มู่เหรินมองบ้านเกิดเป็นครั้งสุดท้ายเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้กลับมาอีก ท้องฟ้ามืดมิดยามค่ำคืนในเวลานี้บดบังร่างโปร่งบางที่ยืนใต้ร่มไม้ห่างไกลจากจวนพอประมาณ ส่วนผู้ติดตามขึ้นชื่อว่าเงาก็ยังคงเป็นเงาเหมือนที่ผ่านมา เหลือบตามองเงาร่างที่อยู่ไม่ห่างอย่างกังวล การที่ไม่ได้พูดคุยกับใครเลย คอยแต่หลบซ่อนตัวและแสดงฝีมือเท่านั้นจะเบื่อหน่ายกับโลกใบนี้และเหงามากแค่ไหน
“หลิงหวางข้ามีข้อตกลงกับเจ้า หากเจ้าคิดจะติดตามข้าจงแสดงตนออกมาในฐานะสหายข้า หากทำไม่ได้แล้วจงเป็นเงาอย่าให้ข้ารับรู้ตัวตนของเจ้า”
มู่เหรินเอ่ยบอกเสียงเรียบ เงาร่างนั้นนิ่งเงียบเพียงครู่ก่อนจะเลือนหายไปกับความมืด เขาถอนหายใจอย่างอ่อนใจ ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็ยังเลือกที่จะเป็นเงา
“แต่เจ้ารู้ไหม ข้าอยากเป็นสหายเจ้ามากกว่าสิ่งที่เจ้าเป็น”
มู่เหรินเอ่ยเสียงแผ่วไปตามสายลม ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อย ๆ กว่าหลิงหวางจะยอมออกจากเงาคงต้องใช้เวลาหรือไม่ก็ตัวเขาเกิดภัย คนเช่นนี้บิดาไปหามาจากที่ใดกัน เก่งกาจเรื่องวรยุทธ์และยังเก่งเรื่องปลอมตัวอีก
ทว่าแม้โฉมหน้าจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนแต่กลิ่นอายเดิมยังคงอยู่ และนี่เป็นเรื่องแปลกอีกเรื่องที่เขาสามารถรับรู้และแยกแยะคนได้จากกลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่าง ถึงเจ้าตัวจะหลบซ่อนที่ไหนแต่กลิ่นอายกลับไม่ได้หลบหลีกหนีตามไปได้
มู่เหรินหมุนกายหันหลังออกเดินจากจวนมู่เมื่อถึงเวลาอันสมควร เพราะมองนานไปกว่านี้ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นและยังจะทำให้ตนเองยึดติดกับบ้านมากเกินไป ร่างโปร่งบางในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มกับห่อผ้าสีเดียวกันสะพายไหล่เดินจากไป ด้านหลังเป็นกระบี่เฉิงหยิ่งซึ่งแปลว่าเงา ความจริงกระบี่เล่มนี้เขาออกแบบให้เหมือนในหนังสือเลี่ยจื่อซึ่งเป็นหนังสือสมัยจั้นกั๋ว เห็นว่ามันงดงามและเหมาะกับมือเขาพอดี
มู่เหรินใช้เวลาครึ่งคืนก็มานั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมนอกเมืองหลวงแคว้นฉี ผู้คนครึกครื้นเพราะเป็นทางผ่านของพ่อค้าและชาวยุทธ์ที่ต้องการมาท่องเที่ยว ทว่ายามนี้กลับทำให้เขาหน้าแดงก่ำกับข่าวลือที่ดังกระฉ่อนในตอนนี้
“จริง ๆ ข่าวนี้ข้าได้ยินมาจากสำนักพิราบขาวรับรองไม่มีพลาด”
“จะเป็นจริงได้เช่นไร คุณชายสี่ของแม่ทัพมู่ซู่เหลียนนั้นฉลาดหลักแหลมไม่ทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้หรอก”
มู่เหรินกลืนน้ำชาลงคออย่างยากลำบาก ข่าวลือที่กำลังพูดคุยกันอยู่นี้ล้วนเกี่ยวกับเขา แม้จะไม่ค่อยมีคนรู้จักคุณชายสี่แห่งตระกูลมู่แต่เรื่องแบบนี้ท่านพ่อไยถึงกล้าเอามาเป็นโทษทัณฑ์ขับไล่เขาได้ แค่คิดก็อยากเอาหน้ามุดลงใต้โต๊ะแล้ว
“ไม่น่าเชื่อว่าคุณชายสี่จะเป็นบุรุษที่ชมชอบตัดแขนเสื้อมิหนำซ้ำยังหนีตามกันไปจนทำให้แม่ทัพเดือดดาลขับไล่ออกจากตระกูลมู่ หมดกันความรู้สึกเลื่อมใสของข้า คิดว่าจะฉลาดหลักแหลมแต่กลับทำเรื่องน่าอายเช่นนี้”
ชายร่างผอมนั่งฝั่งตรงข้ามกับมู่เหรินกล่าวอย่างเดียดฉันท์และเสียความรู้สึก
มู่เหรินรีบวางเบี้ยค่าอาหารมื้อเช้าก่อนจะหลบตาผู้คนออกจากโรงเตี๊ยม กลัวว่าจะมีผู้คนจำตนได้
“ท่านพ่อทำข้าได้เจ็บแสบนัก”
มู่เหรินสบถออกมาอย่างหงุดหงิดหัวเสียขณะเดินผ่านตลาดก่อนจะตัดสินใจซื้อหมวกปีกสานใบใหญ่ที่ปกปิดใบหน้ามาสวมโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด ใบหน้าที่เคยเรียบนิ่งกลับขมวดมุ่นอย่างครุ่นคิด จากเรื่องคุณชายสี่ตระกูลมู่ผู้ฉลาดล้ำดั่งสายธารแห่งปัญญากลับถูกกลบข่าวลือหนีตามบุรุษได้เพียงชั่วข้ามคืน น่านับถือคนออกข่าวลือจริง ๆ!
“หลิงหวางออกมา”
เมื่อออกมาพ้นเมืองจึงร้องเรียกเงาที่ตามเงียบ ๆ เสียงนิ่งเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ เงาร่างนั้นลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยอมออกมาก้มหน้าคุกเข่าเบื้องหน้า
“เจ้ารู้ว่าท่านพ่อจะทำเช่นนี้หรือไม่”
“ไม่ขอรับ”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มตอบกลับมา มู่เหรินเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ อาจเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เงาร่างนี้ยอมคุยกับเขา จำได้ว่าหลิงหวางมาติดตามเขาเมื่อห้าปีก่อน ตอนนั้นเขาอายุได้สิบเอ็ดปี คำตอบที่ได้รับไม่เกินจากที่คิดไว้ก่อนจะยื่นหมั่นโถวห้าลูกให้
“กินก่อน ต่อไปนี้ไม่ต้องแอบตามแล้วเพราะยังไงข้าก็รู้อยู่ดีว่าเจ้าอยู่ตรงไหน”
“ขออภัยขอรับ ข้ามิอาจทำได้” มู่เหรินมองคนปฏิเสธแล้วส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ขึ้นชื่อว่าเงาหากออกมาแล้วไซร้จะกลายเป็นเงาได้อย่างไร
“ไม่เหงาหรือ ไม่ได้คุยกับใครและต่อไปนี้เจ้าจะไม่มีพี่น้องเหมือนในจวนมู่อีกแล้วนะ”
“ไม่ขอรับ” น้ำเสียงหนักแน่นตอบกลับมาไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ
“ไหน ๆ ท่านพ่อก็ออกข่าวลือว่าข้าหนีตามบุรุษมาแล้ว เจ้าก็มาเป็นบุรุษผู้นั้นแล้วกัน”
มู่เหรินกล่าวเสียงเรียบแต่คนรับคำสั่งมีสีหน้าอึกอักเล็กน้อยใบหน้าแดงซ่านอย่างอับอาย เขายกยิ้มบางอย่างพึงใจ เรื่องอะไรเขาจะอับอายขายหน้าเพียงคนเดียว อย่างน้อยก็หาแพะ? มารับกรรมเป็นเพื่อน
น้ำเสียงที่เอ่ยถามนั้นอ่อนโยนจนสัมผัสได้ ก่อนจะหมุนกายไปยังห้องน้ำอย่างถือวิสาสะ มู่เหรินมองตามอย่างมึนงง ทำไมห้องนอนเขาถึงเป็นสวนสาธารณะไปแล้ว ถึงจะเป็นเพียงแค่โรงเตี๊ยมก็เถอะแต่ว่าห้องนี้เขาเช่าแล้ว! อีกฝ่ายบอกว่าพี่เช่นนั้นหรือ แล้วพี่ไหนเขาไม่เคยมีพี่ชายอัปลักษณ์อย่างนี้ แต่เมื่อนึกถึงดวงตาคู่หงส์และน้ำเสียงที่อ่อนโยนนั่นก็ได้ยืนมองตามเงาร่างสีแดงอย่างอึ้งๆ “มู่ซูหยวน?” มู่เหรินเรียกชื่อพี่สามตัวเองอย่างมึนงง สงสัยเขาจะนอนไม่พอจริงๆ ร่างสูงเดินกลับไปนั่งบนเตียงนอนมองสหายทีวิญญาณหลุดจากร่างอย่างขำขัน คงไม่เคยมีใครว่าหน้าตาบ้านๆ มาก่อนสินะ ความจริงกวยเตียวน้ำหน้าตาหล่อเหลาสะอาดสะอ้านเหมือนคุณชายเจ้าสำราญนั่นแหละ เพียงไม่นานร่างสูงในอาภรณ์สีแดงก็กลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ปรากฏใบหน้างดงามเหมือนที่เคยเป็น ดวงตาคู่หงส์หยุดมองคนที่สติหลุดลอยแล้วย่นคิ้วน้อยๆ ก่อนจะบัดร่างนั้นออกจากห้องพร้อมปิดประตูลงกลอนอย่างรวดเร็ว การลงมือโดยไม่ได้บอกกล่าวของพี่สาม ทำให้มู่เหรินยิ้มเจือน ไว้อาลัยให้สหายอย่างเงียบๆ “เหตุใดพี่สามถึงมาอยู่ที่
คำถามของอีกฝ่ายทำให้มู่เหรินมองอีกฝ่ายนิ่งๆ ไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ ดวงตาสองคู่มองกันเงียบๆ แม้อีกฝ่ายจะเกาไม่หยุด ทว่าคนฉลาดไม่ต้องกล่าวสิ่งใดให้มากก็รู้ว่าอีกฝ่ายแค่ลองหยั่งเชิงเขาดูเฉยๆ “กลัวรัชทายาทจับเจ้าทำเมียกระมัง” มู่เหรินตอบกลับอย่างประชด ทว่าคนฟังอ้าปากค้างเข่าทรุดลงใบหน้าที่แดงเถือกจากแรงเกาทำราวกับร้องไห้ เขานิ่วหน้ามองอย่างประหลาดใจ เหตุผลมั่วๆ ของเขาเป็นจริงหรือนี่ มุมยกยิ้มน้อยๆ จนมองแทบไม่เห็นด้วยความขบขัน ทว่าคนเจ้าเล่ห์อย่างหมอนี่นะหรือจะโดนจับทำเมีย “เลิกเล่นละครไร้สาระของเจ้าได้แล้วกวยเตียวน้ำ ข้ามิได้โง่เขลาเหมือนผู้อื่นที่เจ้าหลอกมา เอานี่” มู่เหรินกล่าวอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะโยนยาแก้พิษไปให้ ไม่บอกก็รู้ว่าคงเป็นฝีมือคนของหลิงหวางอีกฝ่ายคว้าหมับรับไปดมดูก่อนจะกลืนลงไปอย่างรวดเร็ว ดวงตามองมาที่เขาแล้วเม้มปากแน่นก่อนจะถอนหายใจออกมา “เพราะเจ้าฉลาดอย่างนี้แหละ ข้าถึงอยากเป็นเป็นสหายกับเจ้า เพียงแค่ผิดพลาดเรื่องหน้าตาเท่านั้น หากข้ามิจริงใจคงไม่เอาหน้าจริงๆ ที่แสนหล่อเหลาของข้ามาให้เจ้ารู้จักหรอก” คำ
