ยามนี้สงครามระหว่างแคว้นฟงหลิงและแคว้นต้าฉีมาถึงบทสรุปแล้ว ท้ายที่สุดฮ่องเต้แคว้นต้าฉีเจรจาของสงบศึกชั่วคราว เนื่องจากสูญเสียกำลังทหารไปร่วมหลายหมื่นนายแล้ว หากว่ายังคงดึงดันที่จะต่อสู้อีก ย่อมไม่ส่งผลดีต่อแคว้นต้าฉีเป็นแน่
ผู้นำศึกในครั้งนี้คือแม่ทัพใหญ่จางและรองแม่ทัพเซียวจิ้ง หลานชายของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ซึ่งมีฝีมือเก่งกาจเป็นอย่างยิ่ง
"ซื่อจื่อ ยามนี้แคว้นต้าฉียอมสงบศึกแล้ว ข้าจะส่งคนไปรายงานเรื่องนี้กับฝ่าบาทโดยด่วน"
“เป็นเพราะครั้งนี้ มีท่านแม่ทัพใหญ่ร่วมออกศึก เราจึงสามารถมีชัยอีกครั้ง" เซียวซื่อจื่อตอบรับคำอย่างอารมณ์ดี
แม่ทัพใหญ่จางที่ได้ยินเช่นนั้นก็แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นมา
"จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ท่านเองมีฝีมือยอดเยี่ยม แคว้นฟงหลิงมีท่านอยู่ วันใดข้าตายไปย่อมหมดห่วงแล้ว"
"อย่าได้เอ่ยวาจาเช่นนี้ ท่านแม่ทัพจะต้องมีอายุยืนยาว"
สองคนพูดคุยสนทนากันอย่างสนุกสนาน ก่อนจะอนุญาตให้เหล่าทหารดื่มสุราเฉลิมฉลองให้กับชัยชนะในครั้งนี้ แม้จะยังไม่สามารถยึดแคว้นต้าฉีมาได้ แต่ฮ่องเต้แค้นต้าฉีย่อมไม่อาจจะก่อคลื่นลมได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้เป็นแน่
เซียวจิ้งมองดูเหล่าทหารที่ร่วมดื่มสุราและเฉลิมฉลองกันอย่างมีความสุขก็อดยิ้มออกมิได้ ทุกคนตรากตรำกรำศึกมาหลายเดือน อีกทั้งยังต้องสูญเสียสหายรักในสนามรบที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหลายต่อหลายคน แม้ทุกคนจะดูมีความสุขที่ได้รับการเฉลิมฉลองชัยชนะ แต่ก็มีทหารบางคนยังไม่ลืมที่จะเทสุราลงพื้นและเรียกเหล่าทหารผู้วายชนม์มาร่วมดื่มสุราด้วยกัน
เซียวจิ้งถอนหายใจยาวๆ ออกมาก่อนจะมองไปรอบๆ บริเวณ
เขาคือเซียวจิ้ง ซื่อจื่อแห่งตำหนักชินอ๋อง ปีนี้อายุยี่สิบสองปี บิดาของเขาเป็นน้องชายของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน มารดาเป็นบุตรสาวของแม่ทัพรักษาชายแดน ในยามนั้นเสด็จพ่อรักและดูแลเสด็จแม่เป็นอย่างดี
จนกระทั่งในปีที่เขามีอายุสิบขวบ เสด็จพ่อได้แต่งสตรีนางหนึ่งและรับนางเข้ามาเป็นพระชายารอง นางเข้าตำหนักมาพร้อมกับบุตรชายอายุ6-7ปี เสด็จแม่ตื่นตระหนกทั้งสะเทือนใจไม่น้อย ไม่คาดคิดว่าสามีที่ตนรักและเทิดทูนมานานจะทรยศหักหลัง ลอบมีภรรยาอีกคนจนมีลูกชายด้วยกัน ทั้งที่บอกว่ารักนางเพียงคนเดียวแต่ลับหลังกลับซ่อนสตรีอีกคนเอาไว้
ไม่นานต่อมา เสด็จแม่ของเขาก็เกิดล้มป่วยสิ้นใจจากโลกนี้ไป เขาจำได้ว่าตั้งแต่เสด็จพ่อแต่งสตรีนางนั้นเข้ามา ก็ดุด่าทุบตีทำร้ายเสด็จแม่ ยิ่งท่านตาเสียชีวิต เสด็จแม่ไร้ที่พักพิง เสด็จพ่อก็ทำราวกับเสด็จแม่ไม่ใช่คน ยกย่องภรรยารองข่มเหงภรรยาเอก
เมื่อเสด็จแม่สิ้นชีพแล้ว เสด็จพ่อก็แต่งตั้งสตรีนางนั้นขึ้นเป็นพระชายาเอกชินอ๋องคนใหม่ มีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยงของเขา
เซียวจิ้งเพิ่งเข้าใจเมื่อเติบโตขึ้นมา แท้ที่จริงเสด็จพ่อและสตรีนางนั้นก็ลักลอบมีสัมพันธ์กันมานานมากแล้ว จนกระทั่งนางตั้งครรภ์และคลอดบุตร อดทนเลี้ยงบุตรนอกสมรสอยู่นอกตำหนักอ๋องมานานถึงเกือบสิบปีจนได้เข้ามาในตำหนักอ๋อง สตรีผู้นี้ช่างมีความอดทนมากเสียจริงๆ
เมื่อนางเข้ามาพร้อมบุตรชาย ตัวเขาเองก็ราวกับเป็นส่วนเกิน บางคราเสด็จพ่อไม่อยู่สตรีนางนั้นก็ลอบกลั่นแกล้งเขาสารพัด
จวบจนเขาอายุสิบห้าปีจึงแอบหนีออกจากตำหนักอ๋องไปเข้าร่วมกองทัพ เสด็จพ่อมาตามเขากลับไป แต่เสด็จลุงฮ่องเต้กลับห้ามปรามและบอกว่ายินดีสนับสนุนเขาให้เข้ามาอยู่ในกองทัพภายใต้การดูแลของแม่ทัพใหญ่จาง เสด็จพ่อจึงหมดคำพูดและไม่สนใจเขาอีก
เซียวจิ้งไม่เคยใช้อำนาจถือดีว่าตนเป็นเชื้อพระวงศ์ ได้มาซึ่งตำแหน่งในทางมิชอบ ในทางกลับกันเขาอดทนทุกอย่างฝึกอย่างหนักจนกระทั่งได้เป็นรองแม่ทัพผู้มากความสามารถ
เขากับบิดาแทบจะไม่สนิทสนมกันเลย เซียวจิ้งมักมีท่าทีเฉยชาต่อผู้เป็นบิดา ทว่ากลับสนิทสนมกับเสด็จลุงผู้เป็นฮ่องเต้เสียมากกว่า
เซียวจิ้งใช้ชีวิตอยู่ในสมภูมิรบมาตั้งแต่เยาว์วัย กลิ่นอายโลหิตและไอสังหารล้วนแผ่กำจายออกมาจึงดูน่าเกรงขาม
เขาเองมีคู่หมั้นแล้ว นามว่าจางเหมี่ยวลี่ ซึ่งเป็นบุตรีแม่ทัพใหญ่จาง แม่ทัพใหญ่จางเป็นสหายรักกับเสด็จลุงของเขา อีกทั้งยังสอนวรยุทธ์เขามาหลายปี และตัวเขาเองก็เคารพแม่ทัพใหญ่จางเฉกเช่นอาจารย์ท่านหนึ่ง
เสด็จลุงฮ่องเต้ได้มอบสมรสพระราชทานให้เขาและจางเหมี่ยวลี่ เซียวจิ้งเองไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร แม่ทัพใหญ่จางนับว่ามีบุญคุณที่ดูแลสั่งสอนเขา ส่วนเสด็จลุงนั้นก็ดีต่อเขามาก คอยปกป้องดูแลเขาในหลายๆ เรื่อง เซียวจิ้งจึงมิอาจจะปฏิเสธได้
จางเหมี่ยวลี่นั้นนับว่าเป็นสาวงามแห่งแคว้นฟงหลิง ความงามของนางนับเป็นหนึ่งไม่มีสอง แต่นางกลับมีนิสัยอำมหิต จิตใจบิดเบี้ยว หลงใหลในมนต์ดำ มีครั้งหนึ่งเซียวจิ้งสืบรู้ว่า นางถึงกับเอารกเด็กมาต้มเป็นน้ำแกงดื่มให้ตนเองงดงามเหนือผู้อื่น อีกทั้งในเรือนของนางล้วนมีแต่กลิ่นไออัปมงคล ยันต์สาปแช่งและขอพรล้วนแปะอยู่เต็มห้องนอนของนางเต็มไปหมด
แน่นอนว่าเซียวจิ้งเคยแอบไปดูนาง การจะแต่งงานกับหญิงสาวสักคน ย่อมต้องรู้จักนิสัยใจคอของนางมิใช่หรือ
ไม่รู้ว่าเสด็จลุงฮ่องเต้คิดอันใด ต้องการให้เขาแต่งกับนาง สตรีเช่นนี้หากรับเข้ามาเป็นภรรยาแต่งเข้าบ้าน ชีวิตจะต้องหาความสงบสุขไม่ได้เป็นแน่
เซียวจิ้งถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ครุ่นคิดหวนรำลึกถึงสหายผู้หนึ่งที่ไม่ได้พบเจอกันมาชั่วระยะหนึ่งแล้ว
