ก่อนที่ซินเยว่จะทันได้สำรวจนครเทียนจิ่งและผู้คนให้ทั่วก็ปรากฏว่าเรือลอยฟ้าลำยักษ์ได้หยุดลงแล้ว ไป๋เยี่ยนหลงกวักมือเรียกซินเยว่ให้เดินไปหาเขาจากนั้นไป๋เยี่ยนหลงก็จูงมือนางเดินเข้าไปในปราสาทพร้อมๆ กัน
ผู้คนที่มารอต้อนรับท่านจ้าวผู้ครองนครก็มายืนรวมตัวกันแล้วทำความเคารพไป๋เยี่ยนหลงอย่างพร้อมเพรียงแลดูยิ่งใหญ่อลังการยิ่งนัก และอีกคนที่พวกเขาให้ความสนใจเป็นจุดเดียวคือสตรีร่างเล็กที่ได้รับเกียรติเดินเคียงคู่มากับท่านจ้าวผู้ครองนครของพวกเขา
ซินเยว่ไม่ได้รู้สึกประหม่าแต่อย่างใดที่ถูกจับจ้องจากผู้คนมากมายเพราะนางชินเสียแล้วที่ถูกใครต่อใครจ้องมองไม่ว่าจะชื่นชมอิจฉาหรือรังเกียจมันเป็นเรื่องที่ธรรมดามากสำหรับมนุษย์ที่จะมีความรู้สึกเช่นนั้น ถ้าพวกเขาเห็นใครเหนือกว่าตนเอง
ไป๋เยี่ยนหลงหยุดยืนอยู่กลางท้องพระโรงที่ถูกตกแต่งด้วยโคมระย้าอันใหญ่สวยงามไม่ต่างจากด้านนอก เขาจูงมือของซินเยว่ให้เดินขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์สีทอง ซินเยว่ยืนอยู่อย่างลังเลว่าจะนั่งลงดีหรือไม่เเต่ไป๋เยี่ยนหลงนั่งลงแล้วดึงซินเยว่ให้นั่งลงข้างเขา ผู้คนที่ตามเข้ามาด้านในถึงกับตะลึงต่างตกใจว่าเหตุใดนางถึงได้รับเกียรติอันสูงสุดนั่งเคียงคู่บนบัลลังก์กับนายท่าน
และผู้ที่ยืนอยู่ด้านข้างของบัลลังก์ยังมีเยี่ยจื่อและเยี่ยเฉิงสององครักษ์ผู้ภักดีของไป๋เยี่ยนหลง ซินเยว่มองทุกอย่างด้วยสายตาว่างเปล่าเพราะนางรู้อยู่แล้วว่าบุรุษผมสีเงินผู้นี้ดูอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนธรรมดา ก่อนหน้าที่จะมาเยือนแผ่นดินไป๋หลงนางได้เตรียมใจเอาไว้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์เช่นนี้อาจจะเกิดขึ้น
"นางคือว่าที่นายหญิงของพวกเจ้า สตรีเพียงหนึ่งเดียวที่จะยืนอยู่เคียงข้างข้าตลอดไป"
เสียงประกาศก้องกังวานดังไปทั่วท้องพระโรงไม่มีใครไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกไป เสียงของไป๋เยี่ยนหลงยังคงดังก้องสะท้อนอยู่ในโสตของพวกเขาอยู่อย่างนั้น ทุกคนต่างเงียบกริบไม่มีใครกล้าเอ่ยโต้แย้งแม้แต่คนเดียวเพราะเกรงกลัวต่อสายตาและแรงกดดันจากพลังของท่านจ้าวผู้ครองนคร
จะมีเพียงสตรีบางคนที่มองมายังซินเยว่ด้วยสายตารังเกียจและโกรธแค้นไม่ยินยอมพวกเขาไม่มีทางยอมรับสตรีที่ยังไม่รู้ว่านางเป็นใครอยู่ดีๆ นายท่านก็แต่งตั้งให้นางเป็นนายหญิงผู้ที่นั่งบัลลังก์เคียงคู่เช่นนี้คิดว่าเหมาะสมแล้วอย่างนั้นหรือ
ไม่ใช่เพียงผู้คนของนครเทียนจิ่งเท่านั้นที่ตกใจแม้แต่ซินเยว่เองก็ตกใจเช่นเดียวกัน นางไม่นึกว่าไป๋เยี่ยนหลงที่พึ่งมาถึงจะประกาศออกไปตรงๆ อย่างนั้น เรื่องนี้นางไม่ได้เตรียมใจมาก่อน
"เจ้าพูดเหลวไหลอะไรของเจ้ากัน"
ซินเยว่กระซิบเสียงไม่เบาถามบุรุษผมสีเงินที่นั่งอยู่ข้างกาย
"ข้าก็จะทำทุกอย่างให้ถูกต้องอย่างไรเล่า ทุกอย่างที่ข้า มอบให้เจ้ามันเคยเป็นของเจ้ามาก่อน และตอนนี้ข้าไม่ต้องการที่จะรออีกต่อไปแล้ว ครั้งนี้ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าหลุดมือไปจากข้าหรือเป็นอะไรไปอย่างแน่นอน"
ซินเยว่เมื่อได้ฟังคำพูดอันหนักแน่นและจริงใจของเขานางก็พยักหน้ารับอย่างเชื่อใจในตัวบุรุษผู้นี้ นางรู้อยู่แล้วว่าจะอย่างไรเขาก็ไม่มีวันทิ้งนางอย่างเเน่นอน ซินเยว่ยกยิ้มในหน้าทั้งยังไม่ลืมเอ่ยหยอกเย้าบุรุษผู้ใจร้อนที่นั่งอยู่ข้างกาย
"ข้าขอบอกเจ้าไว้ก่อนนะถ้าหากว่าข้าได้เป็นนายหญิงของที่นี่อย่าหวังว่าเจ้าจะได้แต่งสตรีอื่นขึ้นมาเป็นอนุ เว้นเสียแต่ว่าข้าจะตายไปแล้ว "
ซินเยว่เอ่ยกับเขาพลางทำท่าหรี่ตาลงอย่างจับผิดมองสีหน้าเขาว่าจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ไป๋เยี่ยนหลงส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วกดฝังจมูกลงที่แก้มนุ่มของเจ้าตัวโง่งมที่ไหน้ำส้มแตกอยางมันเขี้ยว ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงานกันนางก็กางกรงเล็บเสียแล้ว
"ไม่รู้ล่ะ ลองเจ้าแต่งอนุเข้ามาสิข้าสาบานเลยว่าข้าจะตอนเจ้า ดูซิว่าแต่งเข้ามาแล้วจะมีประโยชน์อันใด"
ซินเยว่พูดอยากเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไป๋เยี่ยนหลงรู้สึกว่าเส้นขนที่หลังคอของเขาพร้อมใจกันลุกพรึบขึ้นมาโดยทันที นี่คงมิใช่อาการกลัวเมียทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงานหรอกกระมัง เขาคิดอย่างนึกขันตนเองในใจ
ทั้งสองคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เอ่ยหยอกล้อกันเบาๆ เสียงเเหบต่ำดังขัดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ชายชราผมขาวหนวดยาวสีขาวแต่งกายด้วยชุดขาวคล้ายพ่อมดในหนังเรื่องหนึ่งที่ซินเยว่เคยดูในโลกเก่า เดินออกมายืนอยู่ตรงกลางท้องพระโรงทำท่าคำนับไป๋เยี่ยนหลงเเบบเดียวกันกับที่ซินเยว่เคยเห็นเยี่ยจื่อทำ
"ขอได้โปรดท่านจ้าวผู้ครองนครช่วยทบทวนความคิดใหม่อีกครั้งด้วยเถิด การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่มากนะพ่ะย่ะค่ะ ข้าคิดว่าพระองค์ควรปรึกษาหารือกับตระกูลใหญ่หรือขุมกำลังในนครเทียนจิ่งก่อนไม่ดีกว่าหรือ"
ชายชราท่าทางมั่นใจเอ่ยออกมาแต่เสียงยังคงสั่นเพราะรู้สึกได้ถึงแรงกดข่มของพลังจากไป๋เยี่ยนหลง
"ข้าเพียงเเจ้งให้พวกเจ้ารับรู้ไม่ได้มาขออนุญาตไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ ถ้าตอนนี้ใครมีความคิดเห็นขัดแย้งอยากให้ข้าเปลี่ยนใจเดินออกมาแล้วต่อสู้กับข้า หากชนะข้าได้ก็จงขึ้นมานั่งบนบัลลังก์แล้วสั่งการ หากพวกเจ้ามิใช่ผู้ที่นั่งอยู่บนจุดสูงสุดของไป๋หลงก็จงหุบปากไปเสีย"
ไป๋เยี่ยนหลงเอ่ยเพียงเท่านั้นชายชราผมขาวก็กระอักเลือดออกมาทันที ไป๋เยี่ยนหลงยังไม่แม้แต่จะขยับตัวนี่เพียงแค่พลังปราณของเขาเท่านั้นก็สามารถฆ่าคนได้ในพริบตา ไม่แปลกเลยที่ผู้คนในแผ่นดินไป๋หลงจะเกรงกลัวในพลังของเขาเพราะแค่เขาคนเดียวก็สามารถทำให้แคว้นใหญ่หายไปจากแผนที่โลกได้ในพริบตา
"ขออภัยพ่ะย่ะพ่ะค่ะข้าเพียงแต่เป็นห่วงว่าพระองค์อาจถูกหลอก..."
ยังไม่ทันที่ชายชราผมขาวจะพูดจบประโยคไป๋เยี่ยนหลงก็เอ่ยขัดขึ้น
"คนอย่างข้าน่ะหรือจะถูกหลอก พวกเจ้ายังไม่รู้จักข้าดีอีกอย่างนั้นหรือ ข้าคิดว่าเจ้าทำงานหนักมากจนเกินไปหรือไม่ก็คงจะแก่จนเลอะเลือนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จงกลับบ้านไปพักผ่อนสักสามร้อยปีหลังจากนั้นค่อยกลับมาทบทวนในสิ่งที่เจ้าพูดออกไปในวันนี้"
ชายชราเงียบไปทันที ขาที่สั่นอยู่แล้วทรุดลงพื้นอยู่ในท่าคุกเข่ากายสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว ชายสองคนที่อยู่ในชุดเกราะสีดำเดินเข้ามาอย่างรู้งานพวกเขาหิ้วปีกชายชราออกไปด้านนอกโดยที่เขาไม่แม้แต่จะทันได้ขัดขืน
"ยังมีใครที่ต้องการคัดค้านอยู่อีกหรือไม่ข้าจะได้ส่งไปอยู่ที่หุบเขาทมิฬเพื่อทบทวนความทรงจำ"
ทุกคนที่ยืนอยู่ในท้องพระโรงต่างยืนตัวสั่นอย่างหวาดกลัว ไม่มีใครในนครเทียนจิ่งไม่รู้จักหุบเขาทมิฬเพราะถ้าถูกส่งเข้าไปแล้วยากนักจะรอดกลับมา ความกลัวของผู้คนในนครเทียนจิ่งที่มีต่อไป๋เยี่ยนหลงเหมือนถูกฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกส่วนลึกของร่างกายและตอนนี้ความกลัวนั้นได้ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง ซินเยว่มองความเด็ดขาดของเขาที่ไม่ไว้หน้าแม้แต่กับชายชราที่ดูแก่คราวปู่แล้วนางก็ทำท่าตบมือให้เขาแบบไร้เสียง
'ทำร้ายแม้กระทั่งคนแก่'
ซินเยว่มองไป๋เยี่ยนหลงด้วยสายตาล้อเลียน ไป๋เยี่ยนหลงคิ้วกระตุกทันทีเมื่อเห็นสายตาของนาง
"แก่อันใดกันชายผู้นั้นอายุน้อยกว่าข้า"
ซินเยว่อ้าปากค้างไปทันที เป็นไปได้อย่างไรดูยังไงไป๋เยี่ยนหลงอายุก็ไม่น่าจะเกินยี่สิบห้า แต่ชายชราผู้นั้นดูจากลักษณะอายุเขาน่าจะเกินหกสิบไปแล้ว
"ไป๋เยี่ยนหลงอ่านความคิดของซินเยว่ออกว่านางกำลังคิดอะไรอยู่จึงเอ่ยเพื่อไขข้อสงสัยของนาง
"ข้าอายุหนึ่งพันห้าร้อยปี"
(o_O) !!!!?
