น่าจะเพราะค่อนข้างกะทันหัน ดังนั้นอีกฝ่ายจึงยังไม่ได้คิดว่าควรตอบอย่างไรทำได้เพียงแหงนตามองชายหนุ่มตรงหน้า ผ่านม่านบางๆ ที่ห้อยลงมาจากขอบหมวกฟางจั๋วหวายสัมปัสได้ถึงสายตาเขาที่ผ่านผ้าคลุมมาตกบนตัวตนเอง จะว่าไปก็ยังมีความรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่จั๋วหวายขมวดคิ้วแน่นขึ้นแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงของคนผู้นี้ จั๋วหวายยืนนิ่งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง อารมณ์ในใจยิ่งซัดสาดมากกว่าเดิมรู้สึกแค่ว่าตัวเองมาเสียเปล่าเสียแล้ว ถ้ารู้แต่แรกคงไม่เข้ามา มองเขาเป็นอากาศธาตุไปก็จบพอคิดถึงจุดนี้ จั๋วหวายก็หมุนตัวจะเดินออกไปตอนนี้เอง กลับได้ยินเสียงของชายที่อยู่ด้านหลังดังลอดเข้ามาเส้นเสียงแหบพร่า ในน้ำเสียงมีความเศร้าและความกร้านชีวิต และยังมีความยินดีกับความเสียดายด้วยเขาเอ่ยขึ้นว่า "โตขึ้นมากเลย"จั๋วหวายรู้สึกว่าตนเองไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ เพราะแค่สี่คำที่อีกฝ่ายพูดมา กลับเหมือนทำให้เท้าของตนเองถูกตอกติดไว้กับพื้นอย่างไรอย่างนั้นตอกไว้สนิท ราวกับขยับเขยื้อนไม่ได้เลยแม้แต่น้อยแล้วจมูกก็เริ่มหน่วงๆ ขึ้นมาในใจจั๋วหวายแอบบอกกับตัวเองว่า: จั๋วหวาย เจ้ามันไม่ได้เรื่อง! เจ้ามีพี่สาวที่เก่งกาจ ที
เหลียนเจินจะอย่างไรก็รู้ถึงความสัมพันธ์ของจั๋วซือหรานกับจั๋วเฮ่ออิงอยู่ ดังนั้นอันที่จริงคิดว่าจั๋วซือหรานจะไม่ค่อยพอใจกับเรื่องนี้ตอนที่มารายงานเรื่องนี้ น้ำเสียงนึงค่อนข้างระมัดระวังและลังเลแต่กลับได้ยินเสียงของนายท่านดังลอดเข้ามาจากในห้อง ดูมีความขบขันหน่อยๆ "อย่างนั้นหรือ อย่างนั้นก็ให้พวกเขาคุยกันไปเถอะ""เอ่อ..." เหลียนเจินคิดไม่ถึง ตอนที่ถอนใจโล่งก็รู้สึกประหลาดใจหน่อยๆ "ข้าคิดว่านายท่านจะโมโหเสียอีก""มีอะไรน่าโมโหกัน เด็กหนุ่มยังมีจิตใจแบบเด็กๆ ท้ายสุดใจก็อ่อนอยู่ดี" จั๋วซือหรานนึกไปถึงน้องชายที่ไม่ว่าจะเวลาไหนก็มักจะมีจิตใจอ่อนโยนเมตตาเสมอจากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมต่อให้ถึงตอนท้ายสุด ก็ยังไม่คิดจะทอดทิ้งพี่สาว เจ้าเด็กใจอ่อนคนนั้น...จั๋วซือหรานดึงสติกลับมา เอ่ยต่อว่า "ข้าไม่ได้ใจอ่อนแบบนั้น แต่นี่มันก็เป็นหน้าที่ที่พี่คนโตต้องมีไม่ใช่รึ ข้าคอยเผชิญหน้าลมฝนของโลกใบนี้อย่างเข้มแข็ง ปกป้องเจ้าเด็กที่จิตใจอ่อนโยนนี้ไว้ก็พอ"เหลียนเจินพอได้ยินคำของนายท่าน ก็รู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาหน่อยๆ"ยิ่งไปกว่านั้น..." จั๋วซือหรานชะงักไป แล้วเอ่ยต่อว่า "ต่อให้นั่นจะไม่ใช่พ่อของข้า
