ไม่นานนัก คนคนนี้ก็พาลูกๆ กลับมาลูกทั้งสองคนล้วนถูกหุ่นเชิดความมืดสองตัวของจั๋วซือหรานอุ้มเข้ามาสภาพดูไม่ค่อยดีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากหวาดกลัวหุ่นเชิดความมืด จึงตัวสั่นกันเป็นเจ้าเข้าดูจากอายุแล้ว เป็นวัยหนุ่มใกล้เคียงกับจั๋วหวายทุกคนรู้สึกเหมือนสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ตอนนี้อารมณ์ที่เรียกว่าความโกรธแค้นของมวลชนกำลังแผ่ขยายออกมากขึ้นเรื่อยๆนี่ก็เป็นเป้าหมายที่จั๋วซือหรานให้เขาไปพาลูกๆ มาตอนที่จั๋วซือหรานเห็นเด็กหนุ่มสองคนนี้ ก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า "อายุพอๆ กับน้องชายข้าเลย"ทุกคนพอได้ยินคำนี้ ก็ล้วนมีความคิดกันขึ้นมาทันทีดูเหมือนผู้ทดลองยาที่สำนักเมฆาวารีหา ล้วนอายุประมาณนี้กันสินะยังมีคนที่กระซิบกระซาบกันว่า "ลูกคนนั้นของญาติห่างๆ ข้า...ก็อายะประมาณนี้เลย...ให้ตายเถอะ!"พ่อคนนี้ก็คุกเข่าลงตรงหน้าจั๋วซือหรานอีกครั้ง "ใต้เท้า ช่วยลูกของข้าด้วย"ผู้คนที่ล้อมอยู่ก็พูดคุยเสียงต่ำกันขึ้นมา "ดูเหมือนจะหนักเอาการเลยนะ ยังรักษาได้ไหม..."พ่อคนนี้เองได้ยินเสียงเหล่านี้ ในใจก็เศร้าสลดขึ้นมา ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนหน้าในแววตาเต็มไปด้วยความหวังสุดท้าย จ้องเขม็งไปที่จั๋วซือห
"ครอบครัวข้ายอมเป็นวัวเป็นม้าให้ใต้เท้า!"จั๋วซือหรานขานอืมมาคำหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า "พาลูกของเจ้าเข้ามาด้วยกันเลย"ก่อนจะเข้าโรงเตี๊ยม จั๋วซือหรานหยุดเท้าลงกะทันหัน กลอกตามองไปทางคนที่มุงดูอยู่ครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า "ข้าน่ะ ยังจะอยู่ในเมืองอวิ๋นอีกสองวัน สองวันนี้ถ้ามีโรคอะไรที่คิดว่าเป็นโรคซับซ้อนรักษาไม่หาย ให้ลองมาหาข้าดู"นางหยุดลงครู่หนึ่ง เสริมมาอีกคำว่า "แต่ถ้าเป็นพวกปวดหัวตัวร้อนเจ็บเล็กเจ็บน้อยก็ไม่ต้องมา พักผ่อนที่ผ่านดื่มน้ำร้อนก็พอแล้ว"จั๋วซือหรานพูดจบ ก็เข้าไปในโรงเตี๊ยมพวกของเหลียนเจิน ก็ปิดประตูโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็วเจิ้นเจียงไม่ค่อยเข้าใจนัก เอ่ยถามเสียงต่ำกับจั๋วซือหราน "นายท่าน ทำไมสองวันนี้ถึงจะเปิดรักษากัน?"จั๋วซือหรานมองเขา "เพราะข้าเป็นแพทย์นี่ไง?""เห" เจิ้นเจียงหัวเราะ รู้ว่าตนเองสื่อสารผิด จึงเอ่ยต่อว่า "ข้าหมายถึง นายท่านกำลังจะไปห้ำหั่นกับสำนักเมฆาวารีอยู่แล้ว น่าจะพักผ่อนออมแรงไว้ถึงจะถูกสิ ทำไมถึงจะมาเปิดรักษาอีก?"จั๋วซือหรานตอบกลับ "รักษาคนป่วย จะล่าช้าไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น..."มุมปากนางยกขึ้นบางๆ "ไม่กลัวว่าข่าวนี้จะลือไปถึงสำนักเมฆาวารี ข้าจะให
