สัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มของปลายนิ้วหญิงสาวที่แตะลงมาบนริมฝีปากและได้ยินเสียงอ่อนโยนพูดคำที่ว่าต้องแต่งงานด้วยคิ้วของ 'เยี่ยนหราน' ขมวดแน่นขึ้นมากระทั่งตนเองยังไม่ทันตระหนักถึง ว่าทำไมต้องออกแรงที่นิ้ว แล้วทำไมที่น้ิวต้องออกแรงแล้วท้ายสุด เสียง 'กร๊อบ' ก็ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันตะเกียบไม้ในมือเขาหักครึ่งเป็นสองท่อน!แก้มของชายหนุ่มตึงเป็นเส้นโค้ง เขาเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ "แม่นางก็ดูแลตัวเองด้วย"จั๋วซือหรานหัวเราะขึ้นเบาๆ "คุณชายขี้อายขนาดนี้เชียว? หน้าตาก็หล่อเหลาดี ไม่คิดว่า...จะใสซื่อขนาดนี้"เสียงของชายหนุ่มดังลอดออกมาจากไรฟัน ฟังแล้วรู้สึกกระด้างหน่อยๆ "แล้วก็ออกไปด้านนอก การบุ่มบ่ามลดความสงสัยต่อตัวคนอื่นลง มันคือความประมาทเลินเล่อ"มุมปากจั๋วซือหรานเหมือนมีรอยยิ้มบางๆ ดูแล้วเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้มไม่ได้ปฏิเสธคำพูดเขา เพียงเอ่ยขึ้นว่า "ขอบคุณคุณชายเยี่ยนที่เตือน หลังจากนี้ข้าจะระวังให้มาก เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน..."ในที่สุดนางก็หมุนตัวจากไปหลังจากเห็นแผ่นหลังนางเดินห่างไปแล้ว'เยี่ยนหราน'...หรือบางทีควรจะเรียกว่าเฟิงเหยียนตอนนี้จึงมองมายังมือตนเอง บนปลายหัวแม่มือ มีแผ
"นายท่านอารมณ์ดีก็ดีแล้ว" เจิ้นเจียงพอเห็นจั๋วซือหรานอารมณ์ดี เขาเองก็อารมณ์ดีตามขึ้นมา จึงได้พูดว่า "จัดแจงคนคุ้มกันเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาล้วนบาดเจ็บกันหมด"จั๋วซือหรานร้องอืม "ดี ข้าจะไปดูหน่อย เดี๋ยวจะตั้งชื่อให้พวกเขาด้วย อยู่ในตระกูลเหอไม่มีชื่อเลยมีแต่หมายเลข เจ้าไปที่โรงเตี๊ยมแล้วหาของกินมาให้พวกเขาหน่อย""ขอรับ" เจิ้นเจียงรับคำสั่ง คิดๆ แล้วจึงเอ่ยถามขึ้นว่า "...อาหารนี่น่าจะไม่ถูกทำอะไรลงไปหรอกกระมัง?"จั๋วซือหรานพอได้ยิน ก็ยกมุมปากขึ้น "พวกเจ้าจะลองดูก็ได้นี่"พอได้ยินนายท่านพูดหยามขึ้นเช่นนี้ เจิ้นเจียงก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว"เช่นนั้นข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้"เจิ้นเจียงเพิ่งเตรียมจะเดินไปโถงหน้า จั๋วซือหรานคิดๆ แล้วก็เรียกเขาขึ้นมา "จริงด้วย""อื๋อ? แม่นางยังมีอะไรกำชับอีกหรือ?""คุณชายเยี่ยนที่โถงหน้าคนนั้น เป็นคนที่มีบุญคุณกับข้า ถ้าหากเขายังไม่ไป เจ้าเองก็ช่วยดูแลหน่อย""รับทราบ!" เจิ้นเจียงรับคำสั่งแล้วออกไปและระหว่างทางที่จั๋วซือหรานตรงไปเรือนหลัง ในสมองก็มีภาพตอนที่ชายหนุ่มหักตะเกียบก่อนหน้านี้ปรากฏออกมา แก้มที่ตึงกับสายตาที่มีแววตาแบบนั้นจั๋วซือหราน
ด้วยนิสัยซื่อสัตย์ภักดีของพวกเขา ถ้าหากจั๋วซือหรานคิดจะตั้งชื่อเหล่านี้ให้พวกเขาจริงๆไม่แน่พวกเขาอาจจะต้องบีบจมูกยอมรับไปจริงๆแต่ชื่อเหล่านี้มันดูจะ...ดังนั้นจึงคิดวิธีที่จะดิ้นรนต่ออีกหน่อย"กลัวหรือ?" จั๋วซือหรานเลิกคิ้วมองพวกเขาหัวหน้าคนคุ้มกันพยักหน้าหงึกหงักจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "พวกเจ้าบาดเจ็บขนาดนี้ยังกล้าตักน้ำมาเช็ดมาล้างได้ ข้าคิดว่าพวกเจ้าจะกล้าจนไม่กลัวอะไรแล้วเสียอีก ทำไมแค่ชื่อผลไม้แค่นี้ก็ยังกลัวกัน?"หัวหน้าคนคุ้มกันฟังไม่เข้าใจเสียที่ไหน แม่นางจงใจทำให้พวกเขาตกใจ เพื่อจะลงโทษพวกเขาที่เมื่อครู่พูดกันว่าจะจัดการแผลแบบขอไปทีหัวหน้าคนคุ้มกันรีบเอ่ยขึ้นมา "แม่นาง พวกเราไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าแล้ว แค่กังวลว่าท่านอยู่ในเมืองหยางจะมีภาระหน้าที่เยอะอยู่แล้ว แต่ยังต้องมาคอยห่วงเรื่องยิบย่อยของพวกเราอีก..."จั๋วซือหรานยกมือตบลงไปที่หนึ่งที่หลังเขาหัวหน้าคนคุ้มกันร้องอั่กออกมา แต่ก็รีบอดทนเอาไว้เดิมทียังคิดว่านี่คือการลงโทษเสียอีก คิดไม่ถึงเลย...ตอนที่แม่นางฟาดมือลงมา รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาก่อน จากนั้นก็รู้สึกเหมือนมีพลังที่ยิ่งใหญ่ แต่กลับนุ่มนวลละมุนละไมลูบผ่าน
"เสร็จแล้ว พวกเจ้าค่อยๆ พักฟื้นไป เดี๋ยวพอพวกกองหนุนสำนักเมฆาวารีพวกนั้นของผู้เฒ่าเหอมาถึง พวกเราค่อยออกเดินทาง เรื่องนี้สำหรับข้ามันสำคัญมาก จะล่าช้าไม่ได้เด็ดขาด"จั๋วซือหรานเหลือบมองเขาผาดหนึ่ง "ดังนั้นเวลาพักฟื้นของพวกเจ้าเดิมทีก็เหลือไม่มากแล้ว อย่าไปทำอะไรบ้าๆ บอๆ อีก""รับทราบ!" เหลียนเจินขานรับเสียงขรึม"ข้าจะรักษาให้พวกเขา จากนั้นเจ้าก็เอายาทาให้พวกเขาเสีย แค่อย่าไปทำอะไรบ้าๆ บอๆ ทายาตามเวลา ไม่นานก็หายดีแล้ว"จั๋วซือหรานหลังจากรักษาคนคุ้มกันไปหลายคน ก็กลับมาที่ห้องตนเอง ไปค้นคว้าบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนเจ้าสิ่งนี้ล้ำค่ามากจริงๆ แต่ในเมื่อเขาให้นางมาแล้ว นางเองก็พอจะรับได้อยู่ ดังนั้นจึงไม่ต้องเกรงใจเกินไปนักตอนที่จั๋วซือหรานย้ายบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนไปปลูกที่ดินในมิติแล้ว ราชาแมงมุมหน้าผีกับแมงมุมหน้าผีตัวอื่นๆ แล้วก็แมงมุมกู่ ก็มาล้อมอยู่ข้างๆ นางแมงมุมที่ขนาดใหญ๋กว่าปกติหลายเท่า ล้อมนางเอาไว้ ฉากนี้ถ้าหากคนอื่นมาเห็น ก็คงรู้สึกหวาดผวาขึ้นแน่ๆแต่สีหน้าของจั๋วซือหรานก็นิ่งอย่างมาก กระทั่งบนหน้ายังยิ้มละไม หลังจากปลูกบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนไว้ในดินแล
ความสามารถของนางถึงอย่างไรพออยู่ที่นั่น ก็ถูกลิขิตไว้แล้วไม่ให้นางเป็นคนธรรมดา สุดท้ายก็ต้องถูกจับตาอยู่ดีชาตินี้เป็นเช่นนี้ ชาติก่อนก็เช่นกันคนธรรมดาพอมีหยกก็มีความผิด นางแบกความสามารถเช่นนี้ไว้ ก็ถูกกำหนดให้คนอื่นต้องคอยจับจ้องไว้เป็นธรรมดาไม่ว่าจะโลกไหน ไม่ว่าจะเส้นทางไหน ก็ไม่เคยขาดคนหรือองค์กรที่มีความคิดที่ว่า "ถ้าไม่ได้มาก็จะทำลายทิ้ง"ที่ไหนก็มีทั้งนั้นจั๋วซือหรานชาติที่แล้วก็เจอกับสถานการณ์อันตรายมาด้วย ไม่เช่นนั้นไม่มีทางตายอย่างเวทนาจนข้ามภพมาที่นี่สรุปคือ จั๋วซือหรานเคยนำวัตถุที่ปล่อยสารกัมมันตรังสีได้เข้ามาแล้วในอันตรายจากชาติที่แล้วตอนนั้นนางสะบัดโยนเข้ามาในมิติ เนื่องจากสถานการณ์เร่งด่วน และไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่านี้แล้วนางยังคิดว่าจบเห่แล้วด้วยซ้ำ แค่รังสีของสารกัมมันตรังสีพวกนั้น ระยะเวลาในการย่อยสลายน่าสะพรึงมาก คิดว่าตนเองคงกลายเป็นฟอสซิลไปแล้ว สารกัมมันตรังสีพวกนั้นก็ยังไม่หายไปไหนด้วยซ้ำและในมิติของตนเอง ก็เป็นเหมือนแดนสวรรค์เขียวชอุ่มนอกโลก...ถ้าหากพื้นดินถูกปนเปื้อน แหล่งกำเนิดน้ำถูกปนเปื้อนล่ะก็จบเห่กันพอดีนางกอดความคิดสิ้นหวังเข้ามิติมา
จั๋วซือหรานมองตะปูวิญญาณสีดำในมือเล่มนั้น ตรงหน้ายังมีร่างของหุ่นเชิดความมืดนอนอยู่ตะปูวิญญาณของมันถูกจั๋วซือหรานดึงออกมาแล้ว วงแหวนสีดำบนมือกับเท้าก็ถูกจั๋วซือหรานรื้ออกมาเพื่อจะค้นคว้าดังนั้นตอนนี้มันจึงเป็นแค่ร่างเปลือกที่ไม่มีชีวิตเท่านั้นจั๋วซือหรานตรวจสอบอักขระคำสาปประหลาดซับซ้อนเหล่านั้นบนตะปูวิญญาณอย่างละเอียด ค้นคว้าอย่างตั้งใจ ดินสอในมือตวัดไม่หยุด คัดลอกอักขระคำสาปเหล่านั้นมาทั้งหมดอย่างครบถ้วนส่วนพวกก้อนเนื้อสีต่างๆ ก็นั่งเรียงกันอยู่บนไหล่นางซ้ายขวาฝั่งละสาม บนหัวยังมีอีกตัวหนึ่ง อยู่ด้วยกันกับนาง จ้องมองอักขระคำสาปบนตะปูวิญญาณเหล่านี้อย่างตั้งใจเพียงแต่พวกมันอ่านไม่เข้าใจเท่านั้นแต่ก็ยังอยากรู้อยากเห็น"นายท่านจะ...ทำ ทำอะไรหรือ?" ขนมปุยเมฆถามขึ้นเสียงแผ่ว เพราะมันมันอยู่ในสภาพดังเดิมที่สุดมาตลอด ยังไม่ได้ย้อมสีอะไรเลยดังนั้นจนถึงตอนที่จั๋วซือหรานพาพวกมันไปกลืนกินแมลงกู่ของพวกปรมาจารย์กู่พรมแดนใต้ก่อนหน้านี้ ขนมปุยเมฆจึงเพิ่งได้รับการวิวัฒนาการ ถึงพูดได้ขึ้นมาก่อนหน้านี้ทำได้แค่เปล่งเสียงออกมาเป็นพยางค์ๆ ไม่ค่อยชัดเจนเท่านั้นความคิดของขนมถั่วแดงปราดเป
จั๋วซือหรานตอนที่ควรบ้าก็จะบ้า แต่อันที่จริงถ้าพูดขึ้นมา นางเองก็ไม่ได้มีนิสัยพูดจาใหญ่โตดังนั้นก่อนหน้าจึงไม่คิดจะพูดเรื่องนี้ออกมาโดยละเอียด และเพราะตอนนี้ยังเป็นแค่ความคิดเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่ได้เริ่มเขียนเส้นแรกเลยด้วยซ้ำแต่ต่อให้ในใจตนเองคิดไว้ดิบดี ต่อให้ตนเองเข้าใจวิชาหุ่นเชิดอย่างถ่องแท้ แล้วสามารถใช้ไหมกู่มาควบคุมหุ่นเชิดได้จริงล่ะก็...การจะสร้างกองกำลังหุ่นเชิดของตนเองออกมา ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่เป็นไปไม่ได้แต่ว่าเนื่องจากยังไม่ทันได้เริ่มอะไรทั้งนั้น ดังนั้นจึงแค่คิดไว้ในใจตนเอง ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดออกมาเพียงแต่สำหรับเหล่าก้อนเนื้อของตนเอง ถึงอย่างไรพวกมันก็คงไม่เอาไปบอกใครอยู่แล้ว ดังนั้นการที่นางเอ่ยขึ้นมา ปัญหาจึงไม่ได้ใหญ่โตอะไรจั๋วซือหรานใช้เวลาไปพักหนึ่งอย่างตั้งอกตั้งใจ จัดการคัดลอกอักขระคำสาปทั้งหมดบนตะปูวิญญาณ วงแหวนวิญญาณ แล้วก็บนตัวของหุ่นเชิดความมืดออกมาค้นคว้านี่เป็นงานละเอียด จำเป็นต้องใช้เวลาเว้นเรื่องความยุ่งวุ่นวายในมิติของนางไปก่อนเวลานี้ อีกด้านหนึ่งในโถงหน้าของโรงเตี๊ยม ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลานั่งอยู่หน้าโต๊ะ กำลังกินอาหารบนโต๊ะอย่างไ
"ใช่แล้ว น้องชายของแม่นางเราถูกพาตัวไป เป็นฝีมือของสำนักเมฆาวารี เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้ของแม่นางก็คือเรื่องนี้" เจิ้นเจียงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงฟังแล้วดูกังวลหน่อยๆ"แม่นางอยู่ที่เมืองหลวงแม้จะประสบความสำเร็จในทุกที่ แต่ถึงอย่างไรครั้งนี้มาอยู่ในสถานที่แปลกหน้า ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องเผชิญหน้ากับสำนัก ดังนั้นแม่นางจึงต้องยิ่งเตรียมตัวอย่างระมัดระวัง..."เจิ้นเจียงเองก็น่าจะไม่มีใครที่พูดด้วยได้ ในใจอดกลั้นไว้ไม่น้อย พวกเชลยที่คุณหนูจับมาก่อนหน้านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนเป็นคนของสำนักเมฆาวารี เขาเองก็พูดอะไรด้วยไม่ได้คนคุ้มกันตระกูลเหอที่คุณหนูพากลับมาพวกนั้น ก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่ พูดอะไรไม่ได้ด้วยเช่นกันดังนั้นตอนนี้ พอเจอกับผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตคุณหนู จึงเหมือนกับเปิดประตูน้ำออกอย่างไรอย่างนั้นขณะที่พูดแรงก็เริ่มมา ไม่วา่จะเรื่องที่คุณหนูออกจากเมืองหลวงอย่างไร รับมือกับพวกลอบโจมตีอย่างไร จัดการแก้ไขวิกฤติ รับมือกับอีกฝ่าย จับคนของสำนักเมฆาวารีมาเป็นเชลยอย่างไรหลังจากมาถึงเมืองหยางแล้วรับมือกับตระกูลเหออย่างไร เล่าออกมาจนหมดและขณะที่ 'คุณชายเยี่ยน' กำลังกินข้าวอย่างไม่รีบไม่
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"