Masukบุรุษที่ลงมาจากหลังม้ายืดตัวตรง เส้นผมดำเปียกแนบข้างแก้มแต่เจ้าตัวก็ยังคงดูดี หยดน้ำฝนไหลจากขมับผ่านแนวกรามคม ริมฝีปากบีบแน่น เงียบ บรรยากาศรอบข้างแผ่กำจายเต็มไปด้วยอำนาจจนแม้แต่อวี้เซียนยังเผลอกลั้นหายใจชั่วขณะ
แสงไฟส่องผ่านม่านฝนกระทบใบหน้าคม ดวงตาของเขาเยือกเย็น...เย็นเสียจนคล้ายมองสิ่งที่เขารังเกียจมากที่สุด
อวี้เซียนเปลี่ยนจากสีหน้าดีใจฉายความไม่เข้าใจชั่วครู่ที่เห็นว่าแววตาเขาเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ แต่บัดนี้ไม่มีเวลาให้ไขข้อสงสัยอวี้เซียนต้องรับขอความช่วยเหลือเสียก่อน
“ท่าน...” อวี้เซียนขยับปากน้ำเสียงแผ่วไปบ้างเพราะหอบเหนื่อยแต่ชัดถ้อยพร้อมระบุชี้ไปทางที่ตนจากมา “ช่วยข้าไล่คนพวกนั้นไปทีพวกนั้นจะทำร้ายข้า”
ทว่าบุรุษตรงหน้ากลับไม่ขยับ ไม่พูดใดใด เพียงยังมองนางนิ่ง สายตานั้นเย็นราวคมมีด เดี๋ยวขมวดคิ้วเดี๋ยวกัดฟันแน่น
“ได้ยินหรือไม่ ข้าขอแค่ให้ช่วยที ข้าจะถูกพวกมันทำร้ายแล้ว ชะ--”
พูดยังไม่ทันจบเขาขยับออกไปเหวี่ยงตนเองขึ้นบังคับม้า แล้วก็ทำท่าจะจากไปด้วยซ้ำหากไม่เพราะเขาเปลี่ยนท่าทำให้ม้าตัวโตยกสองขาขึ้นขู่ไปจากพวกอันธพาลจากวิ่งจากไปแทบมาทันแทน
ความเงียบเข้ามาแทนพร้อมเสียงถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกของอวี้เซียนที่รับว่าโชคดีมีคนผ่านมาช่วยนางไว้ อย่างไรเสียก็ต้องขอบคุณผู้ช่วยชีวิตไว้สักหน่อย นางเงยหน้าขึ้น
“ข้า...ขอบคุณท่านมาก อ้าว!”
คิดจะพูดต่อแต่เขาดันรวบสายบังเหียนบังคับม้าเงยหัวส่งเสียงหายใจแรง แล้วหมุนตัวไปเสียแล้ว
ม้าและเสียงนั่นค่อย ๆ วิ่งหายไปราวกับไม่เคยมีปล่อยให้อวี้เซียนยืนอยู่ลำพังมีเพียงความมืดและปอยฝนเป็นสายกลับบ้านคราวรี้
อวี้เซียนมองตามแผ่นหลังกว้างนั้นไปจนลับตา ริมฝีปากเม้มแน่นก่อนจะสบถเบา ๆ
“บุรุษบ้าอะไร เห็นหญิงงามกลางฝนยังไม่คิดจะถามสักคำว่าจะกลับอย่างไร ขี้เก๊กชะมัด...”
นางปัดผมที่เปียกแนบแก้มออก สูดลมหายใจลึก พยายามกลืนความรู้สึกทั้งโกรธ ทั้งประหลาดใจที่ก่อตัวอยู่ในอกให้ออกไป
กว่าจะถึงจวนหลิน ฟ้าก็มืดสนิท ฝนที่ตกก็เริ่มซา อวี้เซียนลากเท้าเข้าประตูจวนด้านหลังก็แทบหมดแรง เสื้อผ้าเปื้อนโคลนทั้งตัว มือเย็นเฉียบและท้องว่างจนเวียนหัวทำเอาความรู้สึกช้าคิดอะไรไม่ออกสุด ๆ
มืดเพียงนี้แทนที่ทั้งจวนจะเงียบกลับพลุกพล่านกว่าที่คิด แสงโคมสว่างทั่วลาน รถม้าหรูหลายคันจอดเรียงหน้าประตูจวนเสียงบ่าวไพร่ตะโกนโวยวายสั่งการกันระงม
“เกิดอะไรขึ้นระหว่างข้าไม่อยู่กันนะ”
อวี้เซียนพึมพำแต่ยังไม่ทันก้าวพ้นลานหน้าเรือน บ่าวหญิงของฮูหยินเอกเหมยอันหนิงก็พุ่งเข้ามา จับแขนของนางแน่น
“คุณหนูรอง! ตามมาเร็วเจ้าค่ะ!”
“เจ้าจับข้าทำไม มีใครมาหรือ?”
“อย่าถามมาก!” อีกฝ่ายตอบเสียงเรียบ “ฮูหยินสั่งให้รีบเจ้าค่ะ!”
อวี้เซียนยังไม่ทันตั้งตัวร่างบางอ่อนแรงก็ถูกลากไปยังเรือนชั้นใน บ่าวสาวอีกสองคนรออยู่แล้ว รีบจัดการเช็ดตัว เปลี่ยนชุดให้ใหม่จนเรียบร้อยภายในเวลาไม่ถึงก้านธูป ผมที่เปียกชื้นถูกรวบสูง ใบหน้าซีดถูกแต่งแต้มบางเบาให้ดูมีชีวิต
“จะจับข้าไปทำอะไรหากไม่บอกข้าก็ไม่ไป”
บ่าวคนสนิทของเหมยอันหนิงไม่สนอันใดนางออกคำสั่งให้บ่าวร่างใหญ่สองคนช่วยกันลากอวี้เซียนมาวางที่หน้าประตูห้องรับรองแขกก่อนเข้ามากระซิบเสียงเย็น
“คุณหนูเข้าไปแล้ว จงนั่งนิ่ง ๆ ไม่ต้องเอ่ยคำใดให้มากความ แค่ทำตัวให้สมกับเป็นคุณหนูรองก็พอหากยังอยากมีชีวิตอยู่...”
ก่อนอวี้เซียนจะได้ถามต่อประตูเรือนรับรองก็เปิดออก แล้วมือเย็นเฉียบของบ่าวด้านหลังก็ผลักนางเข้าไปเต็มแรง
ภายในห้องสว่างจ้า กลิ่นกำยานหอมจาง ๆ ลอยคลุ้ง เหล่าเจ้านายตระกูลหลินนั่งเรียงอยู่พร้อมแล้ว รวมถึงหลินเจิ้งหาวผู้เป็นบิดา และเบื้องหน้า...กงกงผู้สูงวัยในชุดเครื่องราชอย่างดีจากวังหลวง
อวี้เซียนชะงักนิ่งคล้ายไม่ได้สติ ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นตราทองประทับอยู่ในมือเขา
“คุกเข้ารับราชโองการจากฝ่าบาท!” เสียงกงกงดังขึ้นชัดเจน
ทั้งห้องเงียบสนิท มีเพียงเสียงฝนที่ยังหยดแผ่วจากชายคาก่อนพากันคุกเข่านอบน้อมทันใด อวี้เซียนก็ถูกพี่ใหญ่ หลินเจิ้งหลิงที่นางเคยเห็นหน้าคราแรกตั้งแต่ทะลุเข้ามาในนิยายจับให้คุกเข่าลง
กงกงกวาดตามองรอบห้องก่อนเอ่ยเสียงดังฟังชัด
“ตามพระราชโองการ ฝ่าบาทมีพระประสงค์จะพระราชทานสมรสให้คุณหนูรองแห่งตระกูลหลิน หลินอวี้เซียน เข้าพิธีแต่งงานกับคุณชายรองตระกูลไป๋ ไป๋เจี้ยนหง เพื่อเชื่อมไมตรีสองตระกูลให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น”
คำประกาศจบลงในความเงียบ อวี้เซียนนั่งนิ่งราวถูกฟ้าผ่า นางทะลุเข้ามาในนิยายไม่พอยังจะมีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้วหรือ?!
“ไม่!” นางพูดขึ้นทันที “ข้าไม่รับ!”
ทุกคนในห้องสะดุ้ง กงกงเงยหน้าช้า ๆ สายตาเย็นเฉียบ “คุณหนูรอง...ระวังคำพูดของท่าน นี่คือราชโองการของฝ่าบาท”
“ข้าไม่อาจแต่งกับใครโดยไม่เต็มใจได้!”
ชาติก่อนนางก็ถูกพ่อกำหนดให้แต่งกับตระกูลมากอำนาจเช่นกันนางยังต้านได้เลย เรื่องนี้อวี้เซียนไม่อาจยอมรับง่าย ๆ เหมือนอย่างชะตากรรมเป็นนางร้ายเด็ดขาด
ทันใดนั้นเสียงดาบแหลมปรี๊ดก็ถูกชักขึ้นพร้อมกันจากองครักษ์สองนายที่ยืนข้างกงกงตัวแทนของฮ่องเต้
...ปลายคมเย็นเฉียบชี้ตรงมาที่ลำคอของอวี้เซียนเรียกสตินางได้เป็นอย่างดี
อา บัดนี้นางอยู่ในยุคจีนโบราณที่มีฮ่องเต้เป็นดั่งเจ้าของชีวิตนี่นา หากนางต่อต้านก็เท่ากับว่าไม่อยากมีชีวิตต่อไปแล้ว
หลินเจิ้งหาวรีบเอ่ยปากก่อนเรื่องจะเลวร้ายไปกว่านี้ทันที
“เราตระกูลหลินรับพระราชโองการ นี่มอบให้กงกงที่ลำบากมาแต่ดึกดื่น!”
กงกงปิดม้วนตราทองลงช้า ๆ ยิ้มให้กับหัวหน้าตระกูลหลินก่อนจะหันมาทางอวี้เซียน
“คุณหนูรองหลิน ฝ่าบาททรงเมตตาท่านมากแล้ว อย่าให้พระเมตตานั้นต้องสูญเปล่าเลย...”
คำพูดเย็นเฉียบสะกดทุกเสียงในห้องให้เงียบสนิท
อวี้เซียนกัดริมฝีปากแน่น คราวนี้นางคิดได้แล้วว่าตนอยู่ในยุคใด นางไม่เอ่ยปากโต้ตอบออกเสียงได้แต่แย้งอยู่ในใจ
...เมตตาหรือหลอกใช้ประโยชน์กันแน่
หลังขบวนกงกงกลับไป ความเงียบหนาแน่นคล้ายกลืนทุกเสียงในเรือนรับแขกเข้าครอบงำ อวี้เซียนเงยหน้าขึ้นเป็นคนแรก แววตาเรียบเยือกแต่หนักแน่น นางมองม้วนราชโองการที่วางอยู่ตรงหน้า ลมหายใจเข้าออกช้าและคงที่ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ
“พระราชโองการนี้...ช่างประหลาดนัก”
บทที่ 4พระรองกับนางร้าย“พระราชโองการนี้...ช่างประหลาดนัก”คำพูดของอวี้ซินเฉือนผ่านความเงียบอย่างเฉียบคม ทุกสายตาเงยขึ้นแทบพร้อมกัน เหมือนถูกแรงบางอย่างดึงไว้“ฝ่าบาทจะพระราชทานสมรสให้ข้าที่ชื่อเสียงเสื่อมเสีย ทั้งที่หากจะให้สองตระกูลเชื่อมสัมพันธ์กันไว้อย่างที่ว่าก็มีน้องสามที่หมั้นหมายกับคุณชายใหญ่อี้เหวินอยู่แล้วไม่ใช่หรือ อีกทั้งข้าก็ยังเป็นคนตระกูลเดียวกัน เหตุใดต้องให้ข้าแต่งอีก การให้ตระกูลไป๋รับสะใภ้จากตระกูลหลินถึงสองคน...ไม่ชวนให้สงสัยอย่างนั้นหรือ?”น้ำเสียงของนางนิ่งราวน้ำในบ่อลึก แต่แรงสะท้อนกลับหนักพอจะทำให้คนฟังหายใจติดขัดอนุฮวาเสียนที่ขวัญอ่อนจากการเห็นดาบทาบคอเมื่อครู่สีหน้าเปลี่ยนวูบก่อนโพล่งเสียงสูงอย่างอดไม่อยู่ทันใด“คุณหนูรองช่างกล้าสงสัยและลบหลู่ราชโองการเช่นนี้หรือ! พูดสามหาวถึงเพียงนั้นได้อย่างไรจะให้ตระกูลเราตายตกไปตามเจ้าหรือ!”อวี้เซียนปรายตามองช้า ๆ แววตาเย็นจนคนถูกมองหดคอถอยล่นไม่กล้าดังเดิม“ข้าเพียงสังสัยเท่านั้น หากไม่คิดอันใดเลยตระกูลหลินมีหรือจะรอดชะ--”“เงียบ!” หลินเจิ้งหาวตวาดเขาลุกขึ้นยืนหันหลังให้กับอวี้เซียน “จวนหลินจะไม่ขัดราชโองการ!”อวี้เซี
บทที่ 3พระราชโองการที่นางไม่อยากได้บุรุษที่ลงมาจากหลังม้ายืดตัวตรง เส้นผมดำเปียกแนบข้างแก้มแต่เจ้าตัวก็ยังคงดูดี หยดน้ำฝนไหลจากขมับผ่านแนวกรามคม ริมฝีปากบีบแน่น เงียบ บรรยากาศรอบข้างแผ่กำจายเต็มไปด้วยอำนาจจนแม้แต่อวี้เซียนยังเผลอกลั้นหายใจชั่วขณะแสงไฟส่องผ่านม่านฝนกระทบใบหน้าคม ดวงตาของเขาเยือกเย็น...เย็นเสียจนคล้ายมองสิ่งที่เขารังเกียจมากที่สุดอวี้เซียนเปลี่ยนจากสีหน้าดีใจฉายความไม่เข้าใจชั่วครู่ที่เห็นว่าแววตาเขาเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ แต่บัดนี้ไม่มีเวลาให้ไขข้อสงสัยอวี้เซียนต้องรับขอความช่วยเหลือเสียก่อน“ท่าน...” อวี้เซียนขยับปากน้ำเสียงแผ่วไปบ้างเพราะหอบเหนื่อยแต่ชัดถ้อยพร้อมระบุชี้ไปทางที่ตนจากมา “ช่วยข้าไล่คนพวกนั้นไปทีพวกนั้นจะทำร้ายข้า”ทว่าบุรุษตรงหน้ากลับไม่ขยับ ไม่พูดใดใด เพียงยังมองนางนิ่ง สายตานั้นเย็นราวคมมีด เดี๋ยวขมวดคิ้วเดี๋ยวกัดฟันแน่น“ได้ยินหรือไม่ ข้าขอแค่ให้ช่วยที ข้าจะถูกพวกมันทำร้ายแล้ว ชะ--”พูดยังไม่ทันจบเขาขยับออกไปเหวี่ยงตนเองขึ้นบังคับม้า แล้วก็ทำท่าจะจากไปด้วยซ้ำหากไม่เพราะเขาเปลี่ยนท่าทำให้ม้าตัวโตยกสองขาขึ้นขู่ไปจากพวกอันธพาลจากวิ่งจากไปแทบมาทันแทน คว
บทที่ 2ใครบ้างไม่เกลียดชังนางยามเซิน(15.00 – 16.59 น.) ท้องทั่วฟ้าเมืองหลวงยังไม่มืดนัก แสงแดดปลายวันลอดผ่านเมฆหม่นเป็นริ้วอ่อนหลินอวี้เซียนผลักบานประตูไม้หลังเรือนท้ายจวนออก ลมชื้นอ้าวพัดปลายผมให้ไหวเบาทำให้รู้ได้เลยว่าหากนางไม่รีบไปรีบกลับอาจต้องเจอกันฝนที่สาดเทแน่ อวี้เซียนอยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีเทาเรียบ ใบหน้าคลุมผ้าบางปิดครึ่งล่าง มีเพียงดวงตาคมที่สะท้อนแสงอ่อนจากฟ้าวันนี้ทั้งจวนมัวอยู่กับงานเลี้ยงหลังพิธีบรรพชน ไม่มีใครทันเห็นว่านางออกมาหรอก นางใช้ทางลับที่สำรวจและเจอได้จากวันก่อน ลัดเลาะเงียบสู่ถนนด้านนอกลมหอบกลิ่นขนมนึ่งมายังปลายจมูก ทำให้หัวใจที่นิ่งมานานกระเพื่อมขึ้นเล็กน้อย คล้ายได้หายใจคล่องอีกครั้งในโลกที่ไม่คุ้นเคยตลาดบนถนวนพลันคึกคัก ผู้คนขวักไขว่ เสียงเร่ขายสินค้าปะทะกันเป็นจังหวะ ชา เครื่องหอม ผ้าแพร เครื่องประดับ ละลานตาไปหมด นางก้าวช้า ๆ ทอดสายตามองรอบด้าน ใบหน้าหลังผ้าคลุมซ่อนรอยยิ้มบาง ๆอวี้เซียนหยุดหน้าร้านสมุนไพร กลิ่นรากแห้งและใบยาที่ตากแดดจนควันอุ่นอบอวลอยู่เต็มอากาศ“แม่นาง สนใจยาชนิดใดหรือ?” พ่อค้าชราเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร“ขอดูก่อน” เสียงนางเรียบ “ร้
บทที่ 1วันไหว้บรรพบุรุษที่ไม่จำเป็นต้องมีนางเช้าวันนี้อากาศสดใส แสงแดดอุ่นส่องลอดผ่านกิ่งเหมยที่ผลิบานผ่านหน้าต่างเข้ามา อวี้เซียนยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองออกไปยังลานที่ไร้ผู้คน เข้าวันที่สามแล้วแต่วันนี้ไม่เหมือนเคย เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากหย้าประตูเรือน บ่าวสาวนางหนึ่งก็มาถึงพร้อมถาดมื้อเช้า ท่าทางของอีกฝ่ายดูเหมือนถูกบังคับเต็มหน้า“คุณหนูรอง...บ่าวนำอาหารเช้ามาให้เจ้าค่ะ”น้ำเสียงนั้นทั้งเกรงกลัวทั้งรังเกียจในคราวเดียวคงเพราะภาพจำเมื่อวานที่นางจงใจแสดงอำนาจอย่างน้อยก็ได้ผลอวี้เซียนปรายตามอง “บ่าวส่วนตัวข้าไปไหน ทำไมไม่มาทำหน้าที่?”บ่าวผู้นั้นชะงัก มือสั่นจนเกือบทำถาดหล่น “หมายถึง...ซูม่านหรือเจ้าคะ ก็ยังอยู่ แต่ตอนนี้ไปอยู่ฝ่ายซักล้างแล้วเจ้าค่ะ...บ่าวเช่นนั้นมีบุญแล้วที่ไม่ถูกตีตาย มะ--”“ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปได้ตอนที่ข้ายังอารมณ์ดีอยู่”คำพูดเรียบง่ายแต่แฝงแรงกดดันจนอีกฝ่ายกลืนคำที่จะพูดต่อลงคอ รีบวางถาดแล้วเผ่นออกไปแทบไม่ทันอวี้เซียนมองชามข้าวในถาด ข้าวขาวกับผักต้มไม่กี่ชิ้น เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ใส่ใจจะปรุงให้นางกินจริง ๆ ไว้เดี๋ยวไปหากินที่ครัวเองจะดีกว่าบัดนี้บ่าวส่วนตัวขอ
บทนำ“ไม่ว่าเจ้าจะเสแสร้งแกล้งทำอย่างไร…ก็ไม่มีใครหลงกลเจ้าแล้ว หลินอวี้เซียน!”คำพูดนั้นราวกับฟ้าผ่า กลืนหายไปพร้อมสายฝนและลมกรรโชกที่พัดซัดปลายผมให้เปียกชื้น ความหนาวชอนไชถึงกระดูก นิ้วเรียวบนเตียงเก่ายกขึ้นคว้าอากาศราวกับไขว่หาความจริง แต่ก่อนจะคว้าได้ ลมหายใจกระตุกวูบก่อนร่างบนเตียงนั้นสะดุ้งตื่นโดยพลันแสงเช้าสางส่องลอดช่องฝาไม้ผุ กลิ่นฝุ่นและความชื้นตีจมูก นางนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนหายใจยาว กลืนแรงสะท้านจากฝันร้ายให้จมหาย หัวใจยังเต้นแรงจนรู้สึกถึงจังหวะในอกที่สั่นระรัว ผ้าห่มขาดวิ่นโอบกายไม่มิด ลมเย็นแทรกเข้าทุกช่องไม้ ไม่มีสิ่งใดในเรือนนี้บ่งบอกว่าเป็นถึงชีวิตของคุณหนูรองเลยวันนี้คือวันที่สองที่จีน่า เหวิน ลืมตาในร่างหลินอวี้เซียน ตั้งแต่เมื่อวานไม่มีบ่าวแม้คนเดียวมาเหยียบเรือนนี้ เสียงท้องร้องทักเตือนยิ่งชัด นางกัดฟันสูดลมหายใจลึก กลืนความหิวลงคออย่างคนที่รู้ดีว่าไม่มีทางเลือกอื่นครั้งแรกที่ตื่นขึ้น นางยังหลงคิดว่าตนอยู่ในฉากถ่ายละคร ทุกสิ่งดูสมจริงเกินไป จนได้พบหีบข้างหมอนและสมุดบันทึกเล่มนั้น เมื่อเปิดอ่านทีละหน้า หัวใจกลับหนักขึ้นทุกบรรทัด เสียงสาปแช่งและแค้นเคืองของหลินอว