พอได้ยินเสียงของเขา จั๋วซือหรานก็แหงนตาขึ้นมองไปทางประตูหลังปันอวิ๋นยังคงอยู่ในชุดคลุมสีทองม่วง ดูไม่ค่อยจะแตกต่างจากภาพลักษณ์เแื่อยชาก่อนหน้านี้เท่าไรนักเพียงแต่เส้นผมที่ก่อนหน้านี้ปล่อยกระเซอะกระเซิงอยู่ด้านหลังแล้วมันไว้หลวมๆ ตอนนี้กลับถูกหวีจนเป็นระเบียบเรียบร้อยจั๋วหวายยืนอยู่ข้างๆเขา พอสบตากับพี่สาว ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา"มาได้พอดีเลย" จั๋วซือหรานกวักมือหาเขาจั๋วหวายเดินเข้ามา "มีอะไรหรือ?""อีกเดี๋ยวข้าจะให้เจิ้นเจียงไปเคี่ยวยา เจ้ากับสองคนนี้ดื่มไปด้วยกันเลย" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นจั๋วหวายเห็นเด็กหนุ่มสองคนที่ดูผอมแห้งเห็นกระดูกถูกฝังเข็มไว้บนเตียงไม้ที่ประกอบจากโต๊ะง่ายๆ สองตัวนั่นแล้ว"พวกเขาเป็นอะไรไปหรือ?" จั๋วหวายถามขึ้นอย่างไม่ค่อยเข้าใจจั๋วซือหรานตอบเสียงเรียบ "ถูกคนสำนักเมฆาวารีเอาไปเป็นผู้ทดลองยามาแล้ว"จั๋วหวายถลึงตาโต เผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมา แล้วยังมีความตกใจที่เพิ่งรู้ตัวตามมาด้วย"ใช่ ใช่...ผู้ทดลองยาที่ข้าเกือบจะไปทำนั่นน่ะหรือ?""อืม" จั๋วซือหรานพยักหน้า "ผู้ทดลองยาที่เจ้าเกือบไปทำแล้วนั่นล่ะ เจ้ายังฉลาดหนีมาไว ดังนั้นสถานการณ์ยังพอไหว ถ้าเจ้า
จั๋วซือหรานให้เจิ้นเจียงนำสามพ่อลูกไปจัดแจงหาห้องพักที่เรือนหลังจั๋วหวายปกติก็เงอะงะ แต่ตอนนี้กลับเฉลียวฉลาดคล่องแคล่ว รู้ว่าพี่สาวกับพี่ปันน่าจะมีเรื่องคุยกัน บวกกับเขาเองก็เห็นใจพี่น้องสองคนนี้ด้วย ก็เลยตามเจิ้นเจียงออกไปช่วยจัดแจงที่พักให้พวกเขาจั๋วซือหรานนั่งอยู่ตรงนั้น หยิบเตาต้มยาเล็กๆ ที่เจิ้นเจียงนำมาด้วยเมื่อครู่เพราะกลัวว่ายาจะเย็นมาวางไว้ จากนั้นจึงหยิบกระบอกดินเผาที่ดูโบราณมากออกมา แล้วต้มอะไรบางอย่างไม่นานนัก ก็มีกลิ่นหอมลอยออกมาจากในกระบอกดินเผาปันอวิ๋นเอียงตาเหล่มอง รู้สึกอยากรู้อยากเห็น "นี่คืออะไรหรือ?"จั๋วซือหรานคิดๆ ตอบว่า "นมย่าง""อร่อยไหม?""แน่นอน แต่ไม่แน่ใจว่าข้าจะทำได้อร่อยหรือเปล่า""ข้าขอดื่มหน่อยได้ไหม?"ปันอวิ๋นถามอย่างตั้งใจจั๋วซือหรานเห็นท่าทางเขาแล้ว ยกมุมปากขึ้นหลังจากต้มเสร็จแล้ว ก็แบ่งให้ปันอวิ๋นถ้วยหนึ่งเขาดื่มลงไปอย่างพึงพอใจหลังจากดื่มหมดก็ทำเสียงแจ๊บๆ จากนั้นก็ยื่นกล่องใบหนึ่งให้จั๋วซือหราน ทำเหมือนยื่นหมูยื่นแมว "นี่""อื๋อ?" จั๋วซือหรานมือข้างหนึ่งยังถือถ้วยนมย่างอยู่ นิ้วของมืออีกข้างก็เปิดฝากล่องออกเบาๆภาพที่อยู่ด้านใ