นางเป็นสตรีที่องอาจกล้าหาญ มักแต่งกายเยี่ยงบุรุษอยู่ในสนามรบ ครั้งแรกที่พบกัน ย้อนไปเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นเขาได้รับบาดเจ็บเพราะถูกลอบสังหาร จึงหลบหนีพลัดหลงข้ามเขตแดนเข้าเขตแคว้นซ่ง เดิมทีเขาพอจะคาดเดาได้ว่านักฆ่าจงใจให้เป็นเช่นนี้ ต้องการให้เขาหนีตายไปในแคว้นศัตรู เพื่อจะได้ถูกศัตรูสังหารจะได้กลบเกลื่อนตัวผู้บงการนั่นก็คือมารดาเลี้ยงที่จ้างวานนักฆ่ามาปลิดชีพเขา
ยามนั้นนางเดินทางมาล่าสัตว์ จึงช่วยเขาเอาไว้ พวกเขาในขณะนั้น ไม่รู้ว่าต่างฝ่ายต่างมีสถานะที่ไม่อาจจะเกี่ยวพันกันได้ คนทั้งสองนัดพบเจอกันบ่อยครั้งในฐานะสหายที่ป่าแห่งนั้น
จนกระทั่งเกิดความสนิทสนม เซียวจิ้งคิดว่านางเป็นบุตรชายของชาวบ้านแถบชายแดน เพราะยามที่พบเจอกันนางมักแต่งกายเป็นบุรุษ แต่แท้จริงแล้วนางเป็นสตรี นางบอกว่าที่พักของนางอยู่ในป่า บิดามารดาตายจากไปจึงใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง
โชคดีมีวรยุทธ์จึงปลอมเป็นชายเอาตัวรอดอาศัยในป่าแห่งนี้ คนทั้งสองนัดพบกันนานวันเข้าเซียวจิ้งก็หลงรักนาง แต่เขาเองดูออกว่าในใจของนาง เหมือนจะไม่ได้คิดเช่นเดียวกับเขา แต่เขาก็มิเคยกล่าวโทษนางเพราะตัวเขาก็มีพันธะสมรสพระราชทานเช่นเดียวกัน
ถึงแม้เซียวจิ้งมีใจให้นางและหากได้แต่งงานกับนางจริงๆ นางย่อมต้องเป็นภรรยารอง จางเหมี่ยวลี่ใจดำอำมหิตเยี่ยงนั้น ย่อมไม่มีทางยอมให้นางอยู่อย่างสงบสุข เขายอมไม่ได้ที่จะต้องเห็นคนที่ตนรักต้องได้รับความไม่เป็นธรรม เมื่อคิดได้เช่นนี้ เซียวจิ้งจึงเลือกที่จะไม่บอกความรู้สึกของตนกับนางไป
แต่โชคชะตากลับเล่นตลก แท้จริงแล้วนางเป็นบุตรสาวแม่ทัพใหญ่ของแคว้นซ่ง แคว้นศัตรูของเขา อีกทั้งยังเป็นคนรักของฉู๋อี้เฉิน องค์ชายรองซึ่งยามนี้ก็คือฮ่องเต้แคว้นซ่งองค์ใหม่
มีครั้งหนึ่งสองแคว้นทำสงครามใหญ่ เขาและนางจำต้องประมือกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในสงครามครั้งนั้นนางยิงธนูมุ่งตรงมาที่เขา ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงไม่ยอมหลบ นางขมวดคิ้วก่อนจะเขวี้ยงมีดสั้นเข้าใส่ลูกธนู จนมันเปลี่ยนทิศทางไม่พุ่งเข้าหาจุดตายของเขา แต่กลับพุ่งเข้าใส่หัวไหล่ซ้ายแทน
เซียวจิ้งได้รับบาดเจ็บจนต้องถอยทัพ นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาพ่ายแพ้
เป็นความพ่ายแพ้ที่เขาไม่เคยคิดจะโกรธเคืองเลยเสียด้วยซ้ำ
เซียวจิ้งส่งเสียงหัวเราะเบาๆ คล้ายเยาะหยันตนเอง เขาส่งคนตามดูความเป็นไปของนางจนพบความผิดปกติของฉู่อี้เฉิน เขาถึงกับนัดนางออกมาพบและเตือนนางว่าให้นางระวังตัว เขาโง่เขลาหรือไรกันที่ทำเช่นนั้น นั่นมิเท่ากับเปิดทางให้ศัตรูล่วงรู้จุดอ่อนหรอกหรือ
คนเราต่อให้เก่งกาจเพียงใด แต่หากเป็นเรื่องของความรัก ย่อมพ่ายแพ้อย่างราบคาบ
ผู้ใดจะรู้ว่ารองแม่ทัพผู้เก่งกาจแคว้นฟงหลินจะหลงรักสตรีผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นศัตรูของตน
น่าตลกสิ้นดี!
หนึ่งปีหลังแต่งงานหลังจากแต่งงานกันหนึ่งปี เซียวจิ้งและเจี่ยงหร่านมีชีวิตหลังแต่งงานที่มีความสุขเป็นอย่างมาก ในทุกๆ วันเขาและนางมักจะมีรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นให้แก่กันมีครั้งหนึ่งเซียวจิ้งเปิดไปเจอกล่องที่จางเหมี่ยวลี่เจ้าของร่างเดิมเก็บยันต์และสมุดบันทึกเอาไว้ เจี่ยงหร่านที่มาเห็นก็ถึงกับร้องว่าแย่แล้ว เดิมทีนางคิดจะทิ้งไป แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเยว่ซินกลับนำกล่องใบนั้นมาพร้อมสินเดิมของนางด้วย นางรีบเอ่ยปรามไม่ให้เขาดูแต่เซียวจิ้งกลับเปิดอ่านและบอกว่าดีจริง จางเหมี่ยวลี่เขียนท่วงท่าอันเผ็ดร้อนทิ้งไว้ให้เขาอ่านเช่นนี้นับว่าดีมากและยังบอกอีกว่าคืนนี้จะนำท่วงท่าเหล่านั้นมาใช้กับนาง!ให้ตายเถอะ! คนผีทะเล!วันนี้เป็นวันที่เซียวจิ้งพาเจี่ยงหร่านกลับมาที่จวนตระกูลจาง ตั้งแต่แต่งงานกันเขาและนางไม่ได้ยึดถือกฎระเบียบตายตัวใดมากนัก อยากจะกลับจวนตระกูลจางเมื่อใดก็กลับมาได้เสมอแม่ทัพใหญ่จางและจางฮูหยินนั้นดีใจยิ่งนักที่บุตรสาวกลับมาเยี่ยมเยือนตน ยามนี้เซียวหลิงตั้งครรภ์ใกล้จะคลอดเต็มทีแล้ว จางเฉวียนก็คอยดูแลนางเป็นอย่างดี จางฮูหยินนั้นแม้จะดีใจที่ลูกสะใภ้กำลังจะมีหลาน แต่นางกลับไม่สบายใจเรื่องที่จางเหมี
เมื่อสงครามสงบลงแล้ว กองทัพทั้งหมดต่างยอมศิโรราบขึ้นตรงต่อแคว้นฟงหลิง แคว้นซ่งและแคว้นต้าฉี ผนวกเข้ารวมดินแดนเป็นหนึ่งเดียวกับแคว้นฟงหลิง ส่วนแคว้นฉู่ก็ยินดีสวามิภักดิ์และเปิดการค้าขายเชื่อมต่อทั้งสี่ชายแดน อีกทั้งยังส่งองค์หญิงมาเป็นสนมของฮ่องเต้เซียวหลางเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีอีกด้วย ผู้คนสามารถเดินทางค้าขายผ่านเมืองต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวสงครามอีกต่อไป แม่ทัพใหญ่จางและจางเฉวียนมุ่งหน้ากลับแคว้นฟงหลิงไปก่อน เพื่อกราบทูลเรื่องน่ายินดีนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ และบอกเซียวจิ้งและจางเหมี่ยวลี่ว่าหลังจากสถาณการณ์ที่นี่สงบเรียบร้อยแล้วก็ให้รีบตามกลับไปในภายหลังในยามนี้ เจี่ยงหร่านกำลังควบม้าเคียงข้างเซียวจิ้ง โดยมีเจี่ยงเฮ่าควบม้าตามหลังพร้อมกับสวีเฉินที่ติดตามมาด้วย เขาบอกว่าจะพานางมาดูสถานที่แห่งหนึ่ง แรกเริ่มเจี่ยงหร่านยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งได้เห็นหลุมศพหลายหลุมตรงหน้า นางก็ถึงกับปล่อยโฮออกมาสวีเฉินเป็นคนฝังศพคนในตระกูลเจี่ยง เขาเขียนชื่อและทำสัญลักษณ์เอาไว้ จึงจำได้ว่าหลุมใดคือหลุมศพของแม่ทัพใหญ่เจี่ยง เขาขออภัยเจี่ยงหร่านที่ศพอื่นเขาไม่ได้ทำสัญลักษณ์เอาไว้ เพราเขาไม่เคยเห็นหน้าคนอื