แต่ที่จั๋วซือหรานคิดไม่ถึงก็คือ เหลียนเจินกลับให้คำตอบที่นางคาดไม่ถึงมา"ไม่ ไม่ใช่" เหลียนเจินเอ่ยขึ้น"โอ๋?" จั๋วซือหรานรู้สึกคาดไม่ถึง"แม้จะบอกว่าหุบเขาหมื่นพิษไม่เห็นด้วยจริงๆ แต่ก่อนที่หุบเขาหมื่นพิษจะไม่เห็นด้วย เหอจื้อหย่วนก็เปลี่ยนความคิดไปแล้ว หันไปหาสำนักเมฆาวารีแทน"เหลียนเจินเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน "เขารู้สึกว่าสำนักเมฆาวารีมีอนาคตมากกว่า แม้ว่าตอนนั้นข้าจะเข้าใจได้ไม่แม่นยำนักแต่ตอนนั้นเหอจื้อหย่วนบอกว่าคำพูดเหล่านั้นก็เดาได้ไม่ยาก เขาเหมือนรู้ถึงเบื้องหลังกับธุรกิจของสำนักเมฆาวารี รู้สึกว่าถ้าหากหันเข้าหาสำนักเมฆาวารี จะมีอนาคตมากกว่า"จั๋วซือหรานมุมปากกระตุก สิ่งแรกที่คิดออกคืออักขระคำสาปประหลาดทั้งตัวสุ่ยจิ้งหลาน กับหุ่นเชิดความมืดที่สลายกลายเป็นฝุ่นหลังจากที่ถูกบูชายัญก็ดูจะมีอนาคตจริงๆ จั๋วซือหรานนึกขึ้นมาอย่างแดกดันเหลียนเจินเอ่ยต่อว่า "แต่ว่าต่อมาหุบเขาหมื่นพิษก็ปฏิเสธเหอจื้อหย่วน แต่เหอจื้อหย่วนตอนนั้นเนื่องจากได้รับคำตอบที่เกือบแน่นอนแล้วจากสำนักเมฆาวารี ดังนั้นจึงไม่ใส่ใจต่อเรื่องนี้ แล้วยังพูดกันในจวนอีกว่า...""อื๋อ?" จั๋วซือหรานส่งเสียงสงสัยขึ้นม
สายตาจั๋วซือหรานมองปันอวิ๋นเงียบๆ เอาคำถามที่ถามไปก่อนหน้าถามขึ้นมาอีกครั้ง "ดังนั้นเจ้าหุบเขาหมื่นพิษที่ดื้อรั้น ไปผิดใจ 'ใต้เท้า' พวกนั้นแล้วหรือยัง?"ปันอวิ๋นได้ยินคำของนาง ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาไม่มีเจตนาจะปิดบังอะไรผู้หญิงคนนี้อีกแล้วจริงๆนางฉลาดหลักแหลมมาก เรื่องหลายเรื่องให้นางแค่เบาะแสเล็กๆ ในสมองนางก็จะกระชากทั้งหมดออกมาเองเดิมทีปันอวิ๋นก็ยังคิด ถ้าหากนางเดาอะไรได้ ตนเองปิดบังอะไรได้ก็จะพยายามปิดบังหน่อยแต่ตอนนี้ดูแล้ว ช่างหัวมันเถอะถ้าหากนางเดาอะไรได้ ตนเองก็แค่พยักหน้าตามคำพูดนางไปแล้วกัน ไม่ต้องเปลืองแรงเปลืองสมองแล้วดังนั้นปันอวิ๋นหลังจากถอนหายใจก็เอ่ยขึ้นว่า "เจ้าถามข้าหรือ? ไม่ใช่ว่าเจ้ารู้หมดแล้วรึ ยังมีอะไรน่าถามอีก"จั๋วซือหรานพอได้ยิน ก็เลิกคิ้วขึ้นเบาๆ นึกถึงการคาดเดาก่อนหน้านี้ของตนเองนางเดาว่าปันอวิ๋นอาจจะเคยเป็นเพื่อนสนิทของเฟิงเหยียนไม่แน่ว่าปันอวิ๋นอาจจะทำเพื่อช่วยเฟิงเหยียนอยู่ไม่แน่ว่าท่าทีจะแต่งงานกับนางให้ได้ในตอนนี้ของเขา อันที่จริงก็ทำเพื่อหลังจากที่ดึงนางมาได้แล้ว สภาผู้อาวุโสพวกนั้นก็จะรู้สึกว่านางไม่ได้มีแรงคุกคามต่อเฟิงเหยียนแล้ว อา