อ้างว้างอีกแล้วฤาดวงใจข้า เอื้อมมือดึงฟ้ามาคลุมห่ม เหน็บหนาวทรมานม่านอารมณ์ ยังดื่มด่ำชื่นชมรัตติกาลลำพัง คิดถึงเจ้ามู่เหริน...มู่เหรินเม้มปากแน่น ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ เมื่อคนที่อยู่ห่างไกลหลายพันลี้มาทำให้เขาอับอาย นี่ขนาดตัวไม่อยู่ยังมาทำให้เขาอายจนหน้าแดง ไม่ได้...ไม่ได้! เขาจะต้องไม่ยอมอับอายคนเดียว ร่างสูงหมุนกายเข้าห้องพร้อมหยิบกระดาษและพู่กันอยู่ภายในห้องมาเขียนตอบกลับอย่างคล่องแคล่ว สะบัดให้หมึกแห้งก่อนจะยิ้มกริ่มแล้วนำไปฝากให้นกอินทรีไปส่งให้เจ้าของ นกอินทรีทะยานจากไปเมื่อได้รับจดหมายแนบกลับไปด้วยแล้ว มู่เหรินมองตามด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ดวงดาวบนฟ้าวันนี้เริ่มเจิดจ้า แต่พระจันทร์นั้นกลับโดดเด่นเสมอในยามค่ำคืนแม้ในคืนที่มืดมิดก็ยังอยู่เคียงข้างดวงดาราไม่แปรผัน เขากดความรู้สึกที่เหงา หว้าเหว่ไว้ในอก ก่อนจะหมุนกายกลับนอนพร้อมดับตะเกียงน้ำมันเก็บแรงไว้เดินทางต่อพรุ่งนี้ หากถึงเร็วเมื่อไรเขาจะได้กลับไปหาหลิงหวางเร็วขึ้น และที่สำคัญขาดไม่ได้ก็คือ เขาต้องไปศึกษาเรื่องอย่างว่าให
ปัง! ประตูปิดลง แต่คนที่ถูกสะบัดออกมาลุกขึ้นยืนจับสะโพกด้วยสีหน้าแหยงๆ ก่อนจะหันไปมองหน้าประตูแล้วยกยิ้มมุมปากน้อยๆ แล้วเดินเข้าห้องข้างๆ อย่างอารมณ์ดี ทว่าคืนนั้นกวยเตียวน้ำกลับไม่ได้นอนทั้งคืนเนื่องด้วยถูกกลั่นแกล้งจากบุรุษลึกลับด้วยพิษคันคะเยอไปทั้งตัว! มู่เหรินถอดหน้ากากเจ้าปัญหาออกและก้มมองมันอย่างครุ่นคิด ก่อนจะโยนไปไว้ที่โต๊ะเล็กมุมห้องอย่างไม่ใส่ใจ แล้วะถอดอาภรณ์เดินไปแช่น้ำที่ถูกเตรียมไว้ให้ น้ำอุ่นๆ ทำให้ร่างกายที่เหนื่อยล้ารู้สึกดีขึ้นมาก วันนี้เพียงแวะโรงเตี๊ยมก็วุ่นวายไปหมด แต่สิ่งที่ทำให้เขาติดใจคือกวยเตียวน้ำเป็นใครและต้องการอะไรจากเขากันแน่ และดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ ด้วยสิ ผ่านไปสองก้านธูปเขาได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้น จึงได้ลุกขึ้นจากน้ำตวัดเสื้อคลุมสีเข้มมาสวมใส่แล้วเดินออกไป คนที่เข้ามาในห้องไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นหนึ่งในเงาของหลิงหวางที่ส่งมาดูแลเขา ร่างสูงสมส่วนที่ไม่ผอมบางมากเกินไปเดินเข้ามา อาภรณ์ที่สวมใส่ออกมายังไม่เรียบร้อยเผยให้เห็นแผ่นอกที่ขาวเนียนไร้ที่ติ เส้นผมสีดำปล่อยสยายและ
หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ ทว่าเสียงฮือฮาภายในโรงเตี๊ยมดังขึ้น ขณะที่พวกเขาจับจ้องป้ายหยกอย่างตื่นตะลึง ความจริงเขาจะเปิดเผยโฉมหน้าก็ได้แต่พวกมันก็คงคิดว่าเป็นของปลอมเหมือนป้ายหยกในมือเขาตอนนี้แน่ “ว้าวว ของจริงเสียด้วย” กวยเตียวน้ำคว้าป้ายหยกของเขาไปชื่นชมอย่างออกหน้าออกตา ใบหน้าเบิกบานราวกับตัวเองสืบค้นคดีสำคัญสำเร็จ มู่เหรินเหลือบตาไปมองคนหน้าระรื่นเกินเหตุจนไร้คำพูดที่จะกล่าว เขาจำได้ไม่เคยรู้จักเจ้านี่เป็นพิเศษ “คุณชายท่านนี้ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าป้ายหยกนี่เป็นของจริง” หนึ่งในนั้นเอ่ยถามกวยเตียวน้ำอย่างมีมารยาท ผิดกับเขาอย่างฟ้ากับเหวนี่คำเรียกขานเขาดูกันที่หน้าตาใช่ไหม! “อ๋อ บิดาข้าเป็นหนึ่งในอาวุโสของอารามเมฆขาว” กวยเตียวน้ำตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่ทำให้คนมองเก้อเขิน ทว่าคำตอบนี้ทำให้มู่เหรินมองตามอย่างอึ้งๆ ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะหน้าด้านจนไร้ยางอายเช่นนี้ อารามเมฆขาวคิดว่าเป็นที่ใดหอนางโลมหรืออย่างไร “อ่า สงสัยพวกข้าเข้าใจผิดจริงๆ พวกข้าคงต้องขอตัวไปรายงานที่พรรคก่อน” กล่าวจ
“น้องชายท่านนี้ไม่ทราบเราเคยพบกันมาก่อนหรือไม่” มู่เหรินหลุดจากภวังค์หันมามองคนที่เอ่ยทักทายและถือวิสาสะนั่งลงตรงข้ามเขา ใบหน้าเกลี้ยงเกลาอาภรณ์สะอาดสะอ้าน ท่าทางเจ้าสำราญราวกับคุณชายพร้อมพัดในมือโบกไป รอยยิ้มเจิดจ้าทำให้คนมองแสบตา แต่เมื่อพิจารณาอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วนก็จำมิได้ว่าเคยพบเจอกัน ที่สำคัญใบหน้าเขาตอนนี้มิใช่ของจริงไยจะมีคนรู้จักนอกจากมุกเกี้ยวสาวเท่านั้น “การเกี้ยวพาราสีของเจ้าไม่ผ่าน ไปเรียนมาใหม่” มู่เหรินเอ่ยตอบพร้อมส่ายหน้ากับคำพูดที่แสนซ้ำซากที่พบเจอบ่อยในหนังสือนิยาย ใบหน้าเกลี้ยงเหลาหุบยิ้มทันทีที่เขาเอ่ยตอบก่อนจะหรี่ตามองเขานิ่งๆ แล้วฉีกยิ้มกว้างราวกับเจอของถูกใจเมื่อเห็นสีหน้าเฉยชาของเขา “หน้าตาของเจ้า... คนใช้บ้านข้ายังดูดีกว่า เหตุใดจึงคิดว่าข้าจะเกี้ยวเจ้ากัน” มู่เหรินเลิกคิ้วมองคนที่กำลังยั่วยวนกวนโทสะ เขาแค่ส่ายหน้ามองอย่างใจเย็นไม่ได้เต้นไปตามแรงยั่วยุ “เพราะข้าฉลาด” มู่เหรินตอบกลับอย่างไม่ยินดียินร้าย ขณะที่คนฟังสำลักน้ำชาที่รินให้ตัวเองอย่างไม่ได้รับเชิญ เขายกผ้าเช็ดหน้ากัน