กองทัพแคว้นซ่งพ่ายแพ้อย่างราบคาบ บรรดาเหล่าทหารที่ไม่ถูกฆ่าตายล้วนถูกจับเป็นเชลย แม้แต่ฉู่อี้เฉินยามนี้ก็ถูกลากตัวมาขังเอาไว้ในคุกที่เมืองสืออี้ชายแดนแคว้นฟงหลิง เขาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ไม่คาดคิดว่าตนเองจะพ่ายแพ้ได้เช่นนี้เจี่ยงหร่านรีบเข้าไปประคองเซียวจิ้งที่ร่างกายเต็มไปด้วยคราบโลหิตของผู้อื่น เขาหันมายิ้มให้นางอย่างภูมิอกภูมิใจ"ฝีมือยิงธนูของเจ้ายอดเยี่ยมมาก"เจี่ยงหร่านส่งยิ้มให้เซียวจิ้ง นางใช้มือเช็ดเหงื่อบนใบหน้าให้เขาอย่างอ่อนโยน ก่อนหน้านี้นางและเขาวางแผนเอาไว้ว่า เขาจะออกไปรบ ส่วนนางคอยดูสถานการณ์อยู่ด้านบน คอยหาจุดพลิกผันของฉู่อี้เฉินจากนั้นก็จัดการทันที หากผู้นำทัพล้ม แน่นอนว่าทั้งกองทัพย่อมย่อยยับไม่มีชิ้นดีเมื่อกลับเข้ามาในเมืองแล้ว นางก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และสั่งให้คนจัดการดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บให้ดี แล้วเดินเข้ามาหาเซียวจิ้งที่นั่งอยู่ในห้องพัก ชายหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เขาได้รับบาดเจ็บที่แขนเล็กน้อยเท่านั้น"เซียวจิ้ง ท่านไหวหรือไม่"เซียวจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา"ย่อมต้องไหวอยู่แล้ว เราออกไปดูสถานการณ์ข้างนอกกันเถิด""อืม"เจี่ยงหร่านพยักหน้าเดิน
นับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับบิดา ฟ่านเหยาไม่เคยนอนหลับสนิทได้เลยสักคืน ทุกครั้งที่นางหลับตาลงมักจะฝันเห็นว่าบิดาร้องขอความช่วยเหลือจากนาง ได้ยินเสียงฟ่านเยียนญาติผู้พี่ กำลังดิ้นรนด้วยความทุกข์ทรมาน พร้อมกับร่ำร้องขอให้นางช่วย นานวันเข้าฟ่านเหยาร่างกายก็ย่ำแย่ลง จากที่เคยงดงามเฉิดฉาย แต่เวลานี้ใบหน้าซูบตอบผอมแห้งราวกับคนป่วยหนักที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ นางฝันเห็นเจี่ยงหร่าน ฝันว่าสตรีผู้นั้นเดินเข้ามาบีบปลายคางของนางและกระซิบว่า บุตรของนางยามนี้กำลังไปคอยรับใช้บุตรเจี่ยงหร่านในปรโลกแล้ว และยังบอกอีกว่านับแต่นี้นางอย่าได้ฝันว่าจะสามารถตั้งครรภ์ได้อีกชั่วชีวิต!ครั้งแรกฝันเช่นนี้ฟ่านเหยาด่าทอสาปแช่งเจี่ยงหร่านอย่างเกลียดชัง แต่เมื่อนานวันเข้าความกลัวเริ่มกัดกินจิตใจของนาง ฟ่านเหยาหวาดระแวงไม่กล้าอยู่คนเดียวต้องใช้ชีวิตอยู่บนความทุกข์ราวกับคนตายทั้งเป็นระยะหลังมานี้ไม่รู้เพราะเหตุใด นางกับฉู่อี้เฉินจากแต่ก่อนที่เคยรักกันหวานซึ้ง ตอนนี้กลับทะเลาะกันทุกวัน เขาเอาแต่ตะโกนเรียกหาเจี่ยงหร่านนางแพศยานั่น อีกทั้งยังถามนางว่าตระกูลฟ่านคิดไม่ซื่อกับเขาจริงหรือไม่ เขาถามนางซ้ำๆ อยู่เช่นนั้นราวกับค