ตอนที่พูดถึงตรงนี้ ปันอวิ๋นก็หัวเราะขึ้นมาจั๋วซือหรานเอียงตามองรอยยิ้มบนหน้าเขาว่าอย่างไรดีล่ะ เป็นรอยยิ้มที่เสียดแทงใจแบบหนึ่ง แล้วยังมี...อาการประชดประชันตัวเองด้วย พูดว่าเป็นความหดหู่จะเหมาะกว่าจั๋วซือหรานรู้ว่าแบกโชคชะตาของแต่ละคนไว้ที่เขาพูดออกมา น่าจะหมายถึงแบบของเฟิงเหยียน ภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงของตระกูล"เฟิงเหยียนเป็นภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดง จุดนี้เจ้าน่าจะรู้อยู่แล้ว"ปันอวิ๋นพูด แล้วยกชาขึ้นดื่มจนหมดจั๋วซือหรานรู้สึกว่า บางทีเขาน่าจะหวังว่าที่อยู่ในถ้วยจะเป็นสุรากระมังหลังจากปันอวิ๋นกระดกจนหมด จึงเอ่ยต่อว่า "พวกเราแต่ละคนแบกโชคชะตาที่แตกต่างกันไว้ นอกจากเฟิงเหยียนแล้ว คนอื่นเองก็คล้ายๆ กันซงซีเป็นวิญญาณวัตถุมาแต่กำเนิด ให้ด้านการหลอมสกัด มีพลังกับความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ เยี่ยนเหวยมีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งมาก เลือดเองก็เป็นตัวประสานยา ราวกับสามารถรักษาโรคทั้งหมดในใต้หล้าได้ ถังฉือไม่มีพลังวิญญาณอะไร แต่ความเข้าใจต่อวิถีกระบี่แทบจะไม่มีใครเทียมได้เลย"มุมปากปันอวิ๋นยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ เหมือนความทรงจำเหล่านั้นไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ก็ยังคงทำให้เขามี
ปันอวิ๋นเพียงไม่นานก็ให้คำอธิบายกับคำพูดของตนเอง"คนเลี้ยงกู่มักถูกใช้เป็นภาชนะ ดังนั้นระดับการยอมรับต่อเรื่องนี้จึงพอรับได้ แต่เฟิงเหยียนนั้นต่างออกไป ชะตาของเขานั้นเหมือนถูกคำสาปอย่างไรอย่างนั้น""จะว่าไป เขาคือศัตรูตัวฉกาจของข้า สายเลือดตระกูลเฟิงของเขา เป็นวิญญาณเพลิงมาแต่กำเนิด ส่วนข้าคือปรมาจารย์กู่ สิ่งที่กลัวสุดก็คือไฟ ตามหลักการแล้วเข้ากันไม่ได้อย่างที่สุด แต่ตอนนั้น ความสัมพันธ์กลับไม่เลวเลย จนกระทั่ง..."เสียงของปันอวิ๋นหยุดลงมาจั๋วซือหรานเองก็ไม่เร่งรัด นางเป็นผู้ฟังที่ดี ฟังอยู่เงียบๆปันอวิ๋นหยุดไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยต่อว่า "...จนกระทั่งเขาทรยศออกจากสำนัก"ถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเอ่ยต่อเสียงต่ำว่า "เจ้าหมายถึงที่เขาถูกอาจารย์ทรยศ ถูกหลอกให้กลับไปตระกูล หลังจากที่กลายเป็นภาชนะอย่างแท้จริงแล้วน่ะหรือ"ใช่" ปันอวิ๋นพยักหน้า "เขาเป็นคนแรกที่ทรยศออกจากสำนัก"จั๋วซือหรานคิดจะพยักหน้า ก็ตระหนักขึ้นมาได้ถึงคำพูดนี้ของปันอวิ๋น...คนแรกที่ทรยศสำนักนั่นแสดงว่า ยังมีคนที่สองคนที่สาม..."ตอนเพิ่งเริ่ม เหล่าพี่น้องล้วนไม่เข้าใจ รู้สึกว่าเขาทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ถึงอย
พูดเรื่องเหล่านี้จบ ปันอวิ๋นจึงดื่มชาในถ้วยจนหมด จากนั้นก็ถามจั๋วซือหราน "คำตอบนี้เจ้าพอใจหรือยัง?"จั๋วซือหรานมองเขา ไม่ได้บอกว่าพอใจหรือไม่พอใจผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยขึ้นอย่างสงบว่า "ข้าไม่ค่อยรู้สึกพอใจกับความขมขื่นของคนอื่นหรอก"ได้ยินคำนี้ของจั๋วซือหราน ปันอวิ๋นก็มองนางนิ่งไปพักหนึ่ง ไม่พูดอะไรออกมาจากนั้นจึงลุกขึ้นยืน "ในเมื่อเจ้าบอกว่าไม่ต้องให้ข้าคุ้มกัน เช่นนั้นข้าจะไปนอนแล้ว เจ้าก็พักผ่อนไวไวนะ"และไม่รู้ว่าเพราะเอาเรื่องเก่าๆ ในอดีต รวมไปถึงความไร้เดียงสากับความอ่อนแอหวาดกลัวที่ตนเองซ่อนไว้ในอดีตเปิดเผยออกมาหรือเปล่าปันอวิ๋นจึงเหมือนดูไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองนัก เขาไอออกมาเบาๆ เสียงหนึ่ง เปิดประตู เดินออกมาจากในห้องจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานไม่ได้พักผ่อน ยังนั่งนิ่งๆ อยู่ข้างโต๊ะพักหนึ่ง จึงถอนหายใจออกมาเบาๆ ลุกขึ้นยืนแล้วไปนอนลงบนเตียงตอนที่ออกเดินทางวันรุ่งขึ้น จั๋วซือหรานก็เห็นตาของจั๋วหวายบวมจนแทบลืมไม่ขึ้นแม้จะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว ถึงอย่างไรนางก็รู้ว่าเมื่อคืนจั๋วหวายไปรำลึกความหลังกับจั๋วเฮ่ออิงมาแต่ตอนที่เห็นดวงตาสองข้างของเด็กคนนั้นบวมจนแทบเปล่งประกายแวบแร
เสียงของจั๋วหวายมีอารมณ์ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งลมหายใจก็เหมือนจะหอบถี่ขึ้นมาพอควรน่าจะเพราะตระหนักได้ว่าอารมณ์ของตนเองเริ่มไม่มั่นคง จั๋วหวายจึงสูดลมหายใจลึก สงบอารมณ์ลงมาตอนที่มองไปยังพี่สาวอีกครั้ง สีหน้าดูเขินหน่อยๆ และยังมีความกระอักกระอ่วนของวัยหนุ่มอยู่ด้วยเอ่ยขึ้นว่า "สรุป สรุปคือ...ข้าอยากให้เขารู้ ว่าพี่สาวทุ่มเทไปเท่าใด ลำบากมาเท่าใด"จั๋วซือหรานยิ้มๆ ตบบ่าเขาเบาๆ "ข้ายังไงก็ได้ ความคิดของข้าไม่สำคัญหรอก เจ้ากับท่านแม่เห็นก็พอแล้ว"อันที่จริงจั๋วหวายเดิมทียังคิดจะพูดกับพี่สาวอีกว่า เมื่อคืนเขาได้ยินเรื่องราวจากปากของจั๋วเฮ่ออิง ว่าช่วงหลายปีนี้เขามีชีวิตอย่างไร ทำไมถึงไม่เคยกลับไปเลยสักครั้ง...แต่จั๋วหวายก้เห็น ว่าพี่สาวเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเรื่องนี้เลย จั๋วหวายคิดๆ สุดท้ายก็เลยไม่พูดอะไรรถม้าโคลงเคลงเคลื่อนที่ไปด้านหน้า จั๋วซือหรานง่วงจึงหลับตาลงพักครู่หนึ่ง แลยังรู้สึกอยู่ตลอด ว่ามีคนคนหนึ่งคอยตามอยู่หลังขบวนรถตลอดจั๋วซือหรานขี้เกียจจะไปใส่ใจ และไม่อยากสนใจด้วย อยากตาก็ตามมาเถอะตลอดทาง นางหลับไปเยอะมาก ตอนที่ตื่นขึ้นมาน้อยครั้งตอนแรกยังแบ่งจิตใต้ส
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"