“เอาเถิดข้ามิได้คาดหวังให้ใครมาแทนคุณ แค่เจ้ามีชีวิตก็ดีก็พอแล้ว อีกอย่างเรื่องการรบอย่าได้แพร่งพรายไปที่ใดเพราะชีวิตเจ้าจะลำบากยิ่งกว่าเดิม”
แม้จะดุดันแต่ก็ยังห่วงใยเพราะอย่างไรก็ยังเป็นบุตร มู่เหรินยิ้มรับ
“ท่านพ่อโปรดวางใจ ข้าจะต้องเอาตัวรอดในเรื่องนี้ได้ เพียงแต่สิ่งที่ข้ากังวลคือท่านพี่ทั้งสามจะไม่ยินยอม เป็นเช่นนั้นพวกท่านจะลำบาก ท่านพ่อโปรดบอกเล่าแก่ท่านพี่เองได้หรือไม่ขอรับ”
“เรื่องนั้นข้าจะจัดการเอง แต่การไปครั้งนี้จงนำพาหลิงหวางไปด้วย” มู่เหรินนิ่วหน้ากับคำขอ นึกไปถึงเจ้าของชื่อที่เป็นดั่งเงาของเขา ชอบแอบอยู่มุมห้องมืด ๆ และคานไม้ ไม่มีปากเสียง ปิดหน้าสวมชุดดำจนแทบจำหน้าไม่ได้
“หากเป็นความต้องการของท่านพ่อข้าคงมิอาจขัด คืนนี้ข้าจักเริ่มออกเดินทาง หากเจอกันในภายภาคหน้าลูกอาจไปล่วงเกินท่านโปรดอภัยให้ข้าเพราะข้าทำสิ่งใดย่อมมีเหตุผล”
มู่ซู่เหลียนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจเพราะมู่เหรินทำสิ่งใดมิเคยไม่มีเหตุผลมาก่อน แม้จะยังเยาว์วัยทว่ากลับไม่เหมือนดังพี่น้องคนอื่น ๆ แววตาล้ำลึกมิอาจหยั่งรู้หรือคาดเดาได้จนบางครั้งอดคิดมิได้ว่ามู่เหรินเป็นเทพเซียนจากที่ใดมา
“ข้ากราบลาท่านพ่อ”
มู่เหรินก้มหัวคำนับอย่างนอบน้อมและถอยหลังจากมา กิริยาดูนุ่มนวลแต่ไม่ได้ชักช้าทว่ากลับดูสง่างามอ่อนโยน
มู่เหรินออกจากห้องบิดาเดินมาหยุดมองพี่ชายทั้งสามคนซึ่งฝึกวิทยายุทธ์กันอย่างแข็งขันที่สนามประลองด้วยสายตาเรียบเฉย พี่ชายคนโตอายุเพียงยี่สิบปีมีนามว่ามู่เจี๋ย ใบหน้าคมเข้มที่ได้บิดามาอีกทั้งรูปร่างสูงใหญ่สมกับว่าที่แม่ทัพคนต่อไป เป็นคนที่จริงจัง เข้มงวด เถรตรง
พี่รองอายุสิบเก้ามีนามว่ามู่ฉุนเหยียน ใบหน้าหล่อคมคายทว่าผิวขาวเนียนได้มารดา เป็นคนอ่อนโยนหนักแน่น ภายนอกเหมือนคนใจดีแต่อย่าไปยั่วโมโหพี่รองเป็นอันขาดเพราะเงาหัวอาจจะไม่เหลือสุดท้ายพี่สามมีนามว่ามู่ซูหยวน นิสัยเจ้าเล่ห์ ฉลาดทันคนไม่แพ้พี่น้องคนอื่น เชี่ยวชาญการรักษาและใช้พิษเพราะถูกนำไปฝากไว้กับอาจารย์ที่เทือกเขาหยวนซานของสำนักหลิวซูซูตั้งแต่เด็ก เกิดก่อนเขาเพียงแค่ปีเดียว มู่ซูหยวนเป็นเพียงคนเดียวที่รูปร่างคล้ายกับเขาที่สุด แม้สี่พี่น้องจะไม่มีความเหมือนกันเพราะต่างมารดาแต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนคือหวงเขายิ่งกว่าจงอางหวงไข่
“มู่เหริน”
มู่ฉุนเหยียนหันมาเจอมู่เหรินที่ยืนมองอยู่ริมระเบียงก็พุ่งทะยานเข้ามาหา สองมือรวบตัวเขากอดรัดไปมาจนเริ่มตาลาย เมื่อมีหนึ่งคนหยุดซ้อมอีกสองคนที่เหลือก็ตามมาอย่างรวดเร็ว
“เมื่อวานข้าไม่อยู่เพียงวันเดียวเหวินฉินมาหาเจ้าอีกแล้วหรือ”
มู่เจี๋ยเอ่ยถามเสียงเรียบ ดวงตามองน้องเล็กอย่างเป็นห่วงก่อนจะช่วยดึงร่างโปร่งบางออกมาจากน้องรอง
“พอแล้วเดี๋ยวมู่เหรินก็กระดูกหักไปกับแรงเจ้าหรอก”
คำกล่าวของพี่ใหญ่ทำให้มู่ฉุนเหยียนสำรวจร่างโปร่งบางอย่างวิตก เมื่อครู่ตนดีใจที่ได้พบน้องเล็กของบ้านจึงลืมตัวไปชั่วขณะ มู่เหรินมองพี่ชายที่ทำตัวเหมือนเขาเป็นสตรีบอบบางอย่างเอือมระอา ทั้ง ๆ ก็มีวรยุทธ์มิต่างกัน
“ก็มาให้แก้ปริศนาให้ตามปกติขอรับ”
มู่เหรินยิ้มบางกับกิริยาสามพี่น้อง แม้จะเบื่อไปบ้างแต่อย่างไรวันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายที่ได้พบเจอ แม้จะผูกพันแต่หากทำให้บ้านเมืองสงบจึงจำเป็นต้องไป
มู่ซูหยวนก็ไม่น้อยหน้าเอาคางมาเกยไหล่เขามองมาอย่างไม่ยินดียินร้าย ทว่าต้องจับมือพี่สามไว้แน่นเพราะไม่รู้ว่าจะคิดพิเรนทร์เอาเข็มพิษอะไรมาจิ้มเขาเล่นอีก เนื่องจากสามวันก่อนเจ้าตัวนึกอยากลองยา เอาพิษตะวันดับแสงมาจิ้มเขาจนหนาวเยือกไปถึงกระดูก เพียงครู่ก็ร้อนจนลมปราณแทบแตกซ่าน ไม่รู้ว่ามู่ซูหยวนรักน้องแบบไหนกันถึงชอบแกล้งเขาบ่อย ๆ
“งั้นหรือ ว่าไปน้องพี่ดังใหญ่แล้วนะ”
มู่ฉุนเหยียนเอ่ยหยอกล้อ มู่เหรินยิ้มบางเก็บความเศร้าหมองไว้ในส่วนลึกเพราะพรุ่งนี้ตระกูลมู่จะไม่มีคุณชายสี่มู่เหรินอีกต่อไป ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้บิดาจะหาโทษอันใดมาขับไล่เขาออกจากจวนได้แต่คงเป็นเรื่องที่ทำให้จวนแม่ทัพเสียชื่อเสียง ไม่เช่นนั้นเหตุผลคงไม่เพียงพอแม้จะเป็นเพียงแค่ข่าวลือก็ตาม จะจริงหรือเท็จย่อมไม่มีผู้ใดทราบ
“วันนี้ข้าทำอาหารไว้ ท่านพี่ทั้งสามไปรับประทานเสียหน่อยดีไหมขอรับ ใกล้จะยามอู่แล้ว” (ยามอู่ 11.00น.-13.00น.)
มู่เหรินเอ่ยถามอย่างเอาใจเพราะอาจจะไม่ได้ร่วมรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้อีก “จริงหรือ เอาสิ ว่าแต่วันนี้เจ้าทำสิ่งใดให้ข้าทานกัน”
มู่ซูหยวนเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น มู่เหรินยกยิ้มมุมปากเบาบางกับกิริยาพี่น้องแต่ละคน หากเป็นไปได้เขาเองก็อยากให้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้ตลอดไป
“วันนี้มีมัสมั่นไก่ แกงกะหรี่ ต้มข่าไก่”
“เอาเถอะเจ้าบอกมาพวกข้าก็ยังนึกไม่ออกหรอก อาหารของเจ้านั้นแปลกตาแต่กลับอร่อยมิเหมือนใคร หากเจ้าเปิดโรงเตี๊ยมคงมีชื่อเสียงโด่งดัง”
มู่เจี๋ยเอ่ยตอบพร้อมหัวเราะออกมาอย่างพึงใจ แม้ชื่ออาหารแต่ละอย่างล้วนไม่คุ้นหู ไม่รู้จัก แต่อร่อยจนยากจะลืม
ทั้งสี่กอดคอกันเดินไปห้องอาหารที่เตรียมไว้ ต่างรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย มู่เหรินมองดูพี่น้องร่วมบิดาด้วยรอยยิ้มบาง เก็บภาพความทรงจำไว้ภายในใจเพราะไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไร พี่ชายทั้งสามคนต่างหัวเราะหยอกล้อกันอย่างมีความสุขโดยมิอาจรับรู้เลยว่านับตั้งแต่พรุ่งนี้จะไม่มีน้องสี่อีกแล้ว…
น้ำเสียงที่เอ่ยถามนั้นอ่อนโยนจนสัมผัสได้ ก่อนจะหมุนกายไปยังห้องน้ำอย่างถือวิสาสะ มู่เหรินมองตามอย่างมึนงง ทำไมห้องนอนเขาถึงเป็นสวนสาธารณะไปแล้ว ถึงจะเป็นเพียงแค่โรงเตี๊ยมก็เถอะแต่ว่าห้องนี้เขาเช่าแล้ว! อีกฝ่ายบอกว่าพี่เช่นนั้นหรือ แล้วพี่ไหนเขาไม่เคยมีพี่ชายอัปลักษณ์อย่างนี้ แต่เมื่อนึกถึงดวงตาคู่หงส์และน้ำเสียงที่อ่อนโยนนั่นก็ได้ยืนมองตามเงาร่างสีแดงอย่างอึ้งๆ “มู่ซูหยวน?” มู่เหรินเรียกชื่อพี่สามตัวเองอย่างมึนงง สงสัยเขาจะนอนไม่พอจริงๆ ร่างสูงเดินกลับไปนั่งบนเตียงนอนมองสหายทีวิญญาณหลุดจากร่างอย่างขำขัน คงไม่เคยมีใครว่าหน้าตาบ้านๆ มาก่อนสินะ ความจริงกวยเตียวน้ำหน้าตาหล่อเหลาสะอาดสะอ้านเหมือนคุณชายเจ้าสำราญนั่นแหละ เพียงไม่นานร่างสูงในอาภรณ์สีแดงก็กลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ปรากฏใบหน้างดงามเหมือนที่เคยเป็น ดวงตาคู่หงส์หยุดมองคนที่สติหลุดลอยแล้วย่นคิ้วน้อยๆ ก่อนจะบัดร่างนั้นออกจากห้องพร้อมปิดประตูลงกลอนอย่างรวดเร็ว การลงมือโดยไม่ได้บอกกล่าวของพี่สาม ทำให้มู่เหรินยิ้มเจือน ไว้อาลัยให้สหายอย่างเงียบๆ “เหตุใดพี่สามถึงมาอยู่ที่
คำถามของอีกฝ่ายทำให้มู่เหรินมองอีกฝ่ายนิ่งๆ ไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ ดวงตาสองคู่มองกันเงียบๆ แม้อีกฝ่ายจะเกาไม่หยุด ทว่าคนฉลาดไม่ต้องกล่าวสิ่งใดให้มากก็รู้ว่าอีกฝ่ายแค่ลองหยั่งเชิงเขาดูเฉยๆ “กลัวรัชทายาทจับเจ้าทำเมียกระมัง” มู่เหรินตอบกลับอย่างประชด ทว่าคนฟังอ้าปากค้างเข่าทรุดลงใบหน้าที่แดงเถือกจากแรงเกาทำราวกับร้องไห้ เขานิ่วหน้ามองอย่างประหลาดใจ เหตุผลมั่วๆ ของเขาเป็นจริงหรือนี่ มุมยกยิ้มน้อยๆ จนมองแทบไม่เห็นด้วยความขบขัน ทว่าคนเจ้าเล่ห์อย่างหมอนี่นะหรือจะโดนจับทำเมีย “เลิกเล่นละครไร้สาระของเจ้าได้แล้วกวยเตียวน้ำ ข้ามิได้โง่เขลาเหมือนผู้อื่นที่เจ้าหลอกมา เอานี่” มู่เหรินกล่าวอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะโยนยาแก้พิษไปให้ ไม่บอกก็รู้ว่าคงเป็นฝีมือคนของหลิงหวางอีกฝ่ายคว้าหมับรับไปดมดูก่อนจะกลืนลงไปอย่างรวดเร็ว ดวงตามองมาที่เขาแล้วเม้มปากแน่นก่อนจะถอนหายใจออกมา “เพราะเจ้าฉลาดอย่างนี้แหละ ข้าถึงอยากเป็นเป็นสหายกับเจ้า เพียงแค่ผิดพลาดเรื่องหน้าตาเท่านั้น หากข้ามิจริงใจคงไม่เอาหน้าจริงๆ ที่แสนหล่อเหลาของข้ามาให้เจ้ารู้จักหรอก” คำ
อ้างว้างอีกแล้วฤาดวงใจข้า เอื้อมมือดึงฟ้ามาคลุมห่ม เหน็บหนาวทรมานม่านอารมณ์ ยังดื่มด่ำชื่นชมรัตติกาลลำพัง คิดถึงเจ้ามู่เหริน...มู่เหรินเม้มปากแน่น ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ เมื่อคนที่อยู่ห่างไกลหลายพันลี้มาทำให้เขาอับอาย นี่ขนาดตัวไม่อยู่ยังมาทำให้เขาอายจนหน้าแดง ไม่ได้...ไม่ได้! เขาจะต้องไม่ยอมอับอายคนเดียว ร่างสูงหมุนกายเข้าห้องพร้อมหยิบกระดาษและพู่กันอยู่ภายในห้องมาเขียนตอบกลับอย่างคล่องแคล่ว สะบัดให้หมึกแห้งก่อนจะยิ้มกริ่มแล้วนำไปฝากให้นกอินทรีไปส่งให้เจ้าของ นกอินทรีทะยานจากไปเมื่อได้รับจดหมายแนบกลับไปด้วยแล้ว มู่เหรินมองตามด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ดวงดาวบนฟ้าวันนี้เริ่มเจิดจ้า แต่พระจันทร์นั้นกลับโดดเด่นเสมอในยามค่ำคืนแม้ในคืนที่มืดมิดก็ยังอยู่เคียงข้างดวงดาราไม่แปรผัน เขากดความรู้สึกที่เหงา หว้าเหว่ไว้ในอก ก่อนจะหมุนกายกลับนอนพร้อมดับตะเกียงน้ำมันเก็บแรงไว้เดินทางต่อพรุ่งนี้ หากถึงเร็วเมื่อไรเขาจะได้กลับไปหาหลิงหวางเร็วขึ้น และที่สำคัญขาดไม่ได้ก็คือ เขาต้องไปศึกษาเรื่องอย่างว่าให
ปัง! ประตูปิดลง แต่คนที่ถูกสะบัดออกมาลุกขึ้นยืนจับสะโพกด้วยสีหน้าแหยงๆ ก่อนจะหันไปมองหน้าประตูแล้วยกยิ้มมุมปากน้อยๆ แล้วเดินเข้าห้องข้างๆ อย่างอารมณ์ดี ทว่าคืนนั้นกวยเตียวน้ำกลับไม่ได้นอนทั้งคืนเนื่องด้วยถูกกลั่นแกล้งจากบุรุษลึกลับด้วยพิษคันคะเยอไปทั้งตัว! มู่เหรินถอดหน้ากากเจ้าปัญหาออกและก้มมองมันอย่างครุ่นคิด ก่อนจะโยนไปไว้ที่โต๊ะเล็กมุมห้องอย่างไม่ใส่ใจ แล้วะถอดอาภรณ์เดินไปแช่น้ำที่ถูกเตรียมไว้ให้ น้ำอุ่นๆ ทำให้ร่างกายที่เหนื่อยล้ารู้สึกดีขึ้นมาก วันนี้เพียงแวะโรงเตี๊ยมก็วุ่นวายไปหมด แต่สิ่งที่ทำให้เขาติดใจคือกวยเตียวน้ำเป็นใครและต้องการอะไรจากเขากันแน่ และดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ ด้วยสิ ผ่านไปสองก้านธูปเขาได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้น จึงได้ลุกขึ้นจากน้ำตวัดเสื้อคลุมสีเข้มมาสวมใส่แล้วเดินออกไป คนที่เข้ามาในห้องไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นหนึ่งในเงาของหลิงหวางที่ส่งมาดูแลเขา ร่างสูงสมส่วนที่ไม่ผอมบางมากเกินไปเดินเข้ามา อาภรณ์ที่สวมใส่ออกมายังไม่เรียบร้อยเผยให้เห็นแผ่นอกที่ขาวเนียนไร้ที่ติ เส้นผมสีดำปล่อยสยายและ
หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ ทว่าเสียงฮือฮาภายในโรงเตี๊ยมดังขึ้น ขณะที่พวกเขาจับจ้องป้ายหยกอย่างตื่นตะลึง ความจริงเขาจะเปิดเผยโฉมหน้าก็ได้แต่พวกมันก็คงคิดว่าเป็นของปลอมเหมือนป้ายหยกในมือเขาตอนนี้แน่ “ว้าวว ของจริงเสียด้วย” กวยเตียวน้ำคว้าป้ายหยกของเขาไปชื่นชมอย่างออกหน้าออกตา ใบหน้าเบิกบานราวกับตัวเองสืบค้นคดีสำคัญสำเร็จ มู่เหรินเหลือบตาไปมองคนหน้าระรื่นเกินเหตุจนไร้คำพูดที่จะกล่าว เขาจำได้ไม่เคยรู้จักเจ้านี่เป็นพิเศษ “คุณชายท่านนี้ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าป้ายหยกนี่เป็นของจริง” หนึ่งในนั้นเอ่ยถามกวยเตียวน้ำอย่างมีมารยาท ผิดกับเขาอย่างฟ้ากับเหวนี่คำเรียกขานเขาดูกันที่หน้าตาใช่ไหม! “อ๋อ บิดาข้าเป็นหนึ่งในอาวุโสของอารามเมฆขาว” กวยเตียวน้ำตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่ทำให้คนมองเก้อเขิน ทว่าคำตอบนี้ทำให้มู่เหรินมองตามอย่างอึ้งๆ ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะหน้าด้านจนไร้ยางอายเช่นนี้ อารามเมฆขาวคิดว่าเป็นที่ใดหอนางโลมหรืออย่างไร “อ่า สงสัยพวกข้าเข้าใจผิดจริงๆ พวกข้าคงต้องขอตัวไปรายงานที่พรรคก่อน” กล่าวจ
“น้องชายท่านนี้ไม่ทราบเราเคยพบกันมาก่อนหรือไม่” มู่เหรินหลุดจากภวังค์หันมามองคนที่เอ่ยทักทายและถือวิสาสะนั่งลงตรงข้ามเขา ใบหน้าเกลี้ยงเกลาอาภรณ์สะอาดสะอ้าน ท่าทางเจ้าสำราญราวกับคุณชายพร้อมพัดในมือโบกไป รอยยิ้มเจิดจ้าทำให้คนมองแสบตา แต่เมื่อพิจารณาอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วนก็จำมิได้ว่าเคยพบเจอกัน ที่สำคัญใบหน้าเขาตอนนี้มิใช่ของจริงไยจะมีคนรู้จักนอกจากมุกเกี้ยวสาวเท่านั้น “การเกี้ยวพาราสีของเจ้าไม่ผ่าน ไปเรียนมาใหม่” มู่เหรินเอ่ยตอบพร้อมส่ายหน้ากับคำพูดที่แสนซ้ำซากที่พบเจอบ่อยในหนังสือนิยาย ใบหน้าเกลี้ยงเหลาหุบยิ้มทันทีที่เขาเอ่ยตอบก่อนจะหรี่ตามองเขานิ่งๆ แล้วฉีกยิ้มกว้างราวกับเจอของถูกใจเมื่อเห็นสีหน้าเฉยชาของเขา “หน้าตาของเจ้า... คนใช้บ้านข้ายังดูดีกว่า เหตุใดจึงคิดว่าข้าจะเกี้ยวเจ้ากัน” มู่เหรินเลิกคิ้วมองคนที่กำลังยั่วยวนกวนโทสะ เขาแค่ส่ายหน้ามองอย่างใจเย็นไม่ได้เต้นไปตามแรงยั่วยุ “เพราะข้าฉลาด” มู่เหรินตอบกลับอย่างไม่ยินดียินร้าย ขณะที่คนฟังสำลักน้ำชาที่รินให้ตัวเองอย่างไม่ได้รับเชิญ เขายกผ้าเช็ดหน้ากัน