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เซียวจิ้งและเจี่ยงหรานรวมถึงเจี่ยงเฮ่าก็เร่งเดินทางข้ามเขตชายแดนในทันที เจี่ยงเฮ่านั้นก่อนหน้านี้เจี่ยงหร่านไม่อยากให้เขาติดตามมาด้วย เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายที่คาดไม่ถึง ทว่าเจี่ยงเฮ่ากลับลอบปะปนมากับกองทัพทหาร ด้วยเวลานี้อาการบาดเจ็บที่ขาของเขาเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว แต่เพราะเดินทางมาไกลจึงทำให้อาการกำเริบขึ้น แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงเท่าใดนักเจี่ยงหร่านในเวลานี้กำลังยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปยังเบื้องหน้าด้วยแววตาที่ราบเรียบ สายลมพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของนางเป็นระยะตอนนี้นางสังหารพวกมันไปสองคนแล้ว หากบอกว่าการที่ฟ่านเยียนตายคือพายุลูกแรกที่สร้างผลกระทบต่อแคว้นซ่ง การตายของราชครูฟ่านก็เปรียบได้กับคลื่นยักษ์ที่สาดซัดเข้าสู่แคว้นซ่ง คนสำคัญที่เป็นคนคอยชี้แนะฉู่อี้เฉินและสนับสนุนเขายามนี้ตายแล้ว ย่อมทำให้เหล่าบรรดาแม่ทัพทหารแคว้นซ่งและขุนนางในราชสำนักหวาดหวั่นพรั่นพรึงไม่น้อยและยังส่งผลทำให้บัลลังก์มังกรของฉู่อี้เฉินสั่นคลอนเป็นอย่างยิ่งในขณะที่นางกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย ฉับพลันก็มีซาลาเปาลูกหนึ่งยื่นมาตรงหน้าของนาง เมื่อนางหันไปมองก็ยิ้มออก
ราชครูฟ่านถูกจับตัวเอาไว้ เหล่าผู้ติดตามก็ถูกรวบตัวไว้ทั้งหมดเช่นเดียวกัน พวกเขาบางส่วนที่คิดขัดขืนล้วนถูกทุบตีจนไร้ทางสู้ ราชครูฟ่านเงยหน้ามามองเจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่ ด่าทอด้วยความโกรธเกรี้ยว"นังแพศยา เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่สังหารหลานชายของข้า วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าเอง"เมื่อถูกจับได้แล้วก็ย่อมไม่จำเป็นต้องรักษาท่าทีอีกต่อไป เขาพ่นคำหยาบสารพัด ด่าทอทุกคนไม่เหลือท่าทีของราชครูผู้สูงส่ง เช่นในกาลก่อนอีกแล้ว เจี่ยงหร่านยิ้มตาหยี กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงที่เยาะหยัน"ใจเย็นๆ สิราชครูฟ่าน ท่านทำแบบนี้เท่ากับไม่รักษาหน้าตาของตนเลย ท่านเป็นถึงราชครูฟ่านผู้ขาวสะอาดดุจเทพเซียนของแคว้นซ่งเชียวนะ ทำเช่นนี้น่าอับอายจริงเชียว"ราชครูฟ่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง นางรู้ได้อย่างไรว่ายามอยู่ที่แคว้นซ่ง เขาได้รับฉายาว่าบัณฑิตผู้สูงส่งขาวสะอาดดุจเทพเซียนด้วยเหตุนี้ราชครูฟ่านจ้องมองดูหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว ทว่านางกลับยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนอ่อนโยนเสียจนน่าขนลุก!คนทั้งหมดถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนหลี่ฟางนั้นยามนี้ถูกพาตัวมาไต่สวนในวังหลวง อย่างไรนางก็ได้ชื่อว่าเป็นพระชายาเอกของชินอ