ซินเยว่ถึงกับสำลักน้ำลายตัวเอง
'ไม่มีทางเป็นไปได้เจ้าคิดจะหลอกเด็กหรือ'
ซินเยว่หันไปมองเยี่ยจื่อและเยี่ยเฉิงที่ยืนอยู่ด้านข้าง เยี่ยจื่อเข้าใจได้ในทันที
"ข้าอายุหนึ่งพันปีส่วนเยี่ยเฉิงอายุแปดร้อยปี"
ซินเยว่ที่ได้ยินอย่างนั้นแทบเป็นลมล้มพับไปทันที คนที่นี่จะอายุยืนไปไหนกันปากเล็กๆ บนอุบอิบคนเดียว
"เจ้าพวกเฒ่าพันปี"
-________-!!!!
ไป๋เยี่ยนหลงเยี่ยจื่อและเยี่ยเฉิงใบหน้าแข็งค้างไปทันทีเมื่อได้ยินเสียงบ่นเบาๆ ของซินเยว่ แต่มันช่างเสียดเเทงจิตใจของพวกเขายิ่งนัก ทั้งสามคนตอนนี้ตัวแข็งทื่อช็อกกับสิ่งที่ตนได้ยิน
ปากเล็กๆ ยังคงบ่นไม่หยุดให้พวกเขาทั้งสามได้ยิน นั่นยิ่งเป็นการตอกย้ำในความแก่ของพวกเขาเข้าไปอีก
"เจ้ามันขี้โกงข้าอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้นเจ้าดูพวกเจ้าแต่ละคนสิ เเปดร้อยปีบ้างล่ะพันปีบ้างล่ะจะไม่ขี้โกงกันมากเกินไปหน่อยหรือ"
เมื่อไป๋เยี่ยนหลงได้สติกลับมาเขาหันมองสตรีที่เขารักจับมือของตนเขาก็วางมือของตัวเองไว้บนมือของนาง บุรุษทั้งสามที่คุกเข่าอยู่ต่างก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกันอย่างโล่งอกภายในใจก็รู้สึกขอบคุณซินเยว่ที่ช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้"เอ่อ...คือ''จงหู่ลังเล่ที่จะรายงานเรื่องต่อไปแก่ไป๋เยี่ยนหลงเพราะเขากลัวว่าถ้าหากรายงานเรื่องนี้ไปนายท่านก็จะมีโทสะขึ้นมาอีกชีวิตนี้ของเขาคงต้องเอามาทิ้งไว้ที่นี่เสียแล้ว เขายังมิทันได้เเต่งงานเลยนะจงหู่โอดครวญในใจ ถ้าหากไป๋เยี่ยนหลงได้ยินความคิดของจงหู่เขาคงจะส่งราชเลขาคนนี้ไปสำนึกตนที่หุบเขาทมิฬเป็นแน่"รายงาน"ไป๋เยี่ยนหลงที่เห็นจงหู่ทำท่าลังเลจึงเอ่ยเตือนเขาเสียงเรียบแต่ใบหน้านั้นไม่เเสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา"จับตัวเซียนอักขระตี้ซางได้ที่แคว้นหานตานพ่ะย่ะค่ะ สามตระกูลใหญ่และขุมอำนาจแห่งไป๋หลงร่วมประชุมและลงมติว่าอีกห้าวันจะมีการจัดงานเลี้ยงฉลองการกลับมาของท่านจ้าวผู้ครองนครและเปิดตัวว่าที่พระชายาพ่ะย่ะค่ะ"ไป๋เยี่ยนหลงใช้นิ้วชี้เคาะไปที่โต๊ะช้าๆ เป็นจังหวะ หัวใจของบุรุษทั้งสามต่างก็เต้นเป็นจังหวะตามเสียงเคาะนิ้วของเขา ชีพจรของพวกเขาตอนนี้เต้นระรัวแทบจะทะลุผิวหนังออกมาแล้วถ้
