Share

ตระกูลมู่ 2

last update Terakhir Diperbarui: 2025-08-08 14:38:35

“เอาเถิดข้ามิได้คาดหวังให้ใครมาแทนคุณ แค่เจ้ามีชีวิตก็ดีก็พอแล้ว อีกอย่างเรื่องการรบอย่าได้แพร่งพรายไปที่ใดเพราะชีวิตเจ้าจะลำบากยิ่งกว่าเดิม”

          แม้จะดุดันแต่ก็ยังห่วงใยเพราะอย่างไรก็ยังเป็นบุตร มู่เหรินยิ้มรับ

          “ท่านพ่อโปรดวางใจ ข้าจะต้องเอาตัวรอดในเรื่องนี้ได้ เพียงแต่สิ่งที่ข้ากังวลคือท่านพี่ทั้งสามจะไม่ยินยอม เป็นเช่นนั้นพวกท่านจะลำบาก ท่านพ่อโปรดบอกเล่าแก่ท่านพี่เองได้หรือไม่ขอรับ”

          “เรื่องนั้นข้าจะจัดการเอง แต่การไปครั้งนี้จงนำพาหลิงหวางไปด้วย” มู่เหรินนิ่วหน้ากับคำขอ นึกไปถึงเจ้าของชื่อที่เป็นดั่งเงาของเขา ชอบแอบอยู่มุมห้องมืด ๆ และคานไม้ ไม่มีปากเสียง ปิดหน้าสวมชุดดำจนแทบจำหน้าไม่ได้

          “หากเป็นความต้องการของท่านพ่อข้าคงมิอาจขัด คืนนี้ข้าจักเริ่มออกเดินทาง หากเจอกันในภายภาคหน้าลูกอาจไปล่วงเกินท่านโปรดอภัยให้ข้าเพราะข้าทำสิ่งใดย่อมมีเหตุผล”

          มู่ซู่เหลียนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจเพราะมู่เหรินทำสิ่งใดมิเคยไม่มีเหตุผลมาก่อน แม้จะยังเยาว์วัยทว่ากลับไม่เหมือนดังพี่น้องคนอื่น ๆ แววตาล้ำลึกมิอาจหยั่งรู้หรือคาดเดาได้จนบางครั้งอดคิดมิได้ว่ามู่เหรินเป็นเทพเซียนจากที่ใดมา

          “ข้ากราบลาท่านพ่อ”

          มู่เหรินก้มหัวคำนับอย่างนอบน้อมและถอยหลังจากมา กิริยาดูนุ่มนวลแต่ไม่ได้ชักช้าทว่ากลับดูสง่างามอ่อนโยน

          มู่เหรินออกจากห้องบิดาเดินมาหยุดมองพี่ชายทั้งสามคนซึ่งฝึกวิทยายุทธ์กันอย่างแข็งขันที่สนามประลองด้วยสายตาเรียบเฉย พี่ชายคนโตอายุเพียงยี่สิบปีมีนามว่ามู่เจี๋ย ใบหน้าคมเข้มที่ได้บิดามาอีกทั้งรูปร่างสูงใหญ่สมกับว่าที่แม่ทัพคนต่อไป เป็นคนที่จริงจัง เข้มงวด เถรตรง

          พี่รองอายุสิบเก้ามีนามว่ามู่ฉุนเหยียน ใบหน้าหล่อคมคายทว่าผิวขาวเนียนได้มารดา เป็นคนอ่อนโยนหนักแน่น ภายนอกเหมือนคนใจดีแต่อย่าไปยั่วโมโหพี่รองเป็นอันขาดเพราะเงาหัวอาจจะไม่เหลือ

          สุดท้ายพี่สามมีนามว่ามู่ซูหยวน นิสัยเจ้าเล่ห์ ฉลาดทันคนไม่แพ้พี่น้องคนอื่น เชี่ยวชาญการรักษาและใช้พิษเพราะถูกนำไปฝากไว้กับอาจารย์ที่เทือกเขาหยวนซานของสำนักหลิวซูซูตั้งแต่เด็ก เกิดก่อนเขาเพียงแค่ปีเดียว มู่ซูหยวนเป็นเพียงคนเดียวที่รูปร่างคล้ายกับเขาที่สุด แม้สี่พี่น้องจะไม่มีความเหมือนกันเพราะต่างมารดาแต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนคือหวงเขายิ่งกว่าจงอางหวงไข่

          “มู่เหริน”

          มู่ฉุนเหยียนหันมาเจอมู่เหรินที่ยืนมองอยู่ริมระเบียงก็พุ่งทะยานเข้ามาหา สองมือรวบตัวเขากอดรัดไปมาจนเริ่มตาลาย เมื่อมีหนึ่งคนหยุดซ้อมอีกสองคนที่เหลือก็ตามมาอย่างรวดเร็ว

          “เมื่อวานข้าไม่อยู่เพียงวันเดียวเหวินฉินมาหาเจ้าอีกแล้วหรือ”

          มู่เจี๋ยเอ่ยถามเสียงเรียบ ดวงตามองน้องเล็กอย่างเป็นห่วงก่อนจะช่วยดึงร่างโปร่งบางออกมาจากน้องรอง

          “พอแล้วเดี๋ยวมู่เหรินก็กระดูกหักไปกับแรงเจ้าหรอก”

          คำกล่าวของพี่ใหญ่ทำให้มู่ฉุนเหยียนสำรวจร่างโปร่งบางอย่างวิตก เมื่อครู่ตนดีใจที่ได้พบน้องเล็กของบ้านจึงลืมตัวไปชั่วขณะ มู่เหรินมองพี่ชายที่ทำตัวเหมือนเขาเป็นสตรีบอบบางอย่างเอือมระอา ทั้ง ๆ ก็มีวรยุทธ์มิต่างกัน

          “ก็มาให้แก้ปริศนาให้ตามปกติขอรับ”

          มู่เหรินยิ้มบางกับกิริยาสามพี่น้อง แม้จะเบื่อไปบ้างแต่อย่างไรวันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายที่ได้พบเจอ แม้จะผูกพันแต่หากทำให้บ้านเมืองสงบจึงจำเป็นต้องไป

          มู่ซูหยวนก็ไม่น้อยหน้าเอาคางมาเกยไหล่เขามองมาอย่างไม่ยินดียินร้าย ทว่าต้องจับมือพี่สามไว้แน่นเพราะไม่รู้ว่าจะคิดพิเรนทร์เอาเข็มพิษอะไรมาจิ้มเขาเล่นอีก เนื่องจากสามวันก่อนเจ้าตัวนึกอยากลองยา เอาพิษตะวันดับแสงมาจิ้มเขาจนหนาวเยือกไปถึงกระดูก เพียงครู่ก็ร้อนจนลมปราณแทบแตกซ่าน ไม่รู้ว่ามู่ซูหยวนรักน้องแบบไหนกันถึงชอบแกล้งเขาบ่อย ๆ

          “งั้นหรือ ว่าไปน้องพี่ดังใหญ่แล้วนะ”

          มู่ฉุนเหยียนเอ่ยหยอกล้อ มู่เหรินยิ้มบางเก็บความเศร้าหมองไว้ในส่วนลึกเพราะพรุ่งนี้ตระกูลมู่จะไม่มีคุณชายสี่มู่เหรินอีกต่อไป ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้บิดาจะหาโทษอันใดมาขับไล่เขาออกจากจวนได้แต่คงเป็นเรื่องที่ทำให้จวนแม่ทัพเสียชื่อเสียง ไม่เช่นนั้นเหตุผลคงไม่เพียงพอแม้จะเป็นเพียงแค่ข่าวลือก็ตาม จะจริงหรือเท็จย่อมไม่มีผู้ใดทราบ

“วันนี้ข้าทำอาหารไว้ ท่านพี่ทั้งสามไปรับประทานเสียหน่อยดีไหมขอรับ ใกล้จะยามอู่แล้ว” (ยามอู่ 11.00น.-13.00น.)

         มู่เหรินเอ่ยถามอย่างเอาใจเพราะอาจจะไม่ได้ร่วมรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้อีก “จริงหรือ เอาสิ ว่าแต่วันนี้เจ้าทำสิ่งใดให้ข้าทานกัน”

          มู่ซูหยวนเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น มู่เหรินยกยิ้มมุมปากเบาบางกับกิริยาพี่น้องแต่ละคน หากเป็นไปได้เขาเองก็อยากให้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้ตลอดไป

          “วันนี้มีมัสมั่นไก่ แกงกะหรี่ ต้มข่าไก่”

          “เอาเถอะเจ้าบอกมาพวกข้าก็ยังนึกไม่ออกหรอก อาหารของเจ้านั้นแปลกตาแต่กลับอร่อยมิเหมือนใคร หากเจ้าเปิดโรงเตี๊ยมคงมีชื่อเสียงโด่งดัง”

          มู่เจี๋ยเอ่ยตอบพร้อมหัวเราะออกมาอย่างพึงใจ แม้ชื่ออาหารแต่ละอย่างล้วนไม่คุ้นหู ไม่รู้จัก แต่อร่อยจนยากจะลืม

          ทั้งสี่กอดคอกันเดินไปห้องอาหารที่เตรียมไว้ ต่างรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย มู่เหรินมองดูพี่น้องร่วมบิดาด้วยรอยยิ้มบาง เก็บภาพความทรงจำไว้ภายในใจเพราะไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไร พี่ชายทั้งสามคนต่างหัวเราะหยอกล้อกันอย่างมีความสุขโดยมิอาจรับรู้เลยว่านับตั้งแต่พรุ่งนี้จะไม่มีน้องสี่อีกแล้ว…

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • มู่เหรินจอมคนอัจฉริยะ   ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่หุบเขาปีศาจ 1

    หลังจากทั้งคู่ทานอาหารกลางวันอิ่มแล้วจึงได้ออกเดินทางอีกครั้ง มู่เหรินไม่ได้ใช้ลมปราณลงไปที่เท้าในการเดินทาง เขาอยากเก็บแรงไว้เพราะไม่รู้ข้างหน้าจะเจออันตรายอันใดบ้าง แม้จะไม่เคยออกจากเมืองหลวงแคว้นฉีแต่เขาไม่อยากประมาท ยุทธภพนั้นอันตราย หากพลาดท่าเสียทีได้ไปปรโลกเร็วกว่าอายุขัยแน่ อีกทั้งตนมิใช่คนเก่งกาจ อายุเพียงสิบหกในโลกนี้ยังเรียนรู้ไม่ได้มากนัก แม้ความจริงอายุวิญญาณเขาตอนนี้ย่างห้าสิบเอ็ดปีแล้วก็ตาม และกว่าจะถึงที่หมายก็เข้ายามเว่ย(13.00น.-15.00น.)แล้ว ที่นี่ดูครึกครื้นไม่ต่างจากเมืองที่ผ่านมา มู่เหรินหาห้องพักในโรงเตี๊ยมขนาดกลางเพื่อนอนพักหนึ่งคืนสองห้องสำหรับสองคน แม้จะรู้ว่าหลิงหวางชอบมาอารักขาเขาก็ตามแต่อย่างไรก็คงต้องมีเวลาส่วนตัวบ้างเช่นอาบน้ำ จากนั้นจึงได้ออกมาเดินเล่นสำรวจเมือง มีบ้างที่ผู้คนหันมามองเขาด้วยความสนใจเพราะยังมีหมวกปีกสานใบใหญ่ปิดใบหน้า

  • มู่เหรินจอมคนอัจฉริยะ   ตระกูลมู่ 4

    หลังจากบังคับขู่เข็ญหลิงหวางออกจากเงาตอนนี้เจ้าตัวอยู่ในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มไม่ต่างจากตน บนหัวมีหมวกปีกสานใบใหญ่ปกปิดใบหน้าอย่างมิดชิดทั้ง ๆ ที่หน้าตาออกจะธรรมดา ท่าทางจะไม่ชอบให้ใครมองหน้าจริง ๆ ไม่สิ นี่แค่เป็นหน้าหลอก ๆ ของเจ้าตัวมากกว่า แต่เรื่องนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจเพราะอย่างไรเขาก็จดจำคนผู้นี้จากกลิ่นอายรอบตัว มู่เหรินมองแผนที่ในมือเพื่อมุ่งหน้าไปยังหุบเขาปีศาจตามคำแนะนำของบิดา แต่ต้องนิ่วหน้าเพราะแผนที่มิได้บ่งบอกว่าหุบเขาปีศาจอยู่ที่ใดเพราะในประวัติศาสตร์สมัยจั้นกั๋วก็ไม่ได้เล่าเกี่ยวกับหุบเขาปีศาจอีกด้วย เมื่อเงยหน้ามองเพื่อนร่วมเดินทางก็ต้องเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ การที่ให้ออกมาจากเงาทำให้ชีวิตมืดมนขนาดนั้นเชียวหรือ “อีกหน่อยเดี๋ยวก็ชินเอง” เอ่ยบอกเสียงเรียบก่อนจะก้มมองหาจุดสำคัญ หากเดาไม่ผิดไม่อยู่แคว้นฉีก็ต้องอยู่แคว้นฉิน แต่ว่ามันอยู่ระหว่างเหนือกับใต้ที่ห่างกันไกลมาก เพราะเช่นนี้ในประวัติศาสตร์ในจีนแคว้นฉินถึงไม่มาโจมตีแคว้นฉี “เจ้ารู้จักหุบเขาปีศาจหรือไม่” ในเมื่อไม่รู้จึงเอ่ยถามคนข้างกายที่ยืนนิ่ง ๆ หลิงหวางเงยหน้ามามองเล็กน้อยก่อนจะต

  • มู่เหรินจอมคนอัจฉริยะ   ตระกูลมู่ 3

    มู่เหรินมองบ้านเกิดเป็นครั้งสุดท้ายเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้กลับมาอีก ท้องฟ้ามืดมิดยามค่ำคืนในเวลานี้บดบังร่างโปร่งบางที่ยืนใต้ร่มไม้ห่างไกลจากจวนพอประมาณ ส่วนผู้ติดตามขึ้นชื่อว่าเงาก็ยังคงเป็นเงาเหมือนที่ผ่านมา เหลือบตามองเงาร่างที่อยู่ไม่ห่างอย่างกังวล การที่ไม่ได้พูดคุยกับใครเลย คอยแต่หลบซ่อนตัวและแสดงฝีมือเท่านั้นจะเบื่อหน่ายกับโลกใบนี้และเหงามากแค่ไหน “หลิงหวางข้ามีข้อตกลงกับเจ้า หากเจ้าคิดจะติดตามข้าจงแสดงตนออกมาในฐานะสหายข้า หากทำไม่ได้แล้วจงเป็นเงาอย่าให้ข้ารับรู้ตัวตนของเจ้า” มู่เหรินเอ่ยบอกเสียงเรียบ เงาร่างนั้นนิ่งเงียบเพียงครู่ก่อนจะเลือนหายไปกับความมืด เขาถอนหายใจอย่างอ่อนใจ ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็ยังเลือกที่จะเป็นเงา “แต่เจ้ารู้ไหม ข้าอยากเป็นสหายเจ้ามากกว่าสิ่งที่เจ้าเป็น” มู่เหรินเอ่ยเสียงแผ่วไปตามสายลม ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อย ๆ กว่าหลิงหวางจะยอมออกจากเงาคงต้องใช้เวลาหรือไม่ก็ตัวเขาเกิดภัย คนเช่นนี้บิดาไปหามาจากที่ใดกัน เก่งกาจเรื่องวรยุทธ์และยังเก่งเรื่องปลอมตัวอีก ทว่าแม้โฉมหน้าจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนแต่กลิ่นอายเดิมย

  • มู่เหรินจอมคนอัจฉริยะ   ตระกูลมู่ 2

    “เอาเถิดข้ามิได้คาดหวังให้ใครมาแทนคุณ แค่เจ้ามีชีวิตก็ดีก็พอแล้ว อีกอย่างเรื่องการรบอย่าได้แพร่งพรายไปที่ใดเพราะชีวิตเจ้าจะลำบากยิ่งกว่าเดิม” แม้จะดุดันแต่ก็ยังห่วงใยเพราะอย่างไรก็ยังเป็นบุตร มู่เหรินยิ้มรับ “ท่านพ่อโปรดวางใจ ข้าจะต้องเอาตัวรอดในเรื่องนี้ได้ เพียงแต่สิ่งที่ข้ากังวลคือท่านพี่ทั้งสามจะไม่ยินยอม เป็นเช่นนั้นพวกท่านจะลำบาก ท่านพ่อโปรดบอกเล่าแก่ท่านพี่เองได้หรือไม่ขอรับ” “เรื่องนั้นข้าจะจัดการเอง แต่การไปครั้งนี้จงนำพาหลิงหวางไปด้วย” มู่เหรินนิ่วหน้ากับคำขอ นึกไปถึงเจ้าของชื่อที่เป็นดั่งเงาของเขา ชอบแอบอยู่มุมห้องมืด ๆ และคานไม้ ไม่มีปากเสียง ปิดหน้าสวมชุดดำจนแทบจำหน้าไม่ได้ “หากเป็นความต้องการของท่านพ่อข้าคงมิอาจขัด คืนนี้ข้าจักเริ่มออกเดินทาง หากเจอกันในภายภาคหน้าลูกอาจไปล่วงเกินท่านโปรดอภัยให้ข้าเพราะข้าทำสิ่งใดย่อมมีเหตุผล” มู่ซู่เหลียนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจเพราะมู่เหรินทำสิ่งใดมิเคยไม่มีเหตุผลมาก่อน แม้จะยังเยาว์วัยทว่ากลับไม่เหมือนดังพี่น้องคนอื่น ๆ แววตาล้ำลึกมิอาจหยั่งรู้หรือคาดเดาได้จนบางครั้งอดคิดมิได้ว่ามู่เหรินเ

  • มู่เหรินจอมคนอัจฉริยะ   ตระกูลมู่ 1

    สองเท้าก้าวเดินไปโรงเก็บหญ้าข้าง ๆ กันพร้อมหยิบหญ้ามากำหนึ่งขนาดไม่ใหญ่มาก มาวางไว้ให้ม้าทั้งสองตัวกิน เพียงไม่นานผลก็ออกมา เมื่อม้าสีน้ำตาลเข้มทางซ้ายมือใช้เท้าเขี่ยหญ้าไปให้ม้าที่อยู่ทางขวามือ สัญชาตญาณของความเป็นแม่ย่อมให้ผู้เป็นลูกได้กินอิ่มก่อนเสมอ “ม้าตัวสีน้ำตาลเข้มทางซ้ายมือเป็นแม่ สีอ่อนหน่อยทางขวามือเป็นลูก หากหมดธุระของเจ้าแล้วข้าขอตัว” มู่เหรินบอกเสียงเรียบพร้อมสะบัดชายผ้าจากไป คุณชายเหวินฉินอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงกับความเย็นชาของคุณชายมู่เหริน ดวงตาคมมองตามร่างโปร่งบางคล้ายคนหัวใจสลาย เขาใช้เวลาร่วมเดือนกว่าจะได้บัตรคิว หวังจะได้พบหน้าสนทนาแต่กลับอยู่ด้วยไม่ถึงหนึ่งเค่อ สนทนาไม่กี่ประโยคก็หมดเวลาเพราะคำตอบนั้นถูกต้องตามกฎที่มู่เหรินให้ไว้กับทุกคน กลับกันหากมู่เหรินตอบผิดจะได้อยู่ร่วมรับประทานอาหารด้วยเป็นเวลาหนึ่งมื้อ แม้คนอื่นอาจไม่เห็นค่าแต่สำหรับเหวินฉินแล้วมันเหมือนรางวัลที่คุ้มค่ากับการรอคอย ทว่าบัดนี้หัวใจดวงน้อยกลับถูกตัดเยื่อใยอย่างไม่ไยดี “จิ่นกวาง ทำไมคุณชายเจ้าถึงได้เย็นชาต่อข้านักเล่า ไม่เห็นใจข้าบ้างหรือ เฝ้ารอมาเนิ่นนา

  • มู่เหรินจอมคนอัจฉริยะ   คุณชายมู่เหริน

    “นายน้อยคุณชายเหวินฉินมาขอพบขอรับ” คำรายงานของบ่าวรับใช้ทำให้ร่างโปร่งบางชะงักงันไปชั่วครู่ ใบหน้างดงามที่ยังคงเยาว์วัยนิ่งเรียบทว่าในใจกำลังหวนนึกไปถึงเจ้าของนามเหวินฉินบุตรชายคนรองของตระกูลเหวินซึ่งเรืองชื่อในเรื่องการค้าขาย “พาเขาไปรอข้าที่เดิม” น้ำเสียงนุ่มทุ้มตอบกลับมาโดยไม่ได้ละสายตาจากหนังสือในมือ บ่าวรับใช้ก้มหัวให้พร้อมถอยหลังกลับออกไปจากห้องหนังสือทำหน้าที่ของตนต่อไป มู่เหรินเหลือบตามองบ่าวรับใช้ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายกับคนที่มาขอพบ เขาเป็นบุตรสุดท้องของตระกูลมู่ที่รับใช้ราชวงศ์มาหลายชั่วอายุคน ทว่าแท้จริงแล้วเคยมีอีกนามที่เริ่มจะลืมเลือนไปคือนายศิลา เป็นอาจารย์สอนประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศไทย ตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ในช่วงฤดูฝน เขายังจำช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดีเนื่องจากยืนเฝ้ามองร่างของตัวเองซึ่งตกลงไปในหุบเหวจังหวัดเชียงใหม่เป็นเวลาสามวันโดยที่ไม่อาจไปไหนได้ก่อนจะถูกนำตัวมาเกิดในที่แห่งนี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมความทรงจำเดิมยังคงอยู่ ผ่านไปหนึ่งชั่วยามมู่เหรินจึงวางหนังสือลงพร้อมลุกขึ้

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status