แต่ปันอวิ๋นก็คิดไม่ถึง ว่าจั๋วซือหรานจะเข้าใจความหมายที่เขาอยากแสดงออกมาได้มุมปากจั๋วซือหรานยกเป็นเส้นโค้ง รอยยิ้มกลับไม่ไปถึงในดวงตาน้ำเสียงดูจืดจาง "จากคำพูดของเจ้าหุบเขา เน้นย้ำคำว่ามืดมิดสุดสว่างไสวสุดหลายครั้ง คือกำลังเตือนข้าถึงคุณสมบัติร่างการสว่างไสวสุดของเฟิงเหยียนใช่ไหม?"นางเว้นช่วง เอ่ยต่อว่า "เช่นนั้นก็พอจะอนุมานอย่างสมเหตุสมผลได้ ว่าเบื้องหลังของสำนักเมฆาวารี..."นางแหงนตา ดวงตาคู่งามสบกับดวงตาเรียวยาวของปันอวิ๋นถามขึ้นว่า "คือสภาผู้อาวุโสใช่ไหม"เส้นโค้งที่มุมปากจั๋วซือหราน มีความหมายประชดประชันอยู่ด้นาใน "มองไม่ออก เลยว่าขอบเขตธุรกิจของสภาผู้อาวุโสจะกว้างขวางขนาดนี้"ปันอวิ๋นถึงแม้จะไม่รู้ความหมายขอบเขตธุรกิจจากคำพูดของจั๋วซือหรานอย่างถูกต้อง แต่ก็ฟังออกถึงความประชดประชันในคำพูดนี้ของจั๋วซือหรานได้อย่างชัดเจนปันอวิ๋นถอนหายใจเบาๆ "แค่ประโยคเดียวเจ้าก็ขบคิดจนเข้าใจได้เลย..."จั๋วซือหรานยิ้มๆ ในรอยยิ้มตอนนี้ไม่มีการประชดประชัน ดูแล้วพอเทียบกับเจตนาการประชดก่อนหน้านี้ กลับดูจริงใจเป็นพิเศษ"เจ้าหุบเขากำลังชมว่าข้าฉลาดหรือ? ขอบคุณที่ชมนะ"ปันอวิ๋นเองก็ไม่พูดอะ
แต่นี่นาง...ไม่กลัวที่จะบุกรังคนอื่น แล้วถูกคนอื่นจับไปเลยหรือ?นี่มันต้องมีความกล้าแค่ไหนกันนะ จึงจะตัดสินใจแบบนี้ออกมาได้?ระยะห่างจากเมืองอวิ๋นถึงเนินเขาเมฆาวารี ไม่ได้ไกลมากนักอยู่ที่หนึ่งร้อยลี้ หรือห้าสิบกิโลเมตรโดยประมาณอันที่จริงในเมืองอวิ๋น ก็สามารถมองเห็นเนินเขาลูกนั้นได้จั๋วซือหรานไปทางเนินเขาลูกนั้นไม่นานนัก...ยังไม่ทันถึงหนึ่งชั่วยามก็มาถึงตีนเขาของเนินเขาเมฆาวารีแล้วตอนอยู่ที่ตีนเขาเนินเขาเมฆาวารี นางก็เห็นศิษย์สำนักเมฆาวารีอยู่ที่ประตูภูเขาแล้ว พอเห็นนางก็ราวกับเห็นศัตรูตัวฉกาจแต่ก็ยังต้องเข้ามาขวางนางไว้ด้วยความจงรักภักดีต่อหน้าที่"คนไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้าเนินเขาเมฆาวารี""ส่งตัวคนสำนักเมฆาวารีคืนมา จะถือว่าแล้วกันไป...ไม่ถือโทษโกรธเคืองอีก"จั๋วซือหรานพอได้ยินก็หัวเราะ "แล้วกันไปหรือ...พวกเจ้าฝันหวานเกินไปแล้ว"ผลลัพธ์คือ...ตั้งแต่ที่ประตูภูเขา ไล่ขึ้นไปตลอดทาง ขบวนเชลยของจั๋วซือหรานก็ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆตอนที่ในที่สุดมาถึงลานกว้างตำหนักใหญ่สำนักเมฆาวารีบนไหล่เขาจำนวนเชลยของจั๋วซือหราน...เอาจริงๆ ต่อให้นางจะยกมือฟันฉับๆ แต่ก็ญังเสียเวลาอยู่"บังอา
