ในโลกธุรกิจเบื้องหน้าอาจดูคล้ายสงครามเศรษฐกิจ แต่ในโลกใต้ดิน...มันคือสงครามเลือด !!
สองตระกูลยักษ์ใหญ่ ที่ต่างถือธงปกครองซีกโลกคนละฝั่งของอาชญากรรม
อีกฝั่งคือ ตระกูลมิยูกิ ยากูซ่ารุ่นเก่า ผู้ควบคุมวงการค้าสีเทาและร้านอาหารญี่ปุ่นที่แผ่ขยายไปทั่วภูมิภาคเอเชียทั้งในอดีต และปัจจุบัน ทั้งสองตระกูลเคย ร่วมลงทุนเปิดเส้นทางขนส่งใต้ดิน เส้นใหญ่ที่สุดในภูมิภาค แต่เมื่อผลประโยชน์เริ่มล้นฟ้า ความโลภก็ตามมา
คืนหนึ่งเมื่อสิบปีก่อน เสียงปืนดังขึ้นกลางสะพานข้ามแม่น้ำโขง
เฉินเล่ห์หยาง น้องชายคนเล็กของหัวหน้ามังกรดำ ถูกซุ่มยิงจนตกน้ำหายสาบสูญ
เซียวเล่ห์พี่ชายของเล่ห์หยาง วัยเพียง 23 ปีในขณะนั้น กลายเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์มังกรดำแทนบิดาผู้ล้มป่วยด้วยความแค้น และตรอมใจที่ลูกชายคนเล็กของเขาที่เสียไป รวมไปถึงตรอมใจเรื่องที่คนที่ทำร้ายลูกชายของเขาน่าจะเป็นเพื่อนรักของเขานั่นเอง
ทางด้านตระกูลมิยูกิ เองก็ไม่ได้ขาวสะอาดกว่ากัน
ลูกสาวคนเล็กของบ้าน ฮานะ อรุณวดี มิยูกิ เพิ่งเข้าศึกษาปี 1 ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ด้วยความตั้งใจจะใช้ชีวิตแบบปกติ…ที่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป ที่ไม่ใช่ในฐานะลูกสาวของแก็งยากูซ่า หรือผู้สืบทอดทางธุรกิจของครอบครัว
และไม่มีใครรู้…ว่าเพียงแค่สายตาครั้งนั้น มันคือ การเริ่มต้นของสงครามบทใหม่
ห้องเรียนปรัชญาต้นเทอมปีหนึ่ง คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังกลางกรุงเทพฯ
เสียงบ่นพึมพำ ดังขึ้นทั่วห้องเรียนใหม่เอี่ยมของเหล่าน้องใหม่ ที่เพิ่งเอาชีวิตรอดจากวิชาหลักได้ไม่ถึงสัปดาห์
“เฮ้ย...ได้ข่าวว่าอาจารย์คนนี้เข้มสุดในรุ่นเลยนะ” นักศึกษาหนุ่มเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทางที่จริงจังเป็นอย่างมาก
"อาจารย์เซียว หรือ อาจารย์เสียว เอาดีๆ " เพื่อนอีกคนพูดทั้งที่หัวเราะกันเอิ๊กอ๊ากเสียงดังลั่นห้อง
ฮานะยกแก้วกาแฟเย็นขึ้นจิบอย่างเบื่อ ๆ ขณะนั่งไขว่ห้างกลางห้อง
“...”
ชายหนุ่มในสูทสีเข้ม ก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าสงบนิ่ง ดวงตาเรียวคมใต้แว่นกรอบบางมองไปรอบห้องเหมือนจับผิด
ฮานะถึงกับชะงักแก้วกาแฟค้างกลางอากาศ
“สวัสดีครับ ผมชื่อ เซียวเล่ห์ เป็นอาจารย์ประจำวิชานี้”
“คุณธรรม”
“ใครพอจะอธิบายได้ไหม ว่าคุณธรรมคืออะไร”
เงียบ...
“ถ้าไม่มีใคร งั้น...คุณ”
ฮานะยักไหล่แล้วยืนขึ้น “คุณธรรมเหรอคะ? ก็คงเป็นสิ่งที่สังคมใช้บังคับให้เราทำตัวดี ๆ ทั้งที่ลึก ๆ ก็ไม่มีใครดีจริง”
เซียวเล่ห์มองเธออย่างนิ่งงัน ก่อนยกคิ้วเพียงเล็กน้อย
“ก็อาจารย์เองยังตีหน้าขรึมมาสอนวิชาคนดี ทั้งที่ข้างในอาจกำลังอยากดื่มวิสกี้อยู่ก็ได้ ใครจะรู้?” ฮานะพูดพร้อมกับเสียงฮือฮาของเพื่อนร่วมชั้นที่ดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“…คุณชื่ออะไรนะ?”
“ฮานะค่ะ แปลว่า ‘ดอกไม้’ แต่บานเฉพาะเวลาตะวันตกดินนะคะ ไม่ใช่เวลาเรียน”
เสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมชั้นเริ่มกลั้นไม่อยู่ ขณะที่เซียวเล่ห์เพียงขยับยิ้มเล็กน้อย...รอยยิ้มที่เย็นเหมือนใบมีดบางเฉียบ
“ผมจะรอดูว่าดอกไม้แบบคุณ...จะบานได้นานแค่ไหนในวิชานี้”
ฮานะเลิกคิ้วแล้วยิ้มตอบ “แล้วอาจารย์ล่ะคะ...จะอยู่ได้อีกกี่คลาส ก่อนจะโดนไล่ออกข้อหากลั่นแกล้งนักศึกษา”
ประโยคนั้นเหมือนปลายเข็มแทงเข้ากลางศึก
และไม่มีใครในห้องรู้เลยว่า... นั่นคือจุดเริ่มต้นของเกมที่เดิมพันด้วยหัวใจ และไฟแค้นของสองตระกูลที่พร้อมระเบิดได้ทุกวินาที
ตอนพิเศษ แสงอาทิตย์ในทุกเช้าที่มีเธอเช้านี้ต่างจากเช้าทุกวัน…เพราะมันเป็นเช้าวันแรกหลังจากที่ทั้งสี่คนใช้คำว่า “ครอบครัว” ได้อย่างเต็มปาก ฮานะตื่นขึ้นมาพร้อมกลิ่นหอมของขนมปังที่อบในครัว ดวงตายังปรือ ๆ อยู่แต่กลับมีรอยยิ้มประดับมุมปากโดยอัตโนมัติ เมื่อเห็นว่าเตียงข้าง ๆ ว่างเปล่า แต่พอเธอก้าวลงจากเตียง เดินตามเสียงในครัวไป ก็พบว่าคนที่หายตัวไปคือสามีสุดหล่อ…ที่กำลังใส่ผ้ากันเปื้อนรูปเป็ดแสนน่ารัก ก้มหน้าก้มตาเจียวไข่และจัดจานอย่างตั้งใจ “จะทำอาหารเช้าทุกวันเลยเหรอ?” ฮานะถามเสียงงัวเงียเซียวเล่ห์เงยหน้าขึ้นมา ยิ้มกว้างแบบที่ทำให้ใจเธอสั่นทุกที “ไม่ทุกวัน…แต่จะทำทุกเช้าที่เธอยังอยู่ข้าง ๆ ฉัน”เธอหัวเราะเบา ๆ เดินเข้าไปกอดเขาจากด้านหลัง “พูดแบบนี้…ใครจะไปไหนได้คะที่รัก” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้น ก่อนที่เขาจะหมุนตัวกลับมากอดเธอไว้ทั้งตัว แล้วโน้มลงมาจูบหน้าผากเธอหนึ่งที “ยอมให้หอมหมดทั้งตัวเลยด้วยซ้ำ”ขณะเดียวกัน… ในอีกฝั่งของบ้าน เคียวกับโซระก็ไม่แพ้กัน โซระที่ห่มผ้านอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนโซฟาหนังสุดหร
ตอนที่ 52. แต่งงาน “ชุดนี้ใช่เลย...หรือหัวใจฉันใช่เธอ”ร้านชุดแต่งงานกลางเมืองที่ถูกจองไว้ล่วงหน้าสำหรับวันนี้โดยเฉพาะฮานะกับโซระยืนอยู่หน้าแร็กชุดแต่งงานยาวเหยียด สายตาสำรวจแต่ละแบบด้วยความจริงจัง“อันนี้ดูหวานไปไหม?” ฮานะชี้ไปที่ชุดลูกไม้สีขาวแบบเจ้าหญิง“แล้วอันนี้ดูเหมือนชุดขึ้นเวทีรำบวงสรวงเลย” โซระพูดถึงชุดทรงบานอีกตัว จนฮานะหลุดหัวเราะด้านนอกห้องลองชุด เคียวนั่งไขว่ห้างรอพลางเปิดมือถือเช็กอีเมล ส่วนเซียวเล่ห์นั่งพิงกำแพงอย่างอดทน ใบหน้าคมหล่อเหลามองประตูห้องลองชุดไม่ละสายตาพนักงานเดินนำทางก่อนจะเปิดม่านออก...ฮานะก้าวออกมาในชุดเดรสเข้ารูปสีขาวสะอาด ท่อนบนมีลูกไม้ปักอย่างประณีต ผ้าทิ้งตัวแนบเรือนร่างพอดิบพอดีอย่างพอดี...จนเซียวเล่ห์เผลอลืมหายใจเขาลุกขึ้นยืนช้า ๆ เหมือนโดนสะกด“...สวย” เสียงของเขาเบาแต่ชัดฮานะหลบตาเล็กน้อย “ไม่เยอะไปใช่ไหม...?”“ไม่น้อยไปด้วย” เขาเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าเธอ ก่อนจะเอื้อมมือแตะแขนเบา ๆ “มันพอดีมาก…พอดีกับเธอ…แล้วก็พอดีกับใจฉัน”ฮานะกลั้นยิ้มจนแก้มขึ้นสี ส่วนโซระที่เดินออกมาจากอีกห้องในชุดลูกไม้สีงาช้าง ก็ยักไหล่แล้วพูดเรียบ ๆ“งั้นฉันไม่ใส่ละ เด
ตอนที่ 51. ทะเลาะกันก่อนแต่งงานหลังจากอาหารเช้าอิ่มท้อง กลิ่นชาขิงอุ่น ๆ เริ่มลอยคลุ้งไปทั่วห้องนั่งเล่น ทั้งสี่คนฮานะ, เซียวเล่ห์, เคียว และโซระนั่งรวมตัวกันตรงโซฟาแบบไม่มีใครรีบจะลุกไปไหนบทสนทนาไหลเรื่อยไปเรื่อย ๆ ทั้งเรื่องละครเมื่อคืน เกมที่เคียวเล่นแพ้ไม่เป็นท่า หรือแม้แต่เรื่องชวนหัวเราะอย่างท่าทางตอนหลับของโซระที่เจ้าตัวยืนยันว่า “ไม่ได้กรน!”บรรยากาศดีจนกระทั่ง…“ฉันตั้งใจจะขอฮานะแต่งงาน”เสียงของเซียวเล่ห์นิ่ง สุขุม แต่ออกมาชัดเจนราวกับค้อนกระแทกกลางโต๊ะทุกคนหันขวับฮานะชะงักไปนิด ก่อนจะหันไปจ้องเขาตาโต “เมื่อไหร่นายจะ…บอกฉันก่อนได้ไหม?!”เซียวเล่ห์หันมายิ้มบาง ๆ ให้เธอ “ก็บอกอยู่ตอนนี้ไง”โซระอ้าปากพะงาบ กำถ้วยชาขิงแน่น ส่วนเคียวถึงกับชะงักมือที่กำลังจะหยิบคุกกี้เข้าปาก“แต่งงาน?!” เคียวทวนคำ “น้องจะแต่งก่อนพี่ได้ยังไงวะเนี่ย?!”“เกี่ยวอะไรกับนาย?” เซียวเล่ห์เลิกคิ้ว“โถ่ ไอ้เล่ห์! ถ้านายแต่งก่อน ฉันก็โดนล้อแน่ดิ!” เคียวโอดครวญ “แถมโซระยังอยู่ข้าง ๆ ด้วย ฉันไม่สามารถแพ้ได้!”โซระหันขวับมามอง “เอ๊ะ?! เรื่องนี้ฉันไปเกี่ยวอะไรด้วย?”เคียวชี้นิ้วทันที “ถ้าเซียวเล่ห์จะขอแต่ง ฉ
ตอนที่ 50. เอาคืนแสงไฟในห้องสลัวลงจนแทบมืดสนิท เสียงลมหายใจที่แผ่วเบาและเสียงกระซิบอ่อนโยนกลมกลืนไปกับความเงียบงันของค่ำคืนเซียวเล่ห์ค่อย ๆ ขยับตัวเหนือร่างของฮานะ ราวกับกลัวว่าจะทำให้เธอหวาดกลัวหรือเจ็บปวดมือใหญ่ลูบไล้เรียวแขนที่โอบกอดเขาอย่างมั่นคง ก่อนจะค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปสัมผัสบริเวณต้นคอที่บอบบางฮานะหลับตาพริ้มพร้อมกับปล่อยใจให้ความรู้สึกนั้นซึมลึกเข้าไปในทุกเส้นใยของร่างกายริมฝีปากของเซียวเล่ห์โอบอุ้มริมฝีปากของเธออย่างนุ่มนวล ก่อนจะเริ่มจูบคลอเคล้าอย่างช้า ๆเหมือนต้องการบอกทุกความรู้สึกผ่านสัมผัสนี้ทั้งคู่ผ่อนคลายลง ร่างกายและหัวใจเคลื่อนเข้าหากันอย่างเป็นธรรมชาติเซียวเล่ห์ถอดเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายของตัวเองออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีฮานะสายตากล้าหาญแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน ส่งเสียงกระซิบ “ฉันไว้ใจคุณ...เต็มที่”มือทั้งสองจับกันแน่นเป็นสัญญาแห่งความรักและความมั่นคงเขาค่อย ๆ ก้าวเข้าหาเธออีกครั้ง ร่างกายสัมผัสกันอย่างแผ่วเบาแต่หนักแน่นทุกจังหวะทุกสัมผัสล้วนบอกเล่าความต้องการและความรักที่ไม่มีวันลดน้อยลงในคืนนั้น เวลาหยุดเดิน ความรู้สึกทั้งหมดถ่ายทอดผ่านก
ตอนที่ 49. ร่วมรักทั้งสองนั่งเคียงข้างกันบนระเบียงขนาดกะทัดรัด ใบหน้าของฮานะยังคงเปี่ยมไปด้วยความสงบ ริมฝีปากยิ้มบาง ๆ ขณะที่แสงสีส้มทองของพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าไปช้า ๆสายลมเย็นพัดเบา ๆ ปะทะใบหน้า เหมือนเป็นบทเพลงธรรมชาติที่บรรเลงไว้เพียงเพื่อพวกเขาสองคนเสียงนกร้องไกล ๆ กับกลิ่นหญ้าระเบียงชั้นบน ทำให้เวลาที่หยุดนิ่งไปเหมือนจะเป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบที่สุดในชีวิตเขาหยิบกล่องอาหารเย็นเล็ก ๆ ออกมา ท่ามกลางรอยยิ้มที่ซ่อนความสุขเงียบ ๆ“กินด้วยกันไหม?” น้ำเสียงนุ่มลึกถามอย่างอ่อนโยนเธอพยักหน้าอย่างอ่อนแรง แต่สายตาเต็มไปด้วยความอบอุ่นพวกเขาแบ่งอาหารจากกล่องนั้นอย่างตั้งใจ อาหารมื้อนี้ไม่มีความรีบร้อน มีเพียงความรู้สึกที่ค่อย ๆ เติมเต็มใจทั้งสองคนหลังอาหารเย็น พวกเขายังนั่งกันต่อไม่ลุกไปไหน ท้องฟ้ากลายเป็นสีครามเข้ม และดาวดวงเล็ก ๆ เริ่มผุดขึ้นทีละดวงเซียวเล่ห์ลูบมือของฮานะอย่างช้า ๆ “คืนนี้ดาวสวยมากนะ”“เหมือนชีวิตที่เราจะเริ่มต้นใหม่...ด้วยกัน”สองมือประสานกันแน่นขึ้น ก่อนที่ทั้งคู่จะนอนราบลงบนเก้าอี้เลานจ์ที่เตรียมไว้เงาจันทร์สาดส่องลงมาเป็นประกายเงินบนผิวหน้าทั้งสองราวกับมีเว
ตอนที่48. ฮานะเซียวเล่ห์ห้องพักฟื้นถูกแสงแดดอ่อนส่องลอดผ่านม่านสีครีมเข้ามา เสียงเครื่องวัดชีพจรยังคงดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ กลิ่นยาสะอาดลอยแตะจมูกตลอดเวลาเซียวเล่ห์นั่งเงียบอยู่ข้างเตียงคนไข้ ร่างสูงนั่งหลังตรง ดวงตาคมสบหน้าคนที่นอนหลับสนิทบนเตียงสีขาว — ฮานะยังคงซีดเซียวจากบาดแผลที่ได้รับจากการปะทะเมื่อคืน แม้หมอจะบอกว่าอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่เขาก็ยังไม่กล้าหลับเลยสักวินาทีมือเรียวของฮานะวางนิ่งอยู่ข้างลำตัว นิ้วก้อยของเธอถูกเขาเกี่ยวเอาไว้เบา ๆ คล้ายคำสัญญาเงียบ ๆ ว่าเขาจะไม่ไปไหนดวงตาของเธอกระพริบขึ้นช้า ๆ เหมือนพยายามฝืนลืมตามองหาใครบางคน“เซียว…เล่ห์…”“อยู่ตรงนี้” เขาขานรับแทบจะทันที พร้อมกับโน้มตัวลงใกล้ แล้วใช้นิ้วแตะไรผมที่ปรกหน้าผากเธอออกให้“ไม่ต้องฝืนนะฮานะ หลับต่อก็ได้”“เจ็บ…จังเลย…”น้ำเสียงแผ่วเบานั้นทำให้เขานิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วแตะมือเธอเบา ๆ อย่างอ่อนโยนที่สุด“ฉันรู้…เธอเจ็บ แต่เธอปลอดภัยแล้ว ฉันจะดูแลเธอเอง ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น”เมื่อเธอหลับไปอีกครั้ง เขาจึงลุกขึ้น เดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนใหม่กับกะละมังน้ำอุ่น เขานั่งลงข้างเตียงอีกครั้ง ค่อย ๆ เช็ด