"มิใช่เช่นนั้นพวกเราอายุยืนก็จริงแต่ก็สามารถตายได้ เช่นถูกพิษ ถูกทำร้ายก็บาดเจ็บมีเลือดออกหรือถูกฆ่าก็ตายได้เช่นกัน เจ้าจำที่ข้าเล่าให้ฟังได้หรือไม่ เจ้าช่วยชีวิตหญิงท้องแก่กำลังคลอดแต่นางเสียชีวิตพร้อมเด็กทารกในครรภ์ นั่นก็เป็นอีกตัวอย่างทุกคนที่นี่สามารถตายได้เพียงแต่อายุจะหยุดลงที่ยี่สิบห้าปีและการถือกำเนิดของเจ้ามันคล้ายกับว่าเจ้าเป็นยาอายุวัฒนะ พวกที่มีอำนาจมืดในแผ่นดินไป๋หลงจึงต้องการตัวเจ้า หากตอนนี้พวกมันรู้ว่าเจ้าคือไซซีเมื่อสามร้อยปีก่อนและข้าคิดว่าพวกมันคงจะรู้แล้ว อีกไม่นานพวกมันคงจะหาทางมาเอาตัวเจ้าไปแน่"ไป๋เยี่ยนหลงอธิบายให้สตรีขี้หึงในอ้อมแขนของเขาฟังอย่างใจเย็นและทำท่านึกบางอย่างขึ้นมาได้"ข้ายังมีบางสิ่งที่ยังไม่ได้บอกเจ้า"ซินเยว่เลิกคิ้วขึ้นมองไป๋เยี่ยนหลงอย่างสงสัย บุรุษผมสีเงินยังคงอมพะนำมิยอมเอ่ยปาก เขาลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือไปให้ซินเยว่ นางมองมือเขาอย่างงงๆ แต่ก็ยังยื่นมือให้เขาและลุกขึ้นเดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย ไป๋เยี่ยนหลงเดินเข้าไปด้านในสุดของห้องนอนเขายกมือขึ้นวาดอักขระที่ซินเยว่มองแล้วทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจว่าไป๋เยี่ยนหลงกำลังทำสิ่งใดเสียงคลืน!!ดังขึ้นคล้าย
ไป๋เยี่ยนหลงก้มมองใบหน้างามที่ยังคงงอง้ำ คำว่าแปดร้อยปีหนึ่งพันปีมันช่างทิ่มแทงเข้าไปในจิตใจของเขายิ่งนักในตอนนี้ความรู้สึกของเขาเหมือนตนกำลังหลอกให้เด็กมาแต่งงานด้วยมองย้อนกลับมาที่ตนเองแล้ว เขาช่างดูเหมือนตาเฒ่าเจ้าเล่ห์เข้าไปทุกที"ถ้ารวมกับตอนนี้อายุของเจ้าก็เกือบๆ หกร้อยปี"ไป๋เยี่ยนหลงรีบเอ่ยแก้สถานการณ์ตรงหน้าก่อนที่เขาจะเป็นเฒ่าหลอกเด็กไปจริงๆ ซินเยว่ที่เสียความรู้สึกอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมองบุรุษผมสีเงินที่นั่งอยู่ข้างกาย"จริงหรือข้าอายุหกร้อยปีเชียวหรือ ว้าว!!อเมซิ่งจริงๆ เลย"ซินเยว่เผลอพูดภาษาของโลกเก่าออกมาไป๋เยี่ยนหลงได้แต่ส่ายหัวให้กับท่าทางจริงจังของนาง ซินเยว่หรี่ตามองเขาอย่างเจ้าเล่ห์"แต่ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็ยังเป็นเฒ่าพันปีอยู่ดี"(╥﹏╥) !! สีหน้าของบุรุษทั้งสามคนพวกเขาทั้งสี่คุยกันเรื่องอายุจนลืมไปแล้วว่ายังมีผู้คนนับร้อยที่ยืนอยู่ด้านล่างรอให้ไป๋เยี่ยนหลงสั่งการ การเดินทางมาที่แผ่นดินไป๋หลงในครั้งนี้ก็ไม่ได้แย่นักในความรู้สึกของซินเยว่ เพราะตอนนี้มันทำให้นางรู้สึกสนุกจนบอกไม่ถูกหลังจากที่ไป๋เยี่ยนหลง 'สร้างทอล์คออฟเดอะทาวน์ 'ให้กับผู้คนที่แผ่นดินไป๋หลงได้มีเรื่องให้ซ
ก่อนที่ซินเยว่จะทันได้สำรวจนครเทียนจิ่งและผู้คนให้ทั่วก็ปรากฏว่าเรือลอยฟ้าลำยักษ์ได้หยุดลงแล้ว ไป๋เยี่ยนหลงกวักมือเรียกซินเยว่ให้เดินไปหาเขาจากนั้นไป๋เยี่ยนหลงก็จูงมือนางเดินเข้าไปในปราสาทพร้อมๆ กันผู้คนที่มารอต้อนรับท่านจ้าวผู้ครองนครก็มายืนรวมตัวกันแล้วทำความเคารพไป๋เยี่ยนหลงอย่างพร้อมเพรียงแลดูยิ่งใหญ่อลังการยิ่งนัก และอีกคนที่พวกเขาให้ความสนใจเป็นจุดเดียวคือสตรีร่างเล็กที่ได้รับเกียรติเดินเคียงคู่มากับท่านจ้าวผู้ครองนครของพวกเขาซินเยว่ไม่ได้รู้สึกประหม่าแต่อย่างใดที่ถูกจับจ้องจากผู้คนมากมายเพราะนางชินเสียแล้วที่ถูกใครต่อใครจ้องมองไม่ว่าจะชื่นชมอิจฉาหรือรังเกียจมันเป็นเรื่องที่ธรรมดามากสำหรับมนุษย์ที่จะมีความรู้สึกเช่นนั้น ถ้าพวกเขาเห็นใครเหนือกว่าตนเองไป๋เยี่ยนหลงหยุดยืนอยู่กลางท้องพระโรงที่ถูกตกแต่งด้วยโคมระย้าอันใหญ่สวยงามไม่ต่างจากด้านนอก เขาจูงมือของซินเยว่ให้เดินขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์สีทอง ซินเยว่ยืนอยู่อย่างลังเลว่าจะนั่งลงดีหรือไม่เเต่ไป๋เยี่ยนหลงนั่งลงแล้วดึงซินเยว่ให้นั่งลงข้างเขา ผู้คนที่ตามเข้ามาด้านในถึงกับตะลึงต่างตกใจว่าเหตุใดนางถึงได้รับเกียรติอันสูงสุดนั่งเคียงคู่
เพราะความแตกต่างจึงทำให้ทั้งสองเข้ากันได้อย่างดี จากนั้นจึงบังเกิดเป็นความรักไป๋เยี่ยนหลงได้มอบลูกสัตว์อสูรสีดำแก่ไซซีเป็นของแทนใจและตั้งชื่อให้มันว่าเจ้าดำตามสีขนของมัน เวลาผ่านไปห้าสิบปีท่านจ้าวผู้ครองนครเทียนจิ่งได้คิดสละราชบัลลังก์เพื่อออกไปใช้ชีวิตอิสระ แต่เนื่องด้วยไม่มีบุตรและธิดาจึงได้แต่งตั้งให้ไป๋เยี่ยนหลงเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ตระกูลใหญ่และผู้มีอำนาจแห่งนครเทียนจิ่งต่างคัดค้านแต่ท่านจ้าวผู้ครองนครเทียนจิ่งได้ตัดสินใจแล้วพวกเขาจึงไม่สามารถทำสิ่งใดได้ ทำได้เพียงคอยหาทางเล่นงานไป๋เยี่ยนหลงอยู่ในเงามืดไป๋เยี่ยนหลงหลังจากขึ้นครองบัลลังก์เขาก็ได้แต่งงานกับไซซีครองคู่กันอย่างมีความสุขเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อองครักษ์มารายงานว่าทางทิศเหนือถูกโจมตีด้วยสัตว์อสูรดึกดำบรรพ์ไป๋เยี่ยนหลงจึงต้องรีบออกไปเพื่อกำราบมัน หลังจากที่เขากลับมากลับพบว่าไซซีได้ถูกสังหารที่ผาจันทราแล้ว เรื่องราวทั้งหมดถูกเล่าผ่านท่านจ้าวผู้ครองนครเทียนจิ่งมาที่ไป๋เยี่ยนหลงและเขานำมาเล่าให้ซินเยว่ฟังอีกทีตลอดเวลาของการเล่าเรื่องราวซินเยว่นั่งเงียบและฟังอย่างเดียวโดยไม่ออกความเห็นใดๆ แต่ในใจของนางลึกๆ กลับรู้สึกเจ็บ
ฮุ่ยหลิงพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจแล้ว จิ่งเม่ยจึงรีบสั่งการนางกำนัลให้ไปขนเสื้อผ้าสัมภาระของฮุ่ยหลิงมาไว้ที่ตำหนักของตนก่อนที่นางจะเปลี่ยนใจกลับไปที่แคว้นฉิงอีกครั้งฉิงอิงหลางเมื่อได้รับรายงานจากคนสนิทของตนว่า หยางหลันฮวาต่อสู้กับซินเยว่จนทำให้งานชุมนุมประลองยุทธพังลงไม่เป็นท่าก็รู้สึกโมโหยิ่งนัก สตรีนางนี้สร้างแต่ปัญหาถ้าหากว่าไม่เห็นแก่หน้าแม่ทัพหยางเขาไม่มีทางที่จะพานางมาที่แคว้นจิ่งด้วยเป็นเเน่ สตรีที่มีดีแค่เพียงรูปกายภายนอกเช่นหยางหลันฮวาไม่เหมาะที่จะเป็นพระชายาของเขา ต้องสตรีที่งดงามและเก่งกล้าอย่างหยางซินเยว่เท่านั้นจึงจะเหมาะสมกับตำแหน่งพระชายา"แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ใด"ฉิงอิงหลางเอ่ยถามคนสนิทที่กำลังยืนรายงานข้อมูล"นางอยู่ในมือของคนแผ่นดินไป๋หลงพ่ะย่ะค่ะ สายลับที่เราส่งไปรายงานว่าคนของแผ่นดินไป๋หลงได้พาตัวนางกลับไปด้วย""แล้วหยางซินเยว่ล่ะตอนนี้นางอยู่ที่ไหน"คนสนิทของฉิงอิงหลางมีท่าทีร้อนรนสายตาหลุกหลิกเมื่อผู้เป็นนายถามหาสตรีอีกคนก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกัก"อะ...เออนางก็ถูกพากลับไปด้วยพร้อมกับผู้คนแผ่นดินไป๋หลงพ่ะย่ะค่ะ"ฉิงอิงหลางตบโต๊ะเสียงดังสนั่นจนโต๊ะไม้เนื้อดีหั