และไม่รู้ว่าเพราะเสียงคมดาบสี่เสียดสีกับพื้นมันน่าขนลุกเกินไปหรือเปล่าสรุปคือ พวกเขาเงียบกันลงไปทันทียิ่งไปกว่านั้น พอคู่กับเสียงนี้ นางก็ดูมีมาดเป็นเพรชฆาตจริงๆจั๋วซือหรานยืนอยู่ตรงนั้น ต่อให้ไม่ต้องพูดอะไร ก็เพียงพอที่จะใช้ท่าทางของตนเอง ตอบคำถามเมื่อครู่ของคนเหล่านี้ได้แล้วนางคิดจะทำอะไร นางหมายความว่ายังไง นางหมายความว่ายังไงกันแน่?ตอนนี้พวกเขากระจ่างแจ้งในใจนางคิดจะสังหารคน ถ้าหากพวกเขาไม่ส่งตัวน้องชายนางออกมาอย่างไร้ริ้วรอย นางจะจัดการคนสำนักเมฆาวารีเสียที่นี่ซะจั๋วซือหรานเหลือบมองดวงตะวันบนท้องฟ้า พิจารณาเวลาอยู่ครู่หนึ่งเอ่ยขึ้นว่า "ก่อนจะถึงกำหนดที่ข้าบอกไว้สามวันก่อน ยังเหลืออีกครึ่งชั่วยาม"นางสะบัดดาบยาวในมือ "หลังจากครึ่งชั่วยาม ถ้าข้ายังไม่ได้สิ่งที่ข้าต้องการ ข้าจะเริ่มสังหารคนทันที"จั๋วซือหรานเหลือบมองเหล่าเชลยผาดหนึ่ง เชิดคางไปทางหวงเจี้ยนถัง "เริ่มสังหารจากคนนี้ก่อนเลย"คำพูดเหล่านี้ที่หน้าตำหนักใหญ่ของจั๋วซือหราน เพียงไม่นานก็ส่งไปถึงตำหนักหลังของสำนักเมฆาวารีหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง กำลังนั่งฟังเนื้อหารายงานด้วยสีหน้าบูดบึ้งนิ้วมือกำแน่น ในแ
เสียงของนางอดเข้มงวดขึ้นมาไม่ได้ "ข้ารู้ว่าข้าต้องทำอะไร! แต่เจ้านั่นล่ะ! อย่าให้ตัวตลกมาทำให้สติแตก!"ศิษย์หดคอลง ไม่กล้าพูดอะไรอีกตอนนี้เอง ด้านนอกก็มีคนในสำนักเข้ามารายงาน น้ำเสียงฟังดูร้อนรนมาก "เจ้าสำนัก!""ว่ามา" สุ่ยจิ้งหลานขมวดคิ้ว น้ำเสียงเย็นเยียบลงคนในสำนักรายงานว่า "ผู้อาวุโสอิงไปที่ตำหนักหน้าแล้ว"คำพูดของศิษย์ก่อนหน้าเหล่านั้น แค่ทำให้สุ่ยจิ้งหลานรำคาญขึ้นมาเท่านั้น แต่นางยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับแต่ตอนนี้เนื้อหาที่คนในสำนักมารายงาน กลับทำให้สุ่ยจิ้งหลานหน้าเปลี่ยนสี ลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง "อะไรนะ?! เขาจะไปทำอะไร! ทำไมไม่มีใครห้ามเขาไว้!"คนในสำนักเอ่ออ่าอยู่ด้านนอก ตอบอะไรไม่ได้อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นศิษย์สำนักหรือศิษย์ที่อยู่ข้างๆ ก็รู้ดีแก่ใจ ขวางเขาหรือ? จะไปขวางอย่างไรกัน?ตัวตนของผู้อาวุโสอิงบนเนินเขาเมฆาวารีนั้นค่อนข้างพิเศษและสูงส่ง นอกจากฐานะผู้อาวุโสแล้ว เขายังมีอีกฐานะที่ทำให้คนหวาดกลัวยิ่งกว่าเขาคือสามีของเจ้าสำนัก แม้เจ้าสำนักจะแข็งแกร่ง เป็นหนึ่งไม่มีสองในเนินเขาเมฆาวารี แต่ก็ยังเคารพผ่อนปรนต่อสามีมาโดยตลอดใครจะกล้าไปขวางเขากัน?ต่อให้ก่อนหน้านี้รู
หุบเขาหมื่นพิษยามค่ำคืน เต็มไปด้วยหมอกลวงตาทุกหนแห่งอบอวลไปด้วยหมอกบางๆ ใต้แสงจันทร์ พุ่มไม้หมู่ไม้ล้วนกลายเป็นเงาร่างประหลาดในหมอกลวงตาดูเป็นบรรยากาศที่แปลกประหลาดและอันตรายพอควรคนกับม้ากลุ่มหนึ่งกำลังเดินทางตรงเข้าไปที่หุบเขาหมื่นพิษ"สัตว์ประหลาดนั่นก่อนหน้านี้ปรากฏตัวในคืนจันทร์เพ็ญที่นี่" เสียงของจั๋วเฮ่ออิงกดลงต่ำอดถอนหายใจเบาๆ ออกมาไม่ได้ "พวกรเาควรจะรออีกสักคืน พรุ่งนี้ฟ้าสางค่อยเดินทางจะเหมาะกว่า"เซี่ยอวิ๋นซีนั่งอยู่ข้างๆ สีหน้าดูแล้วเคร่งขรึมไม่สู้ดีนัก พอได้ยินคำนี้ ก็เอียงตามองจั๋วเฮ่ออิงผาดหนึ่งไม่ใช่ว่านางไม่เข้าใจเหตุผลในคำพูดจั๋วเฮ่ออิง แต่ก็หลายครั้ง เวลาที่แม่เผชิญหน้ากับเรื่องที่เกี่ยวกับอันตรายของลูกๆ จะใจเย็นลงมาไม่ค่อยได้ยิ่งไปกว่านั้น...ยังไม่ทันที่เซี่ยอวิ๋นซีจะได้คิดเยอะ ตรงหน้าก็เกิดการเคลื่อนไหวผิดปกติขึ้นมา!เสียงนั้นชัดมาก!แค่ฟังจากเสียงนี้ก็ฟังออกได้ไม่ยาก ว่าร่างสัตว์ประหลาดที่พวกเขาจะเผชิญหน้าใหญ่โตแค่ไหน!นิ้วมือของเซี่ยอวิ๋นซีกำแน่น ริมฝีปากเองก็เม้มแน่นขึ้นมานางมองออกมาจากในรถม้า ก็เห็นว่าด้านหน้า สัตว์ประหลาดตัวมหึมาตัวหนึ่ง ปร
ปันอวิ๋นรู้สึกจนใจหน่อยๆ "เจ้าตามใจมันเข้าไปเถอะ..."จั๋วซือหรานยิ้มๆ"ช่วงนี้ดีขึ้นแล้วหรือ?" ปันอวิ๋นถาม"อืม" จั๋วซือหรานขานรับคำหนึ่ง คิดถึงชายคนนั้น...ในใจก็รู้สึกจนใจอยู่บ้างช่วงหลายวันนี้ นางนอนร่วมเตียงกับเขา ไม่ว่าในใจจะยินยอมหรือไม่ แต่เรื่องก็ยังเป็นเช่นนี้ในช่วงเวลานี้ นางยังไม่มีทางเลือกอื่นพอพูดไปก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่นะอันที่จริงทั้งสองคนแทบจะไม่ได้คุยกันเลยในช่วงกลางวัน ต่างฝ่ายต่างยุ่งเรื่องของตัวเองนางช่วยปันอวิ๋นเลี้ยงแมลงกู่ และคอยชี้แนะแพทย์ในหุบเขาหมื่นพิษดูแลปรับสภาพร่างกายตนเอง ทำอาหารอร่อยออกมาทุกวันถือเป็นการบำรุงตัวเองไปด้วย และตอบแทนคนอื่น ที่รบกวนปันอวิ๋นในหุบเขาหมื่นพิษอยู่ตลอด รวมถึงชายคนนั้นด้วย...สรุปคือ ตอนนี้สถานการณ์ทุกวัน ก็ดูจะเข้ากันได้แบบแปลกๆทุกวัน ชายคนนั้นบางทีก็พาจั๋วหวายออกไปล่าสัตว์ในหุบเขา เอาอาหารสดบางส่วนกลับมา ในขั้นตอนนี้ ก็ยังคอยชี้แนะจั๋วหวายเรื่องทักษะต่อสู้ด้วยจากนั้นนางก็นำวัตถุดิบเหล่านั้นมาทำเป็นกับข้าวหอมกรุ่นเต็มโต๊ะแล้วพวกเขาก็มานั่งกินด้วยกันอีกครั้ง พวกเขาในที่นี้หมายถึงจั๋วซือหราน จั๋วหวา
พอได้ยินคำนี้ของจั๋วหวาย สีหน้าจั๋วซือหรานก็ชะงักไปพอนึกถึงจั๋วเฮ่ออิงที่สีหน้าเปลี่ยนแล้วรีบร้อนออกไปวันนั้นนางรู้สึกว่าการคาดเดาของเสี่ยวหวาย...ดูสมเหตุสมผลดียังไม่ต้องพูดถึงว่าจั๋วเฮ่ออิงไปหาเซี่ยอวิ๋นซี แล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไรจั๋วซือหรานแม้จะไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่ก็มีความรู้สึกรักอย่างจริงใจต่อเซี่ยอวิ๋นซีด้วยความเข้าใจต่อตัวเซี่ยอวิ๋นซีของนาง จั๋วซือหรานรู้สึกว่า เซี่ยอวิ๋นซีเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งในการที่นางสามารถเลี้ยงลูกสองคนจนโตได้เพียงลำพังก็มองออกได้ไม่ยากคนแบบนี้ ในสถานการณ์ปกติขีดจำกัดจะชัดเจนมากนางจะอ่อนโยนกับคนของตนเอง แต่มีนิสัยที่แข็งกร้าวในสายตาไม่อาจทนเห็นสิ่งไม่ดีได้ ยอมหักแต่ไม่ยอมงอตอนที่นางรักจั๋วเฮ่ออิงก็คือรักจริงๆ ถ้าหากไม่มีลูกน้อยสองคนคอยรั้งนางไว้ นางคงฆ่าตัวตายตามจั๋วเฮ่ออิงไปตั้งแต่ตอนรู้ว่าเขาตายแล้วแต่พอมีตัวตนอย่างสุ่ยจิ้งหลาน เซี่ยอวิ๋นซีก็ไม่แน่ว่าจะอดทนต่อจั๋วเฮ่ออิงได้อีกตอนที่ไม่รัก ก็อาจจะไม่รักได้จริงๆแต่แล้วทำไมล่ะ แค่จั๋วเฮ่ออิงไปบอกเรื่องของนาง ด้วยนิสัยของเซี่ยอวิ๋นซี ต่อให้ฟ้าถล่มก็คงจะรีบมาหาอยู่ดีจั๋วซือหรานถอนห
ตอนนี้ จั๋วซือหรานเห็นหน้าตนเองในน้ำได้เห็นสภาพของตนเองชัดๆ ดีขึ้นมากแล้วจริงๆแต่นางยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าสภาพของตนเองก็กำลังแย่ลงอย่างรวดเร็วดังนั้น ตนเองตอนนี้...อยู่ห่างจากชายคนนั้นไม่ได้จริงๆถ้าแค่ห่างจากชายคนนั้น ตนเองก็อาจจะทนต่อไปไม่ไหว แล้วกลับไปอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้อีก นั่นมันอันตรายเอามากๆส่วนตนเองถ้าหากยังตามชายคนนี้อยู่ตลอดล่ะก็...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว ในใจก็อดคิดไม่ได้ ตอนนี้ตนเองอย่างน้อยยังพอทนไหว ไม่ต้องตัวติดกับเขาตลอดเวลาก็ได้แต่...นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นนะจั๋วซือหรานเป็นคนที่เตรียมพร้อมล่วงหน้าอยู่เสมอ นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อยเบาๆในใจยังคิดขึ้นอย่างกังวล ถ้าหากอายุครรภ์มากขึ้น สถานการณ์แบบนี้ก็น่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยถึงตอนนั้นหากตนเองต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาถึงจะรักษาสภาพให้คงที่ได้ล่ะ?ถ้าตนเองเป็นอย่างที่เขาบอกล่ะ ที่ว่าต้องการแสงแดดแล้วในเวลากลางวันแบบนั้น...คนนึงต้องการแสงแดด แต่อีกคนกลับถูกแสงแดดทำร้ายสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆนางผ่อนคลายลงหน่อย แต่เขากลับทรมานขึ้นมาถ้าพอนางทรมาน เขาถึงจะผ่อนคลายลงมาได
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว