ณ งานเลี้ยงที่เรือนของท่านผู้เฒ่าผู้นำหมู่บ้าน ข้างเรือนที่เป็นลานกว้างสามารถจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ของคนในหมู่บ้านได้อย่างพอดิบพอดี
เมิ่งจิ่วซือพาคนของนางมาร่วมงานเลี้ยงด้วยเพื่อที่จะได้เปิดหูเปิดตา ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในเรือน พร้อมกับนำขนมหวานและอาหารคาวที่สั่งมาจากในเมืองมาร่วมในงาน อาหารรสชาติบ้าน ๆ ถูกอาหารหน้าตาหลากหลายทั้งคาวหวานดึงดูดใจ ทำเอาผู้คนต่างน้ำลายสอ
"ขอบคุณเมิ่งฮูหยินที่มาร่วมงาน ทั้งยังช่วยเหลือเรื่องอาหารน่ากินทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ" คำกล่าวนี้จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากป้ากัวสายข่าววงในประจำหมู่บ้าน
"ขอเพียงพวกท่านทานให้อร่อยก็พอ" หญิงสาวเอ่ยเรียบ ๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้ โต๊ะของหญิงสาวถูกจัดแยกอย่างโดดเดี่ยวแต่นางไม่อยากเป็นจุดสนใจมากเกินไป จึงได้ขอร่วมโต๊ะกับท่านผู้เฒ่าและภรรยา หญิงชราผู้เป็นภรรยาของท่านผู้เฒ่าผู้นำหมู่บ้านนั้น นางเป็นบุตรสาวคนที่สามของรองแม่ทัพผู้หนึ่งในสมัยก่อนที่บิดาจะสิ้นใจในสนามรบ เพราะท่านผู้เฒ่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของบิดาจึงได้ตบแต่งกัน นางพอมีความรู้อยู่บ้าง ศาสตร์ศิลป์ก็พอได้ร่ำเรียน ทั้งยังเคยได้เข้าร่วมงานเลี้ยงใหญ่ ๆ ก่อนจะแต่งงานออกเรือนจึงทำให้สายตาที่มองคนนั้นค่อนข้างเฉียบแหลม เพียงแค่ฮูหยินผู้เฒ่าลู่ได้พบกับเมิ่งจิ่วซือนางก็รับรู้ได้จากกิริยาท่าทางอันสูงส่งของหญิงสาวในทันทีว่าสตรีตรงหน้ามีฐานะไม่ธรรมดา แม้ก่อนหน้านี้สามีจะเอ่ยเตือนคนในเรือนว่าห้ามล่วงเกินเมิ่งฮูหยินโดยเด็ดขาด แต่นางก็ยังคงคลางแคลงใจอยู่มากจนกระทั่งได้พบกันในวันนี้จึงได้เข้าใจคำพูดของผู้เป็นสามีอย่างแท้จริง สตรีผู้นี้เป็นคนที่ไม่ว่าใครก็มิสามารถล่วงเกินได้นับว่าไม่เกินจริงนัก
"นายหญิง" ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยทักทายนาง ก่อนจะมองเลยไปยังเด็กน้อยที่อาฉืออุ้มอยู่ ดวงตาสุกสกาว ใบหน้าที่งดงามแม้ว่ายังเยาว์ ผิวที่ขาวเนียนราวกับหิมะ ท่าทางฉลาดเฉลียว เช่นนี้จะเป็นคนธรรมดาเช่นพวกนางได้อย่างไรกัน
"ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าได้มากพิธี เรียกข้าเมิ่งฮูหยินก็พอเจ้าค่ะ"
"คุณหนูน้อยช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก" นางกล่าวชมอย่างจริงใจพร้อมกับยกยิ้ม
"ขอบคุณเจ้าค่ะ"
"เชิญเมิ่งฮูหยินนั่งด้วยกันเถิด ที่นี่เป็นชนบทอาจมีหลายสิ่งหลายอย่างไม่ได้เป็นพิธีรีตองมากนัก ขอเมิ่งฮูหยินอย่าได้ถือสา"
"มิกล้าเจ้าค่ะ ขอเพียงผู้คนมีความสุขก็พอแล้ว ว่าแต่งานเลี้ยงในวันนี้มีความสำคัญอย่างไรหรือเจ้าคะ"
"เป็นงานฉลองที่คนในหมู่บ้านของเราสอบได้ตำแหน่ง จวี่เหริน ถึงสองคนเชียว"
"จริงหรือ ช่างเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนักเจ้าค่ะ"
"ถูกต้องแล้ว"
"แล้วเป็นผู้ใดงั้นหรือเจ้าคะ"
"คนหนึ่งคือลู่จิ้งหลินเป็นหลานชายของข้าเอง ส่วนอีกคนคือสหายของจิ้งหลิน นามว่ามู่เสี่ยวเฟิง"
"เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ข้าไม่ทราบมาก่อนว่ามีเรื่องน่ายินดีเช่นนี้ จึงมิได้เตรียมของขวัญมามอบให้..." หว่านหว่านหันกลับไปที่อาฉือก่อนจะให้หญิงสาวกลับไปที่เรือนรอบหนึ่งเพื่อนำของขวัญมาสองกล่อง
"มิกล้า ๆ เพียงท่านมาร่วมยินดีก็นับว่ามีน้ำใจมากแล้ว"
ในงานเลี้ยงเป็นไปอย่างสนุกสนาน มีเพียงชุยฟางที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เดิมทีนางนั้นงดงามที่สุดในหมู่บ้านคิดว่าวันนี้ตนเองจะต้องโดดเด่นเป็นอย่างมาก เพราะในงานเลี้ยงนอกจากจะมีบุรุษจากสำนักศึกษาเดียวกับญาติผู้พี่นางแล้ว ยังมีสหายที่อยู่ต่างอำเภอของเขามาร่วมงานด้วย โชคดีที่คนเหล่านั้นยังเดินทางมาไม่ถึง ชุยฟางต้องการให้ตนเองโดดเด่นที่สุดจึงได้คิดหาวิธีทำให้เมิ่งจิ่วซือขายหน้าขึ้นมา
"เมิ่งฮูหยินช่างดียิ่งนัก มีบุตรสาวทั้งน่ารักเช่นนี้ไม่ทราบว่าสามีของท่านไปไหนเสียแล้วเล่า?"
ฮูหยินผู้เฒ่าลู่ที่ได้ยินหลานสาวที่ปกตินางเอ็นดูเป็นอย่างยิ่งเอ่ยออกมาอย่างไม่ให้เกียรติเมิ่งจิ่วซือด้วยการถามหาสามีของสตรีตรงหน้า หญิงชราก็รู้สึกโมโหจนควันออกหูก่อนจะคิดในใจว่าเหตุใดนางจึงได้มีหลานสาวที่โง่งมเช่นนี้ได้
"สามีของข้าอยู่ที่ใดนั้นข้าคงไม่จำเป็นต้องบอกเล่าแก่ผู้ใดกระมังเพราะข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของครอบครัวข้า ไม่ทราบว่าแม่นางชุยฟางเหตุใดจึงได้อยากรู้อยากเห็นเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นนักเล่า" ชุยฟางที่ถูกเมิ่งจิ่วซือตอกกลับอย่างไม่ไว้หน้าก็ถึงกับหน้าม้านอ้าปากค้าง นางคิดว่าสตรีงดงามอ่อนหวานเช่นเมิ่งจิ่วซือหากได้ยินคำถากถางเกี่ยวกับสามีจะต้องรู้สึกอับอายเป็นแน่ ด้วยหลายเดือนมานี้ผู้คนในหมู่บ้านเองก็ไม่เคยเห็นสามีของนางเช่นกัน บางทีสตรีที่ดูสูงส่งผู้นี้อาจจะเป็นภรรยาลับ ๆ ของผู้สูงศักดิ์สักคนในเมืองใหญ่ก็เป็นได้
"ฟางเอ๋อร์! อย่าเสียมารยาทกับเมิ่งฮูหยิน!" ฮูหยินผู้เฒ่าดุหลานสาวใบหน้าของหญิงชราแทบจะอดกลั้นโทสะเอาไว้ไม่ไหว
"นายหญิง ข้าน้อยต้องขออภัยแทนหลานสาวด้วย นางไม่ค่อยรู้ความนัก"
"ข้าย่อมไม่ถือสาเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าได้คิดมากเลย" ชุยฟางที่สิ้นท่าตั้งแต่กระบวนท่าแรกได้แต่ขบเม้มริมฝีปากอย่างแรง ก่อนจะได้ยินเสียงเอะอะว่าเหล่าบัณฑิตเดินทางมาถึงกันแล้ว
"อ๊ะ! ญาติผู้พี่มาถึงแล้วเจ้าค่ะ" ลู่จิ้งหลินและมู่เสี่ยวเฟิงไปรับสหายที่มาจากสำนักศึกษาเพื่อมาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ กลุ่มบัณฑิตท่าทางดีนับสิบคนเดินตรงมายังโต๊ะของฮูหยินผู้เฒ่า ก่อนจะทำความเคารพหญิงชราอย่างพร้อมเพรียงกันทำให้หญิงชราเอ่ยชื่นชมและให้กำลังใจพวกเขา
"หลานคารวะท่านย่า"
"ผู้น้อยคารวะฮูหยินผู้เฒ่าขอรับ"
"มากันแล้วหรือ วันนี้กินดื่มกันให้เต็มที่ อ้อ! ย่าจะแนะนำเมิ่งฮูหยิน ให้พวกเจ้าได้รู้จัก อาหารคาวหวานในวันนี้กึ่งหนึ่งได้รับการสนับสนุนจากนายหญิงผู้นี้ พวกเจ้าก็ขอบคุณนางเสียสิ"
"ไม่ต้องขอบคุณหรอกเจ้าค่ะ เรื่องเล็กน้อยคนกันเองทั้งนั้น" หว่านหว่านเอ่ยออกมาจากใจ ก่อนนางจะยกยิ้มให้ทุกคนอย่างรู้มารยาท เหล่าชายหนุ่มที่อายุราวสิบถึงสิบเก้าต่างเติบโตมาในเมืองที่ห่างไกล แม้จะเคยเห็นหญิงงามมาไม่น้อยแต่สตรีงดงามล่มเมืองเช่นนี้พวกเขากลับพึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ชายหนุ่มเหล่านั้นกำลังตกตะลึงในความงามของหญิงสาวตรงหน้าทำให้เผลอมองนานเกินไปจนเสียมารยาท
"ผู้น้อยขอบคุณเมิ่งฮูหยิน"
"ขอบคุณเมิ่งฮูหยิน" ลู่จิ้งหลินไม่อาจละสายตาจากใบหน้างดงามของอีกฝ่ายได้เลย แม้ว่าไม่อาจจับจ้องโดยตรงหากแต่สายตาก็ยังตกอยู่ที่ร่างของนางไม่เปลี่ยนจนกระทั่งพวกเขาได้ยินเสียงของเด็กน้อยผู้หนึ่งดังขึ้น
"ม้า ม้า แอ้!" หว่านหว่านหันไปให้ความสนใจกับบุตรสาวตัวน้อย นางโผเข้ากอดลำคอของมารดาจนแน่นก่อนจะเริ่มงอแง หญิงสาวปลอบประโลมอยู่นานบุตรสาวจึงได้เงียบเสียงลง
ตู๋กูรั่วหวาหันไปมองดูเหล่าบัณฑิตกลุ่มนั้น ก่อนจะหรี่ดวงตากลมเล็กของนางจับจ้องราวกับกำลังหวงแหนมารดาและเมื่อเห็นว่ามีบางคนที่ยังจ้องมองมารดาไม่เลิก เด็กน้อยจึงได้ถลึงตาใส่ก่อนจะร้องเสียงอ้อแอ้ ชี้ไม้ชี้มือทำเอาพวกเขารู้สึกตกใจไม่น้อยที่อยู่ ๆ ก็ถูกเด็กอายุเพียงขวบปีตวาดใส่
หว่านหว่านที่เห็นท่าไม่ดี หันไปพยักหน้าให้สาวใช้นำของขวัญมอบให้กับคุณชายทั้งสอง ก่อนจะขอตัวกลับเพราะบุตรสาวดูท่าคงจะง่วงนอนเสียแล้ว
"ของขวัญนี้มอบให้คุณชายทั้งสองเพื่อเป็นการแสดงความยินดี รวมถึงเงินทองเล็ก ๆ น้อย ๆ เอาไว้ใช้จ่ายในการเดินทางและเพื่อเตรียมเข้าสอบเจ้าค่ะ"
ลู่จิ้งหลินและมู่เสี่ยวเฟิงรับมาอย่างเกรงใจ ก่อนจะเปิดดูก็พบกับสี่สิ่งล้ำค่าแห่งห้องหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นพู่กันขนจิ้งจอก กระดาษ หมึกฝนและแท่นหมึกหยกอย่างดี พร้อมกับถุงเงินที่หนักอึ้ง ในนั้นเป็นก้อนเงินราวสิบตำลึง ชายหนุ่มทั้งสองสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะนึกในใจว่าอีกฝ่ายนั้นจะร่ำรวยมากเพียงใดกันของเหล่านี้ยังเรียกว่าเล็กน้อยได้อีกงั้นหรือ
"เอ่อ..." หว่านหว่านเห็นชายหนุ่มทั้งสองคิดที่จะปฏิเสธนางจึงได้เอ่ยขึ้นอีก
"อย่าได้ปฏิเสธเลยเจ้าค่ะ ข้ายังคิดว่าจะพูดคุยกับท่านผู้เฒ่าว่าหากมีคนในหมู่บ้านคนใดที่ต้องการศึกษาเล่าเรียนแต่ยังขาดทุนทรัพย์ ข้าเองก็ยินดีให้การสนับสนุนเจ้าค่ะ เพียงแต่วันนี้อาจจะต้องขอลากลับเสียก่อนบุตรสาวของข้าเริ่มงอแงแล้ว นางไม่ค่อยคุ้นชินกับคนหมู่มากเท่าใดนัก"
"ข้าน้อยจะออกไปส่งท่านเอง" ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว แต่ลู่จิ้งหลินเอ่ยขัด
"ท่านย่า ประเดี๋ยวข้าจะเดินออกไปส่งเมิ่งฮูหยินให้เองขอรับ"
"เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าแล้ว"
"เช่นนั้นข้าขอลา แล้วพบกันใหม่เจ้าค่ะ"
"ข้าจะไปกับญาติผู้พี่เจ้าค่ะ"
"เช่นนั้นพวกเจ้าก็ออกไปส่งเมิ่งฮูหยินด้วยกันเถิด"
หว่านหว่านเป็นคนอุ้มบุตรสาวแล้วเดินออกมาเพื่อขึ้นรถม้าที่หน้าเรือน ก่อนจะก้าวขึ้นรถม้าจึงได้หันมาก้มศีรษะให้ชายหนุ่มเป็นการขอบคุณ พร้อมกับสาวใช้ที่ขึ้นรถม้าตามไปจนครบทุกคน
ลู่จิ้งหลินมองตามรถม้าของหญิงสาวจนกระทั่งรถม้าแล่นออกไปไกลลับตาแล้ว สายตาของเขาก็ยังไม่หันกลับมาเสียที ชุยฟางเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกโมโหยิ่งนัก เหล่าบัณฑิตกลุ่มนั้นเอาแต่กล่าวถึงเมิ่งจิ่วซือไม่มีใครสนใจนางเลยแม้แต่น้อย
"ญาติผู้พี่ชอบนางหรือ?" ชุยฟางเอ่ยออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยและเมื่อลู่จิ้งหลินได้ยินก็ถึงกับขมวดคิ้วแสดงสีหน้าไม่พอใจในทันทีก่อนจะเอ่ยเตือนญาติผู้น้องของตน
"อย่าได้เอ่ยวาจาไร้สาระ เมิ่งฮูหยินแต่งงานแล้วเจ้าเองก็เป็นคุณหนูในห้องหออย่าได้พึงกระทำสิ่งใดอันไม่ควร หากผู้ใดมาได้ยินเข้ามิใช่เพียงเมิ่งฮูหยินที่เสียหายหากแต่เจ้าเองก็จะเสียหายด้วยเช่นกัน"
"ข้าแค่พูดจะเสียหายได้อย่างไร?" ชุยฟางโต้กลับ
"ก็เพราะไม่มีบุรุษคนใดอยากจะแต่งกับสตรีปากไม่มีหูรูดอย่างไรเล่า เจ้าเองก็โตแล้วควรรู้ว่าอันใดควรไม่ควร มิเช่นนั้นข้าคงจะต้องเล่าเรื่องนี้ให้ท่านย่าฟัง" ลู่จิ้งหลินไม่อาจใจดีกับญาติผู้น้องคนนี้ได้อีกต่อไป หากนางไม่เลิกนิสัยหญิงชาวบ้านร้านตลาดเอาแต่อิจฉาและนินทาผู้อื่น วันหน้าคงหาบ้านสามีที่ดีไม่ได้เป็นแน่! กล่าวจบชายหนุ่มก็สะบัดแขนเสื้อเดินกลับเข้าเรือนเพื่อร่วมงานเลี้ยงต่อในทันที
บทสนทนาของพวกเขาส่วนใหญ่ยังคงเป็นเรื่องทุนการศึกษาสนับสนุนของหญิงสาว ภายในกลุ่มบัณฑิตของพวกเขาหนึ่งในนั้นมีอาจารย์ของสำนักบัณฑิตผู้หนึ่ง ชายหนุ่มที่อายุเพียงยี่สิบห้าปีและเคยได้รับตำแหน่งทั่นฮวา ในตอนนี้ยังดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองอู๋ซี เขาเองก็ค่อนข้างมีความสนใจในแนวคิดของเมิ่งจิ่วซือไม่น้อย หากว่าเป็นเช่นนั้นย่อมต้องเป็นผลดีต่อการศึกษาในภายหน้าอย่างแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าความคิดนี้จะจริงเท็จมากเพียงใด นางอาจจะเป็นสตรีที่ร่ำรวยที่เอ่ยขึ้นเช่นนั้นเพียงเพื่อจะแสดงท่าทีของสตรีใจกว้างก็เป็นได้
ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดหรือแม้กระทั่งใบหน้าที่งดงามของหญิงสาวก็ทำเอาชายหนุ่มกลุ่มนี้ถึงกับตราตรึงใจไม่น้อย ได้แต่เฝ้าคิดว่าผู้ใดคือสามีของนางช่างโชคดียิ่งนัก!
ช่วงปีใหม่ผ่านพ้นไปแล้ว ซิ่วจื่อหลิงเองก็กลับมาที่แคว้นหนานเฉินได้หลายเดือนแล้วคงถึงแก่เวลาที่จะต้องกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง หญิงสาวทำหน้าเศร้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบิดามารดาด้วยแววตาอ้อนวอน แม้ว่าทั้งคู่จะอยากกอดบุตรสาวของตนเอาไว้แนบอกเพียงใด หากแต่ว่าพวกเขาไม่อาจอยู่กับนางไปได้ตลอดชีวิต ซิ่วจื่อหลิงจำเป็นต้องมีคนข้างกายที่อยู่กับนางและดูแลนางได้ดีไม่ต่างจากผู้เป็นบิดามารดา"เด็กโง่ จากกันแล้วมิใช่ว่าจะมิได้พบกันอีก หากพ่อกับแม่ว่างเมื่อใดต้องไปหาเจ้าแน่""จริงนะเพคะ เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ห้ามหลอกให้ลูกดีใจเล่น""ฮ่า ๆ เจ้าเด็กแสบนี่ ช่างไม่รู้จักโตเสียจริง" หรงเซ่อฮ่องเต้เอ่ยหยอกเย้าบุตรสาว"เสด็จพ่อ... ""เอาละ เวลาไม่เช้าแล้วเจ้ารีบออกเดินทางเถิดประเดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน""เจ้าค่ะ ลูกทูลลาเพคะ"ซิ่วจื่อหลิงถูกประคองขึ้นรถม้า ในขณะที่สามีของนางขึ้นควบบนหลังม้าอย่างองอาจ หญิงสาวเปิดม่านขึ้นก่อนส่งสายตาเศร้าสร้อยมายังบิดามารดาอีกครั้งพร้อมกับโบกมือลาอย่างไม่เต็มใจนัก เมิ่งจิ่วซือทำได้เ
ข่าวคราวที่องค์หญิงใหญ่กลับบ้านเดิมหลังจากงานแต่งงานได้เพียงสามวันดูเหมือนจะเป็นที่โจษจันกันไปทั่วทั้งเมืองหลวง เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะบุรุษที่นางแต่งด้วยเป็นถึงองค์รัชทายาทแคว้นหนานเฉินที่อยู่ห่างไกลนับพันลี้ หากแต่หลังวันแต่งงานสามีกลับพานางกลับบ้านเดิมทันทีไม่บอกก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีใจรักใคร่ในตัวนางมากเพียงใดจึงมิได้สนใจในกฎระเบียบรีบพาภรรยากลับมาบ้านเดิมทั้งยังอยู่รอฉลองวันปีใหม่ที่นี่อีกด้วย ใครๆ ต่างก็กล่าวว่าองค์หญิงใหญ่นั้นช่างโชคดียิ่งนัก"นางกลับมาแล้วงั้นหรือ? " หลิวอวี้หลันเอ่ยกับสาวใช้"เจ้าค่ะ เห็นว่ากลับมาพร้อมกับองค์รัชทายาทแคว้นหนานเฉินเจ้าค่ะ และที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ...""อันใดงั้นหรือ? " หลิวอวี้หลันที่กำลังส่องใบหน้าที่งดงามของนางผ่านกระจกทองเหลืองหันมาถามสาวใช้ด้วยความสนใจ สาวใช้ผู้นั้นทำทีเป็นหันซ้ายมองขวาเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีผู้ใดได้ยินที่นางกำลังจะกล่าวเรื่องต่อไปนี้"บ่าวได้ยินมาว่าองค์รัชทายาทแคว้นหนานเฉินนั้นเดิมทีเคยเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่สำนักศึกษาหลวงชั้นสูงเ
ครั้งแรกที่หรูเจิ้งหยวนลืมตาขึ้นเขากลับพบว่าตนเองได้ย้อนกลับมาในอดีตอีกครั้งในตอนอายุสิบสาม มือทั้งสองข้างนับว่ายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ยังไม่เติบโตเต็มวัยผู้หนึ่งเท่านั้นย้อนกลับไปในตอนที่เขาสามารถบุกยึดแคว้นหนานเฉินได้สำเร็จ หรูเจิ้งหยวนเดินเข้าไปยังห้อง ๆ หนึ่งที่เป็นสถานที่เก็บบรรจุโลงศพของตู๋กูรั่วหวาความเย็นแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง ชายหนุ่มค่อย ๆ ก้าวเข้าไปก่อนจะหยุดอยู่ข้าง ๆโลงศพของนางอย่างใจเย็น มือหนาเลื่อนเปิดฝาโลงก่อนจะมองเห็นใบหน้าที่เป็นสีขาวซีดเซียวไร้สีเลือดแม้จะกลายเป็นเพียงร่างที่ไร้วิญญาณหากแต่สำหรับเขาแล้ว นางงดงามที่สุดเสมอมือหนายื่นออกไปแล้วค่อยๆ กุมข้างแก้มที่เย็นจัดของนางด้วยความอ่อนโยนราวกับกลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บหากว่าเขาแตะต้องหญิงสาวแรงเกินไปก่อนที่ดวงตาทั้งสองข้างของเขาจะแดงก่ำ"เหตุใดเจ้าจึงได้ใจร้ายนัก ทิ้งกันได้ลงคอ" ชายหนุ่มกล่าวตัดพ้อก่อนที่จะค่อย ๆ กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมามือหนาถูกยื่นออกไปยังร่างที่นอนแน่นิ่งก่อนที่บนฝ่ามือของเขาจะปรากฏร่างของจิ้งจอกสีเงินตัวน้อยที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นอย่างช้า ๆ เจ้าจิ้งจอกน้อยราวกั
"ข้าไม่เคยรักเจ้า มันเป็นเพียงแผนการที่ข้าต้องการครอบครองแผ่นดินของเจ้าเท่านั้น" หรูจางเหว่ยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบและเย็นชาโดยไม่ยอมหันกลับมามองใบหน้าของนางเลยแม้แต่หางตาสตรีที่คิดว่าตนเองนั้นอยู่เหนือผู้ใดบนแผ่นดินเช่นนาง สุดท้ายกลับพ่ายแพ้หัวใจให้กับบุรุษใจร้ายตรงหน้า เขาเข้ามาทำให้นางที่เดิมไม่เคยไว้ใจผู้ใด ความอ่อนโยนของเขาทำให้นางใจอ่อนก่อนจะคิดว่าทั้งชีวิตนี้นางจะขออยู่เคียงข้างบุรุษผู้นี้ไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจแต่แล้ว... นางกลับได้รับรู้ความจริงว่าสิ่งที่เขาทำไปทุกอย่างนั้นเป็นเพียงการหลอกลวง ตู๋กูรั่วหวาไม่คิดว่าที่ผ่านมามันจะเป็นเพียงเรื่องโกหกหลอกลวง หัวใจของนางแตกสลายไม่มีชิ้นดี ชีวิตที่ไม่หลงเหลือผู้ใดในยามที่มีเขาเข้ามากลั
ต่อมาในงานเลี้ยงในวังองค์ชายสิบสามซึ่งเป็นองค์ชายพระองค์เดียวที่หลงเหลืออยู่ของแคว้นหนานเฉินก็ได้ขึ้นรับตำแหน่งองค์รัชทายาทอย่างสมบูรณ์ท่ามกลางความยินดีของขุนนางทั้งหลาย ชายหนุ่มเรียนรู้จากหรงเซ่อฮ่องเต้ที่มีการเปิดให้เหล่าบัณฑิตได้มีโอกาสสอบคัดเลือกเพื่อรับตำแหน่งขุนนางและรับใช้ฝ่าบาทด้วยความสามารถที่มีอยู่ของตนแม้ว่าการสอบจะเป็นไปด้วยความทุลักทุเลมีทั้งการโกงข้อสอบหากแต่สุดท้ายหรูเจิ้งหยวนก็จัดการกับคนเหล่านั้นได้ก่อนที่พวกเขาจะถูกปลดและเนรเทศออกไปนับพันลี้ท่ามกลางความยินดีครั้งใหญ่เมื่อองค์รัชทายาทได้มีพิธีสมรสกับองค์หญิงใหญ่ซิ่วจื่อหลิงแห่งแคว้นต้าซ่ง สองแคว้นผูกสัมพันธ์เป็นดั่งพี่น้องกันนับแต่นี้
เช้าวันรุ่งขึ้นหญิงสาวถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่เช้าก่อนจะถูกสาวใช้จวนตระกูลเจียวจับอาบน้ำชำระร่างกายแล้วสวมชุดแต่งงานสีแดงที่เตรียมเอาไว้ สาวใช้ทั้งสองแม้จะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เจ้าสาวนั้นไม่ยิ้มแย้มทั้งยังมีอาการเหม่อลอยแปลก ๆ เพียงแต่เพราะพวกนางได้ยินว่าเจ้าสาวเองก็ถูกบังคับให้มาแต่งงานกับคุณชายของพวกนาง สาวใช้ทั้งสองก็พอที่จะเข้าใจได้เจียวหมัวมัวเดินเข้ามาดูความเรียบร้อยในห้องของเจ้าสาวในขณะที่สาวใช้ทั้งสองกำลังแต่งหน้าแต่งตัวจนกระทั่งใกล้เสร็จแล้ว นางมองเห็นใบหน้าที่ไม่ยินดียินร้ายของสาวใช้รั่วหวาก็ให้นึกรังเกียจ หากไม่เป็นเพราะบุตรชายนั้นรักใคร่ในตัวนางเป็นอย่างมากมีหรือที่นางจะรับสตรีที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยเป็นเพียงแค่สาวใช้มาเป็นภรรยาของบุตรชายเช่นนี้ หึ แต่ก็นับว่าสาวใช้รั่วหวาผู้นี้ยังรู้ความอยู่บ้างที่ไม่เอะอะโวยวายให้เสียการ