ครู่ต่อมา จึงพูดออกมาว่า "เป็นแค่สำนักเมฆาวารี ไม่ถึงกับต้องมาทำเรื่องหน้าไหว้หลังหลอกแบบนี้"จั๋วซือหรานหัวเราะเย็นชา "ก็แค่สำนักเมฆาวารี เรื่องอย่างการจับน้องชายข้ามาทำผู้ทดลองยาก็ยังทำออกมาได้ ยังมีเรื่องอะไรที่ทำไมได้อีกกัน เอาจริงๆ ถ้ากางเกงบ้านใครหายไปแล้วบอกว่าสำนักเมฆาวารีเป็นคนทำ ข้ายังรู้สึกว่าน่าจะเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำ"หวงเจี้ยนถังเหมือนคิดจะโต้แย้ง สูดลมหายใจลึก แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาถ้าบอกว่าวิชาหุ่นเชิดของเขาไม่เก่งกาจเท่าจั๋วซือหรานล่ะก็ ฝีปากของเขาเองก็ยังเทียบกับอีกฝ่ายไม่ได้ยิ่งกว่าผ่านไปพักหนึ่ง เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า "แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไร นี่ก็ไม่ได้นั่นก็ไม่ถูก เจ้าคิดจะเอาอย่างไร"จั๋วซือหรานเหลือบมองคนทั้งหมดที่นี่จากนั้นก็ชี้ไปยังคนสำนักเมฆาวารีที่เข้ามารายงานหวงเจี้ยนถังก่อนหน้านี้คนนั้น"ข้า...ข้าหรือ?" คนผู้นี้ตึงเครียดขึ้นมา และก็หวาดกลัวด้วย อย่าว่าแต่เดินขึ้นหน้าเลย กระทั่งคิดจะถอยหนีตามสัญชาตญาณด้วยซ้ำแต่จั๋วซือหรานก็ไม่ให้โอกาสนี้กับเขา"เจ้านั่นล่ะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น จากนั้นนิ้วทังห้าก็กางออกคนผู้นี้จึงพบว่าร่างกายของตนเองเดินขึ้นหน้าไปอย่างค
เรื่องในโรงน้ำชาของจั๋วซือหราน ก็ราวกับติดปีกบินออกไปอย่างไรอย่างนั้น แพร่สะพัดทั่วเมืองอวิ๋นในพริบตาผู้คนในเมืองอวิ๋นล้วนคุยกันแต่หัวข้อสนทนาที่เกี่ยวกับนาง"จริงหรือเปล่า?" มีคนที่ไม่อยู่ในเหตุการ รู้สึกไม่อยากเชื่อกับหัวข้อสนทนานี้"จริงสิ! ข้าเห็นมากับตาเลย! ให้ตายเถอะ! ผู้อาวุโสหวงโดนเล่นงานเหมือนลูกหมาเลย! หญิงสาวคนนั้นดูแล้ว...น่าจะอายุยังไม่ยี่สิบด้วยซ้ำ!"คนที่เห็นเหตุการณ์นี้ พูดถึงฉากสถานการณ์ตอนนั้นขึ้นมาก็ยังรู้สึกตื่นเต้นไม้ว่าปกติพวกเขาจะยอมจำนนต่ออำนาจ ในเมืองอวิ๋น ตัวตนฐานะของสำนักเมฆาวารีไม่ใช่สิ่งที่ต้องสงสัยแต่ว่า ตอนที่คนเห็นอำนาจแข็งแกร่งถูกท้าทาย ยิ่งไปกว่านั้นยังท้าทายสำเร็จ จึงรู้สึกถึงอกถึงใจกันขึ้นมา"เพียงแต่ว่า นางพูดแบบนั้นหรือ? เช่นนั้นนางก็ไม่ใช่ว่าแข็งข้อกับเจ้าสำนักเมฆาวารีแล้วน่ะสิ? นั่นมัน...เจ้าสำนักเมฆาวารีเชียวนะ""เจ้าสำนักเมฆาวารีจะฉุดคร่าบุตรชายของคนอื่นมาเป็นผู้ทดลองยาได้ยังไง..." พูดถึงจุดนี้ เสียงคนที่นี่ก็กดต่ำลง งึมงำว่า "เอาจริงๆ ถ้าหากเจอกับครอบครัวทั่วไป คงได้ถูกฉุดไปเปล่าๆ แล้ว...ตอนนี้ถือว่ามาเจอตอเข้าจริงๆ"แม้จะจงใจกดเสี
อาหารนางก็ทำเอง สุรานางก็หมักเองรสชาติถือว่าไม่เลวเลยยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากไล่ผู้จัดการกับพนักงานออกไปแล้ว เลยดูเงียบสงบขึ้นเยอะหลังจากนางดื่มไปสองถ้วย ก็แหงนหน้ามองเหลียนเจินผาดหนึ่ง "เหลียนเจินมาดื่มเป็นเพื่อนข้าสักสองถ้วยดีไหม?"เหลียนเจินตกตะลึง รีบโบกไม้โบกมือ ถอนออกมาสองก้าว "นายท่าน ข้าน้อยคอไม่แข็ง ยิ่งไปกว่านั้น...ยังต้องออกลาดตระเวณอีก!"จั๋วซือหรานจุ๊ปาก "ช่างเถอะ ก็จริง แผลบนตัวเจ้าก็ญังไม่หายดี คงจะดื่มสุราไม่ได้"ตอนนี้เอง ที่ประตูก็ได้ยินเสียงยานคางเฉื่อยชาที่แฝงไว้ด้วยความชั่วร้ายดังขึ้น "ถ้าอย่างนั้นข้าดื่มเป็นเพื่อนเจ้าสักสองกาดีไหม?"จั๋วซือหรานได้ยินเสียงนี้ ไม่ต้องหันหน้าไปมองประตู ก็รู้ว่าใครมานางจิบไปอีกทีหนึ่ง จึงเอ่ยขึ้นว่า "หุบเขาหมื่นพิษว่างขนาดนี้เชียว เจ้าหุบเขาถึงไม่ต้องกลับไปจัดการธุระปะปัง..."ปันอวิ๋นเดินเข้ามาทางประตู เดินขึ้นมาพลางตอบว่า "เป็นถึงเจ้าหุบเขาแล้ว ยังต้องมาจัดการธุระปะปังอะไรอีก ถ้าเป็นแบบนี้ ข้าจะขึ้นมาเป็นเจ้าหุบเขาให้ลำบากทำไมกัน"คำพูดของปันอวิ๋นก็ถูกใจจั๋วซือหรานมาก คล้ายคลึงกับทัศนคติชาติก่อนของนางมากก็จริง ข้าเป็นถ
"ขุดเจอแล้ว" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นปันอวิ๋นไม่พูดอะไร แหงนสองตาเรียวยาวมองจั๋วซือหรานเงียบๆดวงตาที่แฝงด้วยความเจ้าเล่ห์เย้าหยอกแต่เดิม ตอนนี้ดูจริงจังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด"อะไรล่ะ?" ปันอวิ๋นถามจั๋วซือหรานยิ้ม "หน้าตาดี แล้วยังเป็นเจ้าหุบเขาหมื่นพิษ แล้วยังดูมีตัวตนฐานะด้วย...""ช่างมันเถอะ" พอฟังถึงตรงนี้ ปันอวิ๋นก็ยิ้มโบกไม้โบกมือ "ตัวตนนี้ถ้าเจ้าเห็นอยู่ในสายตาจริง ก็คงไม่ทิ้งข้าที่เมืองหยางเหมือนพวกชายเจ้าชู้แล้ว"จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "พูดแบบนี้ก็ไม่ได้นะ ไม่ต้องพูดถึงข้า อย่างน้อยคนอื่นก็ยังใส่ใจตัวตนฐานะของเจ้าอยู่นะ"ปันอวิ๋นเหลือบมองนางอย่างจนใจ หญิงสาวคนนี้ เหมือนนางจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่า 'ไม่ได้เห็นตัวตนฐานะของเขาอยู่ในสายตาเลย'"แค่ท่าทีนี้ของสำนักเมฆาวารี ตัวตนฐานะโหวของข้า พวกเขายังไม่เห็นในสายตาเลย แต่เจ้าหุบเขาหมื่นพิษอย่างเจ้าน่าจะใช้ได้ผลอยู่" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นปันอวิ๋นไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้ ยักไหล่ "แล้วยังไง? เจ้าจะบอกว่าอยากเป็นคนของหุบเขาหมื่นพิษเรอะ?"จั๋วซือหรานเอียงตามองเขา "เจ้าหุบเขาคำนี้พูดมาได้...วิชาแพทย์ของข้ายอดเยี่ยมขนาดนี้ วิชากู่ก็สูงส่ง วิชาหุ
