พอได้ยินเสียงจั๋วซือหราน หวงเจี้ยนถังก็ใจสั่นสะท้านอะไรคือที่บอกว่า...เขาคิดว่าเขากับนางสู้กันอย่างสูสีแล้วหรือ?หรือว่า...ไม่ใช่หรือไรกัน?"ข้าน่าจะไม่ได้เดาผิดกระมัง?" จั๋วซือหรานถามขึ้นเสียงเรียบ "ในใจเจ้าน่าจะคิดว่า ข้ากับเจ้าสู้กันได้สูสีแล้วเท่านั้น"หวงเจี้ยนถังอดไม่อยู่ ถามความคิดในใจตนเองออกมา "หรือว่าไม่ใช่กัน? หุ่นเชดของของเจ้ากับหุ่นเชิดของข้า ตอนนี้ก็สู้กันอย่างสูสีนี่""เฮอะ" หวงเจี้ยนถังหัวเราะเย็นชา "แต่เจ้าอย่าลืมนะ ถ้าพวกเขาหมดแรงลงมา เจ้าก็จะไม่ได้สบายแบบตอนนี้แล้ว จะไม่มีโอกาสได้สู้กันแบบสูสีกับข้าอีก!"ถึงแม้เขาจะเล่นหุ่นเชิดมีชีวิตไม่เป็น แต่หลักการพื้นฐานก็ไม่ใช่จะไม่เข้าใจหุ่นเชิดมีชีวิตไม่เหมือนกับหุ่นเชิดความมืด หุ่นเชิดความมืดไม่มีข้อจำกัดพลังกาย ผ่านการหล่อหลอมอย่างหนักมาแล้ว ขอแค่ส่งมอบพลังวิญญาณที่เพียงพอ พวกมันก็สามารถต่อสู้ได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยจั๋วซือหรานเองก็ยิ้มขึ้นมาบ้างแล้ว แต่กลับไม่ใช่รอยยิ้มเย็นชา แต่เหมือนกับได้ยินเรื่องตลกอะไรแบบนั้น หัวเราะขึ้นมา "เจ้านี่ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ มิน่าทั้งที่ง่วนอยู่กับวิชาหุ่นเชิดมาทั้งชีวิต แต่ก็ยังมีแค
ทีละก้าว ทีละก้าวร่างสีแดงร่างหนึ่ง เดินมาถึงด้านหน้านางหยุดเดินยืนนิ่ง ท่าทางยังคงสงบเยือกเย็นเช่นเดิมและ 'เหล่าหุ่นเชิด' ของนาง ก็ยืนเรียงหน้ากระดานอยู่ด้านหลังนาง เต็มไปด้วยแรงกดดัน!เหมือนว่าแค่นางสั่งมาคำเดียว พวกเขาก็จะชูดาบพุ่งขึ้นหน้าประหัตประหารทิ้งหมดไม่เหลือทันทีสายตาของจั๋วซือหรานยังคงเป็นเช่นนั้น เรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจที่เหนือกว่า จ้องมองหวงเจี้ยนถังอย่างเย็นชาริมฝีปากนางขยับเบาๆ ถามขึ้นมาคำหนึ่ง "จบหรือยัง?""ริมฝีปากแห้งผากของหวงเจี้ยนถังขยับเล็กน้อย ไม่พูดอะไรออกมาเลยนางชะงักไปครู่หนึ่ง ถามขึ้นมาอีกว่า "ถ้ายังมีความสามารถอะไรที่ยังไม่ได้ใช้ออกมา ก็งัดออกมาเสีย ไม่เช่นนั้นอย่าบอกว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้าดิ้นรน"หวงเจี้ยนถังโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เลือดไหลลงมาที่มุมปากจั๋วซือหรานเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ "ดีมาก เช่นนั้นก็ถือว่าเจ้าไม่เหลืออะไรแล้วนะ"หวงเจี้ยนถังผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยถามเสียงแหบพร่า "เจ้าคิดจะ...ทำอะไรกันแน่..."เพราะอะไรจู่ๆ ถึงมาหาเรื่องคุณชายฉิน...ไม่สิ เพราะอะไรทำไมจู่ๆ ถึงมาหาเรื่องสำนักเมฆาวารี?เสียง 'ชิ้ง...!' ดังขึ้นดาบยาวสีขาวหิมะเล
พอได้ยินคำนี้ของคนสำนักเมฆาวารี ผู้คนรอบๆ ต่อให้เป็นแค่คนที่มามุงดูเหตุการณ์ ตอนนี้ก็ถอนใจโล่งออกมา!ถึงอย่างไร ใครก็ไม่อยากเห็นหญิงสาวที่มีพลังน่ากลัวแบบนี้คลั่งขึ้นมาน้องชายนางยังไม่เป็นไรก็ดีไปจะว่าไปแล้ว ขนาดน้องชายนางไม่เป็นไรยังอาละวาดเสียขนาดนี้ ถ้าน้องชายนางเป็นอะไรไป คงลำบากแน่?ถ้านางบ้าขึ้นมาไม่พังเมืองอวิ๋นยับเลยหรือ?ดังนั้นทุกคนตอนนี้ จึงล้วนถอนใจโล่งออกมาแต่พวกเขาไม่นานก็พบว่า ตนเองถอนใจโล่งเร็วเกินไปแล้วหญิงสาวคนนี้ ไม่ได้จัดการง่ายแบบที่คิดเอาไว้"พูดมา" สันดาบในมือจั๋วซือหรานปาดไปบนหน้าหวงเจี้ยนถังอีกครั้งความเจ็บปวดจี๊ดๆ ก่อนหน้า กลายเป็นความเจ็บปวดที่ชัดเจนยิ่งขึ้นหวงเจี้ยนถังขมวดคิ้ว แต่ยังคงไม่มีปฏิกิริยาใดเหมือนคิดจะใช้ความนิ่งเงียบมาแทนคำตอบจั๋วซือหรานมองออกถึงท่าทีนิ่งเงียบของเขาแบบนี้ หัวเราะขึ้นเบาๆ "มองไม่ออกเลยว่าเจ้าภักดีต่อสำนักเมฆาวารีขนาดนี้..."หวงเจี้ยนถังยังคงนิ่งเงียบไม่พูดจา"แต่ว่านะ" จั๋วซือหรานเอ่ยเสียงเรียบ "ข้าเองก็ไม่เคยกลัวคนปากแข็งมาก่อนเหมือนกัน ข้ามีวิธีจะง้างปากคนอยู่มากมาย เจ้าพวกพ้องสำนักเจ้าที่อยู่บนรถม้าของข้าก็
ครู่ต่อมา จึงพูดออกมาว่า "เป็นแค่สำนักเมฆาวารี ไม่ถึงกับต้องมาทำเรื่องหน้าไหว้หลังหลอกแบบนี้"จั๋วซือหรานหัวเราะเย็นชา "ก็แค่สำนักเมฆาวารี เรื่องอย่างการจับน้องชายข้ามาทำผู้ทดลองยาก็ยังทำออกมาได้ ยังมีเรื่องอะไรที่ทำไมได้อีกกัน เอาจริงๆ ถ้ากางเกงบ้านใครหายไปแล้วบอกว่าสำนักเมฆาวารีเป็นคนทำ ข้ายังรู้สึกว่าน่าจะเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำ"หวงเจี้ยนถังเหมือนคิดจะโต้แย้ง สูดลมหายใจลึก แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาถ้าบอกว่าวิชาหุ่นเชิดของเขาไม่เก่งกาจเท่าจั๋วซือหรานล่ะก็ ฝีปากของเขาเองก็ยังเทียบกับอีกฝ่ายไม่ได้ยิ่งกว่าผ่านไปพักหนึ่ง เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า "แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไร นี่ก็ไม่ได้นั่นก็ไม่ถูก เจ้าคิดจะเอาอย่างไร"จั๋วซือหรานเหลือบมองคนทั้งหมดที่นี่จากนั้นก็ชี้ไปยังคนสำนักเมฆาวารีที่เข้ามารายงานหวงเจี้ยนถังก่อนหน้านี้คนนั้น"ข้า...ข้าหรือ?" คนผู้นี้ตึงเครียดขึ้นมา และก็หวาดกลัวด้วย อย่าว่าแต่เดินขึ้นหน้าเลย กระทั่งคิดจะถอยหนีตามสัญชาตญาณด้วยซ้ำแต่จั๋วซือหรานก็ไม่ให้โอกาสนี้กับเขา"เจ้านั่นล่ะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น จากนั้นนิ้วทังห้าก็กางออกคนผู้นี้จึงพบว่าร่างกายของตนเองเดินขึ้นหน้าไปอย่างค
เรื่องในโรงน้ำชาของจั๋วซือหราน ก็ราวกับติดปีกบินออกไปอย่างไรอย่างนั้น แพร่สะพัดทั่วเมืองอวิ๋นในพริบตาผู้คนในเมืองอวิ๋นล้วนคุยกันแต่หัวข้อสนทนาที่เกี่ยวกับนาง"จริงหรือเปล่า?" มีคนที่ไม่อยู่ในเหตุการ รู้สึกไม่อยากเชื่อกับหัวข้อสนทนานี้"จริงสิ! ข้าเห็นมากับตาเลย! ให้ตายเถอะ! ผู้อาวุโสหวงโดนเล่นงานเหมือนลูกหมาเลย! หญิงสาวคนนั้นดูแล้ว...น่าจะอายุยังไม่ยี่สิบด้วยซ้ำ!"คนที่เห็นเหตุการณ์นี้ พูดถึงฉากสถานการณ์ตอนนั้นขึ้นมาก็ยังรู้สึกตื่นเต้นไม้ว่าปกติพวกเขาจะยอมจำนนต่ออำนาจ ในเมืองอวิ๋น ตัวตนฐานะของสำนักเมฆาวารีไม่ใช่สิ่งที่ต้องสงสัยแต่ว่า ตอนที่คนเห็นอำนาจแข็งแกร่งถูกท้าทาย ยิ่งไปกว่านั้นยังท้าทายสำเร็จ จึงรู้สึกถึงอกถึงใจกันขึ้นมา"เพียงแต่ว่า นางพูดแบบนั้นหรือ? เช่นนั้นนางก็ไม่ใช่ว่าแข็งข้อกับเจ้าสำนักเมฆาวารีแล้วน่ะสิ? นั่นมัน...เจ้าสำนักเมฆาวารีเชียวนะ""เจ้าสำนักเมฆาวารีจะฉุดคร่าบุตรชายของคนอื่นมาเป็นผู้ทดลองยาได้ยังไง..." พูดถึงจุดนี้ เสียงคนที่นี่ก็กดต่ำลง งึมงำว่า "เอาจริงๆ ถ้าหากเจอกับครอบครัวทั่วไป คงได้ถูกฉุดไปเปล่าๆ แล้ว...ตอนนี้ถือว่ามาเจอตอเข้าจริงๆ"แม้จะจงใจกดเสี
อาหารนางก็ทำเอง สุรานางก็หมักเองรสชาติถือว่าไม่เลวเลยยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากไล่ผู้จัดการกับพนักงานออกไปแล้ว เลยดูเงียบสงบขึ้นเยอะหลังจากนางดื่มไปสองถ้วย ก็แหงนหน้ามองเหลียนเจินผาดหนึ่ง "เหลียนเจินมาดื่มเป็นเพื่อนข้าสักสองถ้วยดีไหม?"เหลียนเจินตกตะลึง รีบโบกไม้โบกมือ ถอนออกมาสองก้าว "นายท่าน ข้าน้อยคอไม่แข็ง ยิ่งไปกว่านั้น...ยังต้องออกลาดตระเวณอีก!"จั๋วซือหรานจุ๊ปาก "ช่างเถอะ ก็จริง แผลบนตัวเจ้าก็ญังไม่หายดี คงจะดื่มสุราไม่ได้"ตอนนี้เอง ที่ประตูก็ได้ยินเสียงยานคางเฉื่อยชาที่แฝงไว้ด้วยความชั่วร้ายดังขึ้น "ถ้าอย่างนั้นข้าดื่มเป็นเพื่อนเจ้าสักสองกาดีไหม?"จั๋วซือหรานได้ยินเสียงนี้ ไม่ต้องหันหน้าไปมองประตู ก็รู้ว่าใครมานางจิบไปอีกทีหนึ่ง จึงเอ่ยขึ้นว่า "หุบเขาหมื่นพิษว่างขนาดนี้เชียว เจ้าหุบเขาถึงไม่ต้องกลับไปจัดการธุระปะปัง..."ปันอวิ๋นเดินเข้ามาทางประตู เดินขึ้นมาพลางตอบว่า "เป็นถึงเจ้าหุบเขาแล้ว ยังต้องมาจัดการธุระปะปังอะไรอีก ถ้าเป็นแบบนี้ ข้าจะขึ้นมาเป็นเจ้าหุบเขาให้ลำบากทำไมกัน"คำพูดของปันอวิ๋นก็ถูกใจจั๋วซือหรานมาก คล้ายคลึงกับทัศนคติชาติก่อนของนางมากก็จริง ข้าเป็นถ
"ขุดเจอแล้ว" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นปันอวิ๋นไม่พูดอะไร แหงนสองตาเรียวยาวมองจั๋วซือหรานเงียบๆดวงตาที่แฝงด้วยความเจ้าเล่ห์เย้าหยอกแต่เดิม ตอนนี้ดูจริงจังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด"อะไรล่ะ?" ปันอวิ๋นถามจั๋วซือหรานยิ้ม "หน้าตาดี แล้วยังเป็นเจ้าหุบเขาหมื่นพิษ แล้วยังดูมีตัวตนฐานะด้วย...""ช่างมันเถอะ" พอฟังถึงตรงนี้ ปันอวิ๋นก็ยิ้มโบกไม้โบกมือ "ตัวตนนี้ถ้าเจ้าเห็นอยู่ในสายตาจริง ก็คงไม่ทิ้งข้าที่เมืองหยางเหมือนพวกชายเจ้าชู้แล้ว"จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "พูดแบบนี้ก็ไม่ได้นะ ไม่ต้องพูดถึงข้า อย่างน้อยคนอื่นก็ยังใส่ใจตัวตนฐานะของเจ้าอยู่นะ"ปันอวิ๋นเหลือบมองนางอย่างจนใจ หญิงสาวคนนี้ เหมือนนางจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่า 'ไม่ได้เห็นตัวตนฐานะของเขาอยู่ในสายตาเลย'"แค่ท่าทีนี้ของสำนักเมฆาวารี ตัวตนฐานะโหวของข้า พวกเขายังไม่เห็นในสายตาเลย แต่เจ้าหุบเขาหมื่นพิษอย่างเจ้าน่าจะใช้ได้ผลอยู่" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นปันอวิ๋นไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้ ยักไหล่ "แล้วยังไง? เจ้าจะบอกว่าอยากเป็นคนของหุบเขาหมื่นพิษเรอะ?"จั๋วซือหรานเอียงตามองเขา "เจ้าหุบเขาคำนี้พูดมาได้...วิชาแพทย์ของข้ายอดเยี่ยมขนาดนี้ วิชากู่ก็สูงส่ง วิชาหุ
ปันอวิ๋นมองนาง ในสายตามีความไม่อยากเชื่อจั๋วซือหรานเองก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรน่าขอโทษ จึงแหงนตามองเขา"เจ้า..." ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ "ทิ้งข้าที่เมืองหยางเหมือนพวกชายชู้""อา" จั๋วซือหรานขานรับคำหนึ่งสายตาปันอวิ๋นยิ่งไม่อยากเชื่อขึ้นไปอีก "แต่เจ้ากลับ....สงสารแมลงทั้งเจ็ดตัว""อา" จั๋วซือหรานฟังออกถึงความหมายเขาแล้ว แต่ก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว "ข้าสู้แมลงเจ็ดตัวก็ไม่ได้หรือนี่?"จั๋วซือหรานหลังจากฟังออก ก็เผยรอยยิ้มที่สมบูรณ์แบบออกมายิ้มตาโค้งพูดกับปันอวิ๋นว่า "จะทำแบบนั้นได้ยังไงกัน...เจ้าหุบเขาอย่าดูถูกตนเองแบบนี้เลย เจ้าหิวหรือยัง? ข้าต้มหมี่ให้กินไหม?"นี่คือจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้ว?ไร้ทักษะสุดๆ แข็งทื่อเหลือเกินแต่ปันอวิ๋นมองท่าทางยิ้มตาโค้งของนาง ก็สูดลมหายใจลึก หยุดลงไปครู่หนึ่ง พยักหน้าให้ "เอาสิ"จั๋วซือหรานยังคงยิ้มตาโค้ง ตอบกลับมาว่า "เอาสิหรือ? เช่นนั้นเจ้าหุบเขาก็รับปากแล้วใช่ไหม?"ปันอวิ๋นอืมมาทีหนึ่ง "ก็แค่เรื่องแมลงกู่ไม่กี่ตัวเท่านั้น เรื่องเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเจ็ดตัวในมือเจ้า แม้จะไม่รู้ว่าเจ้าเลี้ยงมาอย่างไร แต่
พอได้ยินคำนี้ของจั๋วหวาย สีหน้าจั๋วซือหรานก็ชะงักไปพอนึกถึงจั๋วเฮ่ออิงที่สีหน้าเปลี่ยนแล้วรีบร้อนออกไปวันนั้นนางรู้สึกว่าการคาดเดาของเสี่ยวหวาย...ดูสมเหตุสมผลดียังไม่ต้องพูดถึงว่าจั๋วเฮ่ออิงไปหาเซี่ยอวิ๋นซี แล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไรจั๋วซือหรานแม้จะไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่ก็มีความรู้สึกรักอย่างจริงใจต่อเซี่ยอวิ๋นซีด้วยความเข้าใจต่อตัวเซี่ยอวิ๋นซีของนาง จั๋วซือหรานรู้สึกว่า เซี่ยอวิ๋นซีเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งในการที่นางสามารถเลี้ยงลูกสองคนจนโตได้เพียงลำพังก็มองออกได้ไม่ยากคนแบบนี้ ในสถานการณ์ปกติขีดจำกัดจะชัดเจนมากนางจะอ่อนโยนกับคนของตนเอง แต่มีนิสัยที่แข็งกร้าวในสายตาไม่อาจทนเห็นสิ่งไม่ดีได้ ยอมหักแต่ไม่ยอมงอตอนที่นางรักจั๋วเฮ่ออิงก็คือรักจริงๆ ถ้าหากไม่มีลูกน้อยสองคนคอยรั้งนางไว้ นางคงฆ่าตัวตายตามจั๋วเฮ่ออิงไปตั้งแต่ตอนรู้ว่าเขาตายแล้วแต่พอมีตัวตนอย่างสุ่ยจิ้งหลาน เซี่ยอวิ๋นซีก็ไม่แน่ว่าจะอดทนต่อจั๋วเฮ่ออิงได้อีกตอนที่ไม่รัก ก็อาจจะไม่รักได้จริงๆแต่แล้วทำไมล่ะ แค่จั๋วเฮ่ออิงไปบอกเรื่องของนาง ด้วยนิสัยของเซี่ยอวิ๋นซี ต่อให้ฟ้าถล่มก็คงจะรีบมาหาอยู่ดีจั๋วซือหรานถอนห
ตอนนี้ จั๋วซือหรานเห็นหน้าตนเองในน้ำได้เห็นสภาพของตนเองชัดๆ ดีขึ้นมากแล้วจริงๆแต่นางยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าสภาพของตนเองก็กำลังแย่ลงอย่างรวดเร็วดังนั้น ตนเองตอนนี้...อยู่ห่างจากชายคนนั้นไม่ได้จริงๆถ้าแค่ห่างจากชายคนนั้น ตนเองก็อาจจะทนต่อไปไม่ไหว แล้วกลับไปอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้อีก นั่นมันอันตรายเอามากๆส่วนตนเองถ้าหากยังตามชายคนนี้อยู่ตลอดล่ะก็...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว ในใจก็อดคิดไม่ได้ ตอนนี้ตนเองอย่างน้อยยังพอทนไหว ไม่ต้องตัวติดกับเขาตลอดเวลาก็ได้แต่...นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นนะจั๋วซือหรานเป็นคนที่เตรียมพร้อมล่วงหน้าอยู่เสมอ นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อยเบาๆในใจยังคิดขึ้นอย่างกังวล ถ้าหากอายุครรภ์มากขึ้น สถานการณ์แบบนี้ก็น่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยถึงตอนนั้นหากตนเองต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาถึงจะรักษาสภาพให้คงที่ได้ล่ะ?ถ้าตนเองเป็นอย่างที่เขาบอกล่ะ ที่ว่าต้องการแสงแดดแล้วในเวลากลางวันแบบนั้น...คนนึงต้องการแสงแดด แต่อีกคนกลับถูกแสงแดดทำร้ายสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆนางผ่อนคลายลงหน่อย แต่เขากลับทรมานขึ้นมาถ้าพอนางทรมาน เขาถึงจะผ่อนคลายลงมาได
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย