นก็ได้ครับ” ชายหนุ่มขานรับ “คุณแม่คะ ช่วงนี้ให้ไม้กลับมาอยู่บ้านก่อนจะดีไหมคะ ? ยังไงเป็นสามีภรรยากันก็น่าจะมาดูแลกันหน่อย ถ้ากลับมาบ้านแล้วยัยพริมอยู่ห้อง คนเดียวเป็นอะไรขึ้นมามันจะแย่เอานะคะ” มารวีกล่าว “พูดอย่างกับตาไม้จะยอมง่ายๆ” แม้จะเห็นด้วยกับสะใภ้คนโตบอก ทว่ากตตน์คงไม่ยอมมาพักอยู่ที่บ้านแน่ๆ “ก็ถ้าไม่มาคุณแม่ก็ตัดหุ้นส่วนออกไปเลยค่ะ ดูสิจะมีปัญญาเอาเงินไปประเคนให้นังผู้หญิงคนนั้นอีกไหม ?!” มารวีพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “มันจะไม่แรงไปหรือไง ?” กันตภณพูดขึ้นเพราะวิธีนี้ออกจะดูโหดร้ายกับน้องชายไปสักหน่อย “ไม่หรอกค่ะ แบบนี้แหละ ไม่งั้นก็ไม่ยอมเหมือนเดิม” บวรลักษณ์นั่งครุ่นคิด จนอาหารในจานแทบไม่ลดลง “แม่เห็นด้วยกับเมย์ เราคงต้องใช้ไม้แข็งดูบ้าง” กันตภณไม่เสนอความคิดเห็นหรือพูดอะไร เมื่อมารดาตัดสินใจแล้ว เพียงแต่คิดว่ากตตน์จะทำอย่างไรต่อไปก็เท่านั้นครั้นเห็นสีหน้าของภรรยาก็รู้สึกสนุก เขายิ้มออกมาแล้วพูดขึ้น “คุณอยากให้ผมหยุดไหม?”นั่นเป็นคำถามที่เขาควรถามหรือไม่?!จรีภรณ์ก้มหน้านิ่งลงด้วยความอายร่างกายกำลังเรียกร้องหาเขา ถ้าให้เธอหยุดตอนนี้...หญิงสาวขยับตัวลงเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม“ไม่อยากมีกอหญ้าให้ต้นน้ำแล้วหรือคะ?” น้ำเสียงหวานพูดเชิญชวนชายหนุ่ม กตตน์ใจอ่อนทันตา เพราะเสียงและสายตาที่ชวนเขาขนาดนี้มีหรือจะปฏิเสธลงได้กตตน์ดันหญิงสาวชิดกับขอบโต๊ะเขาจูบเธอก่อนที่จะอุ้มร่างเล็กวางนอนกับโต๊ะทำงาน ของและกองเอกสารที่วางอยู่มุมโต๊ะถูกปัดหล่นที่พื้นโดยไม่มีใครสนใจชายหนุ่มฝั่งปลายจมูกลงที่ส่วนอ่อนไหวอีกครั้งหนึ่งคราวนี้เขาสามารถทำให้เธอตอบสนองและครางออกมาได้มากกว่าเดิม“คุณชอบไหม?”&nb
ต้นน้ำวิ่งออกมาจากห้องหันมองประตูด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความอดทน เพราะอยากจะมีน้องสาวไวๆ จึงต้องยอมนอนคนเดียวตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ทั้งยังต้องปล่อยให้พ่ออยู่แม่ด้วยกันนานๆ“กำลังอดทน?”จรีภรณ์ทวนคำพูดของลูกชายก่อนจะวางงานเเละลุกขึ้นทันทีทว่าประตูห้องเปิดเข้ามาเสียก่อน“มาเอาของหรือคะฉันจะไปดูลูกหน่อย”หญิงสาวพูดขณะเตรียมก้าวไปทว่ามือแกร่งของชายหนุ่มรั้งไว้เสียก่อน“ต้นน้ำไม่เป็นอะไรหรอกคุณโอ๋ลูกมาไปจนติดคุณเเล้วรู้ไหม"กตตน์พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มเเล้วเอ่ยต่อไปว่า“ต้นน้ำแกบอกว่าอยากมีน้องสาว…”จรีภรณ์ส่งสายตามองสามีเธอรับรู้ถึงน้ำเสียงกะล่อนของเขาได้“คุณไม่ได้พูดอะไรกับลูกใช่ไหม?!”“ผมเปล่าพูดอะไร&rdqu
จากวันนั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้วทุกอย่างไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนเเปลงไปมากกว่าเก่าเพียงเเต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนเเปลงไปคือความรู้สึกของเขาหลายปีมานี้จนกระทั่งมีลูกชายคนเเรกเธอรับรู้การเปลี่ยนไปของผู้ชายคนนี้มากรวมทั้งตัวของเธอด้วยเเต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของเธอไปตลอดคือ'พริมมา'ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ไม่มีวันลืมได้ว่าร่างกายนี้…เสียงลมหายใจนี้เป็นของหล่อนที่มอบให้เธอได้กลับมาอยู่กับเขาอีกครั้งหนึ่ง“แม่ค้าบบ”เสียงของเด็กชายวัยสี่ปีกว่าๆดังขึ้นขณะที่เสียงฝีเท้าวิ่งพราดเข้ามาหาผู้เป็นแม่มือน้อยๆดึงชายกระโปรงชุดนอนเป็นเชิงเรียกให้มารดาที่นั่งทำงานอยู่บนโซฟาหันมามอง“มีอะไรครับคนเก่งของแม่”จรีภรณ์ละสายตาจากเอกสารหันมองลูกชายตัวน้อยเด็กชายส่งสมุดวาดรูปให้กับผู้เป็นแม่
ขวัญข้าวจัดกระเป๋าขณะที่มือก็ถือกุญแจเอาไว้ แต่ถือไว้ไม่ดีจึงทำให้หล่นลงพื้น ไม่เพียงแค่นั้นขณะก้มลงเก็บสายสะพายกระเป๋าก็ร่วงลงมาด้วยทำให้น้ำหนักทั้งหมดอยู่ที่แขนซ้าย หญิงสาวมีใบหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะของที่เยอะทำให้หยิบจับอะไรไม่สะดวก แต่ก็โทษใครไม่ได้ที่ดันซื้อมาเยอะเองเพราะคิดว่าคืนนี้ต้องอยู่ดึกทำรายงานยาว เกรงว่าจะหิวเลยจัดซะเต็ม‘ของเธอใช่ไหม ?’ เสียงทุ้มเอ่ยทักขึ้นขณะที่ยื่นมือส่งกุญแจให้กับเธอ ขวัญข้าวพยักหน้ารับก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงเขาอีกแล้ว...!!‘ขอบคุณค่ะ’ หญิงสาวกล่าวพร้อมกับเอื้อมมือรับ‘พักอยู่ห้องนี้เหรอ’ ธนวินทร์เอ่ยถามขึ้น‘ค่ะ’‘เหรอ’ เขายิ้ม ‘เราพักอยู่ห้องข้างๆ เธอนะ’ขวัญข้าวยิ้มเจื่อนๆ ก่อนหันมาเปิดประตูห้อง แต่ก็นึกเพราะคนเก่าที่อยู่เป็นรุ่นพี่ผู้หญิง แสดงว่าเขาเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ได้ไม่นาน‘เธอชื่ออะไรเหรอ ?’ ชายหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับส่งยิ้มที่เป็นมิตรให้ คนตัวเล็กมองอยู่นานก่อนจะตอบกลับ‘ข้าวค่ะ’&lsquo
หลังเลิกเรียนวิชาสุดท้ายของวัน อาจารย์ผู้สอนเก็บของและเดินออกไปจากห้อง พะแพงลุกขึ้นวางของแล้วเดินเข้ามาหาเพื่อนในกลุ่มก่อนจะพูดขึ้นเสียงดัง‘วันนี้ไปส่องผู้ชายกัน !’‘ที่ไหน ! / ไปตอนไหน !’ แก้วและปรางพูดขึ้นพร้อมกันขณะที่ ขวัญข้าวนิ่งเงียบทำราวกับว่าไม่ได้ยินที่พะแพงพูด‘ข้าว แกต้องไปด้วยนะ’‘การบ้านยังไม่เสร็จเลย’ หญิงสาวหาข้ออ้าง‘แกทำการบ้านทุกวันนั่นแหละ ! อย่าอ้าง วันนี้ต้องไปด้วย ! เห็นว่าเด็กบริหารหล่อๆ มาเล่นกีฬาที่สนามเยอะเลย’หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆ มองหน้าเพื่อนรักทั้งสามคนทำตาปริบๆ‘ไม่ต้อง ! แกต้องไปส่องผู้ชาย ทำการบ้านไปด้วยได้บรรยากาศดีจะตาย’ แก้วพูดขึ้นขวัญข้าวทำหน้ามุ่ย ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะหาข้ออ้างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆเป็นเวลานานเกือบชั่วโมงที่นั่งรวมตัวอยู่กับเพื่อนแล้ว ‘ส่องผู้ชาย’ ขวัญข้าวแทบไม่มีอะไรทำจนต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมานั่งเล่นเกมเป็นการฆ่าเวลา จนกระทั่งผ่านไปถึงสองชั่วโมงเพื่อนทั้งสามของเธอก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับหอ หญิงสา
มีคนบอกว่าการพบกันของคนสองคนมาจากโชคชะตา แต่สำหรับเธอแล้วเหมือน ‘กรรม’ มากกว่า การพบกันไม่ใช่ว่าจะเกิดเรื่องราวดีๆ ระหว่างกันขึ้นเสมอไป มันอาจจะโชคร้ายและแสนเศร้ามากๆ เลยก็ได้ แม้จะมีความสุขแต่ทว่าผลสุดท้ายแล้วคือความเจ็บปวดดีๆ นี่เองเสียงฝีเท้าจากส้นสูงคู่หนึ่งก้าวหยุดอยู่ที่บ้านไม้สองชั้นบรรยากาศ ร่มรื่นมีไม้ดอก ไม้ประดับปลูกล้อมรอบไว้ อีกทั้งในบ้านก็มีต้นไม้ใหญ่หนึ่งต้นที่คอยให้ร่มเงา เธอเอื้อมมือกดกริ่งเรียกคนในบ้านและยืนรอ“กลับมาแล้วเหรอข้าว” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นขณะที่เดินมาเปิดประตูบ้านให้“กลับมาแล้วค่ะแม่” ขวัญข้าวขานรับทันทีที่ประตูเปิดออกหญิงสาวขนสัมภาระเข้ามาในบ้านแล้วเดินมากอดผู้เป็นมารดา“คิดถึงจังเลยค่ะ”สองปีได้ที่ต้องไปทำงานที่เมืองนอกโดยแทบไม่มีเวลากลับมาเลย ปีหนึ่งกลับมาแค่ช่วงปีใหม่เท่านั้น ต่อให้จะโทรคุยกันในช่วงที่มีเวลาว่างก็ตาม แต่ก็ไม่เท่ากับการพบหน้าคุยกันอยู่ดี“จ้ะ...แล้วนี่กลับมาทำงานที่นี่เลยไหม ?”“ค่ะ เพราะงานวิจัยที่นั่นเสร็จแล้ว&rdquo