ปันอวิ๋นมองนาง ในสายตามีความไม่อยากเชื่อจั๋วซือหรานเองก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรน่าขอโทษ จึงแหงนตามองเขา"เจ้า..." ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ "ทิ้งข้าที่เมืองหยางเหมือนพวกชายชู้""อา" จั๋วซือหรานขานรับคำหนึ่งสายตาปันอวิ๋นยิ่งไม่อยากเชื่อขึ้นไปอีก "แต่เจ้ากลับ....สงสารแมลงทั้งเจ็ดตัว""อา" จั๋วซือหรานฟังออกถึงความหมายเขาแล้ว แต่ก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว "ข้าสู้แมลงเจ็ดตัวก็ไม่ได้หรือนี่?"จั๋วซือหรานหลังจากฟังออก ก็เผยรอยยิ้มที่สมบูรณ์แบบออกมายิ้มตาโค้งพูดกับปันอวิ๋นว่า "จะทำแบบนั้นได้ยังไงกัน...เจ้าหุบเขาอย่าดูถูกตนเองแบบนี้เลย เจ้าหิวหรือยัง? ข้าต้มหมี่ให้กินไหม?"นี่คือจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้ว?ไร้ทักษะสุดๆ แข็งทื่อเหลือเกินแต่ปันอวิ๋นมองท่าทางยิ้มตาโค้งของนาง ก็สูดลมหายใจลึก หยุดลงไปครู่หนึ่ง พยักหน้าให้ "เอาสิ"จั๋วซือหรานยังคงยิ้มตาโค้ง ตอบกลับมาว่า "เอาสิหรือ? เช่นนั้นเจ้าหุบเขาก็รับปากแล้วใช่ไหม?"ปันอวิ๋นอืมมาทีหนึ่ง "ก็แค่เรื่องแมลงกู่ไม่กี่ตัวเท่านั้น เรื่องเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเจ็ดตัวในมือเจ้า แม้จะไม่รู้ว่าเจ้าเลี้ยงมาอย่างไร แต่
จั๋วซือหรานเหลือบมองเขาผาดหนึ่ง "ไม่มีอะไรที่ลงมือไม่ได้หรอก ก่อนหน้านี้ข้าบอกกับพวกเขาไว้แล้ว ว่าคนอย่างข้า ไม่มีนิสัยเป็นจอมเชือด แต่ก็ไม่ใช่ว่าฆ่าคนไม่เป็น"เสียงของนางไม่มีความอบอุ่นใด "แต่พวกเขาถ้าจะต้องตาย ก็ต้องไปบนเนินเขาเมฆาวารีก่อนแล้วค่อยตาย"ปันอวิ๋นเห็นจิตสังหารที่ไม่ปิดบังในแววตานางคนที่มีเมตตาและความคมกล้าด้วยเท่านั้น จึงจะแข็งแกร่งอย่างแท้จริงปันอวิ๋นเพียงไม่นานก็ไปช่วยนางหลอมแมลงกู่แล้วจั๋วซือหรานเองก็กลับไปในห้อง ในสมองนางแทบจะระเบิดแล้วน่าจะเพราะก่อนหน้านี้บทสนทนาของนางกับปันอวิ๋น เจ้าเจ็ดตัวน้อยก็ซาบซึ้งอยู่ในจิตใต้สำนึกนางจนร้องไห้กันอย่างหนักร้องกันจนนางปวดหัว!ตอนที่กลับมาถึงห้อง จั๋วซือหรานจึงแยกจิตสำนึกส่วนหนึ่ง เข้าไปบอกกับพวกมันว่า "เอาล่ะ ไม่ต้องร้องแล้ว สมองข้าจะถูกเสียงร้องไห้พวกเจ้าระเบิดทิ้งอยู่แล้ว"ขนมชาเขียวสะอึกสะอื้นเอ่ยว่า "ข้าซาบซึ้ง...""จะซาบซึ้งก็กลั้นเอาไว้ก่อน" จั๋วซือหรานยกมือกดที่ขมับน่าจะเพราะก่อนหน้านี้ทั้งเจ็ดตัวร้องไห้ระงมจนปวดขมอง ดังนั้นนางจึงไม่ทันได้สังเกตแต่หลังจากที่สังเกตดู นางก็ขมวดคิ้ว มีปฏิกิริยาขึ้นมาทำไม
"พวกเขาจะจับข้าไปเป็นผู้ทดลองยา!" จั๋วหวายยิ่งรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม มีเสียงสะอื้น "พวกเขาจะโยนข้าเข้าไปในหลุมที่มีแต่แมลง แล้วยังกรอกยาขมๆ ให้ยาอีกตั้งเยอะ!""ดังนั้นเด็กโง่อย่างเจ้าน่ะมันโง่หรือเปล่า? ทำไมถึงเดินไปกับเขาอย่างว่าง่ายแบบนั้น" จั๋วซือหรานทั้งโมโห ทั้งเป็นห่วง ถามขึ้นอย่างจนใจจั๋วหวายสูดน้ำมูก เสียงขึ้นจมูกเพราะร้องไห้มา น้ำหูน้ำตาไหล ฟังแล้วน่าสงสารยิ่งกว่าเดิมเขาเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว "เพราะสุ่ยเชียนโยวคนนั้น นางสวยมาก"จั๋วซือหราน "..."นางพูดไม่ออกจริงๆ ไม่เคยเห็นเด็กที่แสดงออกว่าชอบผู้หญิงตรงๆ แบบนี้มาก่อนเลย"นี่ถ้าตอนนี้ข้าไม่ได้ระงับอารมณ์ไว้ เด็กอย่างเจ้าคงถูกข้าจับแขวนอัดไปแล้ว เจ้าเด็กกะล่อน!" จั๋วซือหรานตะคอกขึ้น "กลับไปก่อนจะสั่งสอนเจ้า"เสียงของจั๋วซือหรานเข้มงวดมาก ทำเอาจั๋วหวายตัวสั่นขึ้นมาในสายตาเขา พี่สาวพึ่งพาได้กว่าใครทั้งหมด!แต่บางครั้ง พี่สาวเองก็น่ากลัวกว่าอะไรทั้งหมดด้วย!เขาลนลานขึ้นมาทันที รีบพูดขึ้นว่า "ท่านพี่ ข้า ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่งนั้น! สุ่ยเชียนโยวคนนั้น หน้าตาคล้ายท่านเลย! ข้าเลยรู้สึกอยากรู้อยากเห็น ดังนั้นจึงเข้าใกล้นา
่จั๋วหวายแลบลิ้น "ข้ารู้สึกว่าเรื่องมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ ก็ยังไม่เคยหารือกับท่านด้วย ข้าเองก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามไปทำ"ความเลื่อมใสและความไว้ใจที่จั๋วหวายมีให้พี่สาวนั้น ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร ถ้าหากเป็นเรื่องเล็กก็ช่างมัน แต่ในเรื่องใหญ่แบบนี้ เขาจะต้องหารือกับพี่สาวแน่นอน"ยิ่งไปกว่านั้น ข้ารู้สึกว่านางป่วยเป็นแบบนั้น พี่สาวเองก็ไม่แน่ว่าจะรักษาไม่ได้ ไม่มีความจำเป็นต้องให้ข้ามาเป็นผู้ทดลองยาด้วย" จั๋วหวายเอ่ยขึ้นพอได้ยินคำนี้ จั๋วซือหรานก็เขกไปที่หน้าผากเขาทีหนึ่ง "ก็ยังไม่ถึงกับโง่นักนี่ น้องชายของจั๋วซือหราน ถ้าโง่ถูกคนจับไปเป็นคนทดลองยาได้ล่ะก็ คงจะน่าขำน่าดู""ดังนั้น ท่านพี่รักษาได้ไหม?" จั๋วหวายถาม"น่าจะได้กระมัง" จั๋วซือหรานเอ่ยเสียงเรียบ เหมือนไม่ได้แยแสกับเรื่องนี้นัก จากนั้นนางจึงหัวเราะขึ้นมาเบาๆ "แต่ข้าไม่มีทางรักษาให้นางหรอก"จั๋วหวายความคิดยังใสซื่อ น่าจะยังโง่อยู่หน่อยๆ ยังรู้สึกเสียดาย "อา อย่างนั้นหรือ..."จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "เจ้าเด็กโง่นี่ยังจะเสียดายแทนคนอื่นอีกหรือ? เจ้าคิดว่าคนอื่นเขาจะให้เจ้าเป็นแค่ผู้ทดลองยา
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"