จั๋วซือหรานเอียงหัวมองเขาผาดหนึ่ง ความหมายชัดเจนอยู่แล้วถึงอย่างไรก็อยู่ในหุบเขาหมื่นพิษมานาน แม้ปันอวิ๋นจะไม่อยากยอมรับ แต่ก็อดพูดไม่ได้ ว่าเขากับจั๋วซือหรานก็มีความรู้กันแล้วจริงๆพอเห็นสายตาของจั๋วซือหราน ปันอวิ๋นก็รู้ว่า ที่จะแอบดอดไปนอนนี่น่าจะหมดหวังแล้วเขามองเฟิงเหยียนอย่างเคืองๆ จากนั้นก็ความหายาลูกกลอนกระตุ้นสมองออกมาเคี้ยวกร้วมๆกวักมือเรียกศิษย์สำนักเข้ามา กำชับไปคำหนึ่งเซี่ยอวิ๋นซีแม้ในใจจะเป็นห่วงลูกสาวมาก แต่ก็รู้ว่าลูกสาวปกติเป็นคนมีแผนการในใจอยู่แล้วยิ่งไปกว่านั้นสภาพเองก็ดูดีอยู่ จึงพอวางใจลงได้ชั่วคราว บวกกับเสี่ยวหวายเองก็อยู่ที่นี่มานานแล้ว ต้องเข้าใจสถานการณ์ช่วงนี้ดีแน่ๆ อีกเดี๋ยวค่อยถามเสี่ยวหวายเอาดังนั้นนางจึงไม่พูดอะไรมาก พยักหน้าตามจั๋วหวาย ตรงไปยังห้องพักที่จัดไว้แล้วพร้อมศิษย์สำนักจั๋วเฮ่ออิงเดิมทีควรจะตามศิษย์สำนักไปด้วยกัน แต่เขาก็ยังไม่วางใจจั๋วซือหราน จึงยังยืนอยู่ที่เดิม จ้องนางอยู่ครู่หนึ่งจั๋วซือหรานก็ไม่ได้เร่งรัดอะไร มองเขาด้วยสายตาราบเรียบครู่ต่อมา จั๋วเฮ่ออิงก็ทนไม่ไหว เดินขึ้นหน้าไปสองสามก้าว หลังจากกวาดสายตามองนางไปทั้งตัวแล้
“เสียวจิ่ว ผู้นี้คือจวงเหยาเหยา นางมีเลือดเนื้อเชื้อไขของข้าอยู่ในท้องของนางแล้ว ในเมื่อวันนี้เป็นพิธีงานแต่งระหว่างข้าและเจ้า ข้าไม่อยากปิดบังอะไรเจ้า ข้าได้วางแผนที่จะให้นางมาเป็นนางสนม และข้าจะแต่งเจ้ากับนางเข้าเรือนในวันนี้"ฉินรุ่ยหยางไม่รู้สึกไร้ยางอายแม้แต่นิดเดียว“เจ้า...เมื่อครู่นี้เจ้าพูดอะไรนะ เจ้าพูดอีกครั้งสิ…”สีหน้าของจั๋วซือหรานดูซีดขาวมากยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับชุดแต่งงานสีแดงสดและมงกุฎหงส์นางจ้องเขม็งไปยังชายและหญิงที่อยู่ตรงหน้านางฉินรุ่ยหยาง"เสียวจิ่ว เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป เจ้าจะเป็นภรรยาหลวงที่มีเกียรติเสมอ ไม่มีใครมีอำนาจเหนือเจ้าได้ ในภายภาคหน้า เหยาเหยาจะเคารพเจ้าอันเป็นแท้ และลูกของนางก็จะเรียกเจ้าว่า แม่ใหญ่"จั๋วซือหรานยิ้มเยาะ "ข้าเกลียดคำเรียกนี้เสียจริง เด็กเหี้ยอะไรกันกล้ามาเรียกข้าเป็นแม่"ใบหน้าของฉินรุ่ยหยางนิ่งขรึมจวงเหยาเหยาน้ำตาเอ่อคลอ " พี่จั๋วเจ้าคะ หนูรู้ดีว่าตนเองมีฐานะต่ำต้อย แต่เด็กที่อยู่ในท้องของข้านั้น เด็กไม่ได้ทำอะไรผิดด้วย โปรดเห็นแก่เด็กคนนี้ที่เป็นสายเลือดของพี่ฉินด้วยนะ... "จั๋วซือหรานไม่มองนาง สายตาจ้องไปยังฉินรุ่ยหยางอย่
ฉินตวนหยางงและจวงเหยาเหยาถูกมัดอย่างแน่นจั๋วซือหรานก้าวขาเดินออกจากห้องด้วยความมั่นใจนางสวมชุดแต่งงานสีแดงอันสดใสและงดงาม เสมือนนางกำลังสวมชุดสู้รบ นางดูทรงมีพลังและองอาจหลังจากที่คุณหนูและคนใช้ทั้งสามเดินออกจากห้องไป บนหลังคามีเสียงหัวเราะดังขึ้นแผ่นกระเบื้องที่มุมหลังคาที่มิอาจได้รู้ว่า ถูกเปิดออกมาเมื่อใดเวลานี้กำลังถูกค่อย ๆ เคลื่อนกลับไปอยู่ที่เดิมร่างของสองคนค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนหลังคาชายหนุ่มทางด้านซ้ายแต่งกายด้วยชุดสีดำ เขามีใบหน้าเรียวงามส่วนชายหนุ่มทางด้านขวา เขายิ้มและมองเฟิงเหยียนที่อันหล่อเหลา บัดนี้เฟิงเหยียนกำลังเมินเฉยชายหนุ่มทางด้านขวาหัวเราะและพูด"เดิมทีข้าแค่อยากรู้ว่าจั๋วซือหรานที่ถอนหมั้นกับเจ้าจะงามเช่นใด ไม่คิดเลยว่า ภรรยาในอนาคตของเจ้าจะน่าสนใจขเช่นนี้หรอกนะ"ใบหน้าของเฟิงเหยียนนิ่งเฉย “เหยียนฉี เจ้าลากข้ามาที่นี่เพื่อปีนหลังคาของบ้านคนอื่นหรือ”แววตาของเฟิงเหยียนเย็นชา บุคคลิกของเขาประกายอารมณ์ที่ปฏิเสธผู้อื่นเข้าใกล้ชิดอย่างหนักแน่น "อีกอย่าง นางไม่ใช่คู่หมั้นของข้า"“เชอะ อย่าเย็นชาขนาดนี้สิ” ดวงตากลมโตของเหยียนฉีหรี่ลง “จั๋วจิ่วเพิ่งพูดไปเมื่
แววตาของจั๋วซือหรานเต็มไปด้วยความสับสน มีพลังที่มองไม่เห็นกำลังล่อลวงหัวใจของนาง เพื่อให้นางทำตามคำพูดของฉินตวนหยางนางพยายามทรงตัวไว้และอดความเจ็บปวดไว้ไม่แปลกเลย ชะตากรรมอันเดิมของเจ้าของร่างคนนี้ราวกับคนตาบอด นางรักคนไร้ความสามารถอย่างฉินตวนหยางขนาดนี้ แท้จริงแล้ว นางถูกอาคมหนอนพิษกู่ควบคุมสติไว้พิษแปลก ๆ ดังกล่าวแปลกอย่างมากจนทำให้เจ้าของร่างเดิมโดนอาคมหนอนพิษกู่โดยไม่รู้ตัว แม้ตายไปก็ไม่ทราบว่าตัวเองโดนหนอนพิษกู่ หากจั๋วซือหรานไม่ได้เดินทางข้ามเวลามา ร่างเดิมคงใช้ชีวิตอันน่าสงเวชอย่างชะตากรรมอันเดิมที่กำหนดไว้แต่ในเมื่อจั๋วซือหรานมาแล้ว นางจะไม่มีวันฉินตวนหยางสมหวังฉินตวนหยางเห็นนางไม่ตอบ จึงเสกเป่าอีกที "เสี่ยวจิ่ว เจ้าเชื่อข้าไหมขอรับ"จั๋วซือหรานมองไปที่ฉินตวนหยาง นางค่อย ๆ อ้าริมฝีปากอันสีแดงให้กว้างขึ้น“เจ้าฝันไปเสียเถิด”เสียง 'คลิก'ดังขึ้น“อา”ขาของฉินตวนหยางถูกคนหัก และเขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเขาตกใจด้วยความเจ็บปวดทรมาน ผู้นั้นได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า ตราบใดเสน่ห์หนอนพิษกู่นี้ยังคงอยู่ จั๋วซือหรานก็สามารถเชื่อฟังเขาไปตลอดชีวิต ทำไมหนอนพิษกู่จึงใช้งานไม่ไ
น้ำเสียงทุ้มต่ำของเฟิงเหยียนเต็มไปด้วยความเย็นชาและเสน่ห์"น่าอับอายเสียจริง เรื่องไร้สาระสิ้นดี"จั๋วซือหรานเงยหน้ามองชายผู้นี้ด้วยความเจ็บปวดอย่างมากใต้หล้ามีคนหน้าตาดีตั้งมากมายเฟิงเหยีนกลับมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ความหล่อเหลาของเขาผสมด้วยความกล้าหาญที่ฮึกเหิมทันทีที่จั๋วซือหรานเห็นใบหน้านี้ นางหายความเจ็บปวดทันทีแต่จั๋วซือหรานหายเจ็บปวด ไม่ใช่เป็นเพราะนางเห็นหน้าตาอันหล่อเหลาแต่เป็นเพราะวินาทีที่ชายผู้นี้ปรากฏตัวอย่างรวดเร็ว เขาวางมือบนไหล่ฉินตวนหยาง"อ๊าก ๆ——!“ฉินตวนหยางกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง เสียงร้องนั้นดังเป็นสิบ ๆ เท่าเมื่อเทียบกับตอนที่เขาถูกหักขาในก่อนหน้านี้ และบัดนี้เขากำลังล้มบนพื้นและกระตุกไปทั้งตัวสายเลือดของตระกูลเฟิงเป็นเช่นนี้ สายเลือดนี้เป็นธาตุไฟที่รุนแรงที่สุด ยิ่งเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยม พลังทางจิตวิญญาณก็ยิ่งเผด็จการมาขึ้นเท่านั้นหากถูกพลังทางจิตวิญญาณนั้นรุกราน จะมีความรู้สึกอย่างร่างกายกำลังถูกไฟเผา ซึ่งความเจ็บปวดนั้นพอ ๆ กันกับความเจ็บปวดที่เสน่ห์หนอนพิษกู่นำมาในขณะเดียวกัน ฉินตวนหยางหลั่งน้ำอย่างหนัก เขาดูน่าเกลียดอย่า
ทันทีที่เฟิงเหยียนเดินออกจากจวนของจั๋วซือหราน หลังจากนั้นไม่นาน ข้างเฟิงเหยียนมีร่างสีดำสองร่างปรากฏตัวอย่างเงียบ ๆ“ท่านอ๋องขอรับ” ชายที่สวมชุดดำทั้งสองแสดงความเคารพเฟิงเหยียนมีสีหน้าอย่างไม่มีอารมณ์ "ไปสืบมา ข้าต้องการรู้เสน่ห์หนอนพิษกู่ที่จั๋วจิ่วถูกวาง ใครเป็นคนสั่งการเบื้อหลัง"ไม่มีใครเชื่อหรอกว่าบัณฑิตที่ไร้ประโยชน์ผู้นั้นจะเป็นผู้กระทำความผิดนี้*จั๋วซือหรานกำลังนั่งอยู่ในห้อง ฝูซางกังวลอย่างมาก และรีบเช็ดเลือดที่ริมฝีปากของคุณหนูของนาง "คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูจะปล่อยเป็นเช่นนี้อีกต่อไปมิได้หรอกนะ ข้าน้อยว่า เราควรรีบไปตามคุณหมอมาตรวจเถิดนะ"“ข้าแค่อาเจียนออกมาเป็นเลือดเพียงเท่านั้น กังวลอะไรล่ะ” จั๋วซือหรานดึงเข็มเงินที่นางสอดไว้ก่อนหน้านี้ออกมาอย่างใจเย็น “หากไม่บีบเลือดที่ติดพิษกู่ออกไป อาการบาดเจ็บภายในจะไม่มีทางหายหรอก”ฝูซาง: “ว่าแต่คุณหนูไปเรียนทักษะการรักษามาโรคตั้งแต่เมื่อไรกัน"จั๋วซือหรานยิ้มเบา ๆ และไม่ตอบ ”ยิ่งไปกว่านี้ ข้าอยากรู้ว่าใครกันแน่ที่เกลียดข้ามากจนใช้เสน่ห์หนอนพิษกู่ มิฉะนั้น ต่อให้ฉินตวนหยางมีความกล้าหาญมากเท่าไร เขาก็ไม่กล้าำเช่นนี้กับข้าหรอก แม้
จั๋วซือหรานแต่งกายด้วยชุดสีขาวบาง คุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูของจวนจั๋วนางพูดกับผู้ที่เฝ้าหน้าประตูว่า "กรุณาบอกผู้อาวุโสใหญ่ว่า จั๋วจิ่วกลับมาเพื่อขออภัยโทษแล้ว"องครักษ์กำลังจะเข้าไปรายงาน ทว่ากลับถูกใครบางคนห้ามไว้“ห้ามไป” เจียงซาน ซึ่งเป็นคนของบิดาจั๋วหรูซิน เขาห้ามยามที่เฝ้าหน้าประตูไว้เจียงซานพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ว่า "คุณหนูจิ่วไม่เชื่อฟังแม้แต่ผู้อาวุโส ทั้งยังไม่สนใจชื่อเสียงของตระกูลด้วยซ้ำมิใช่หรือ ในเมื่อตอนนี้ออกเรือนแล้ว กลับมาด้วยเหตุใด"จั๋วซือหรานเกิดมาพร้อมกับผิวพรรณเกลี้ยงเกลา คิ้วงดงามดังภาพวาด ด้วยรูปลักษณ์สตรีเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องง่ายที่ถูกมองเป็นสตรีผู้แสนน่าสงสารและอ่อนแอแต่นางไม่ใช่สตรีอ่อนแอเห็นได้ชัดว่า นางกำลังคุกเข่าอยู่ แต่บุคลลิกของนางดูสูงส่งกว่าตอนที่นางยืนด้วยซ้ำ นางพูดอย่างเย็นชา "เจ้ามีฐานะเช่นใด เจ้ากล้าเยาะเย้ยข้าหรือ เหรือจ้าคิดว่า ข้าเป็นคนอ่อนแอที่กลั่นแกล้งง่ายเช่นนั้นหรือ"เจียงซาน "ผู้อาวุโสไม่อยากเห็นหน้าเจ้าเลย ต่อให้เจ้าคุกเข่าที่หน้าประตูจนตายก็ไร้ประโยชน์"จั๋วซือหรานพูดอย่างเย็นชา"เจ้าควรพิจารณาให้ดีเสียก่อนว่า ผู้อาวุโสไ
จั๋วหรูซินตะโกนด้วยความโกรธ "จั๋วซือหราน เจ้า"“พอแล้ว” ผู้อาวุโสใหญ่ขมวดคิ้วและตะโกนจั๋วหรูซินยังอยากฟ้องต่อ "ผู้อาวุโสใหญ่ นาง..."จั๋วซือหรานกลับโค้งคำนับเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพ "ข้าจะไปรับการลงโทษที่ห้องโถงบรรพบุรุษเจ้าค่ะ"ทิ้งจั๋วหรูซินอยู่นั่นผู้เดียว ปล่อยนางโกรธจนหน้าซีดระหว่างทางไปห้องโถงบรรพบุรุษ จั๋วซือหรานเจอฝูซูและฝูซาง“หลิ่วเย่ล่ะ” จั๋วซือหรานถามฝูซางตอบ “พวกเราหลบสายตาของผู้อื่น พานางเข้าเดินผ่านประตูหลังและเดินเข้าจวน มัดนางไปหาผู้อาวุโสใหญ่เพื่ออธิบายรายละเอียดต่าง ๆ จากนั้นผู้อาวุโสใหญ่ก็สั่งให้ขังนางไว้ในห้องเก็บฟืนที่ลานด้านข้างจนกว่าเขาจะสอบปากคำ”ฝูซูถาม "คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูลิ่วกำจัดหลิ่วเย่หรือไม่เจ้าคะ มิเช่นนั้นข้าไปคอยคุ้มกันไว้ดีไหมเจ้าคะ"จั๋วซือหรานยกริมฝีปากขึ้นและยิ้ม "หากนางฆ่าอีนังนั้นเสียจริง นั่นก็หมายความว่า หาเรื่องใส่ตัวแล้วน่ะสิ ในเมื่อผู้อาวุโสใหญ่สั่งขังหลิ่วเย่อยู่ในห้องเก็บฟืนที่ลานด้านข้าง แสดงว่าท่านต้องแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว"หากจั๋วหรูซินจิตใจลุกลี้ลุกลน แล้วไปฆ่าหลิ่วเย่จริง ๆ เรื่องน่าจะสนุกน่าดูสินะฝูซางกังวล"คุณหนูเจ้าค
จั๋วซือหรานเอียงหัวมองเขาผาดหนึ่ง ความหมายชัดเจนอยู่แล้วถึงอย่างไรก็อยู่ในหุบเขาหมื่นพิษมานาน แม้ปันอวิ๋นจะไม่อยากยอมรับ แต่ก็อดพูดไม่ได้ ว่าเขากับจั๋วซือหรานก็มีความรู้กันแล้วจริงๆพอเห็นสายตาของจั๋วซือหราน ปันอวิ๋นก็รู้ว่า ที่จะแอบดอดไปนอนนี่น่าจะหมดหวังแล้วเขามองเฟิงเหยียนอย่างเคืองๆ จากนั้นก็ความหายาลูกกลอนกระตุ้นสมองออกมาเคี้ยวกร้วมๆกวักมือเรียกศิษย์สำนักเข้ามา กำชับไปคำหนึ่งเซี่ยอวิ๋นซีแม้ในใจจะเป็นห่วงลูกสาวมาก แต่ก็รู้ว่าลูกสาวปกติเป็นคนมีแผนการในใจอยู่แล้วยิ่งไปกว่านั้นสภาพเองก็ดูดีอยู่ จึงพอวางใจลงได้ชั่วคราว บวกกับเสี่ยวหวายเองก็อยู่ที่นี่มานานแล้ว ต้องเข้าใจสถานการณ์ช่วงนี้ดีแน่ๆ อีกเดี๋ยวค่อยถามเสี่ยวหวายเอาดังนั้นนางจึงไม่พูดอะไรมาก พยักหน้าตามจั๋วหวาย ตรงไปยังห้องพักที่จัดไว้แล้วพร้อมศิษย์สำนักจั๋วเฮ่ออิงเดิมทีควรจะตามศิษย์สำนักไปด้วยกัน แต่เขาก็ยังไม่วางใจจั๋วซือหราน จึงยังยืนอยู่ที่เดิม จ้องนางอยู่ครู่หนึ่งจั๋วซือหรานก็ไม่ได้เร่งรัดอะไร มองเขาด้วยสายตาราบเรียบครู่ต่อมา จั๋วเฮ่ออิงก็ทนไม่ไหว เดินขึ้นหน้าไปสองสามก้าว หลังจากกวาดสายตามองนางไปทั้งตัวแล้
"ข้าเองก็วางใจไม่ลง ดังนั้นคิดๆ แล้ว จึงตามนางมาดูด้วยกันเลย การเดินทางนี้ก็ไกลพอควรด้วย ระหว่างทางยังคอยปกป้องความปลอดภัยของนางได้ ป๋อยวนเองก็เลยมาด้วยกัน"จั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเดิมทีเขาคิดว่าท่านแม่จะเป็นห่วงจนลนลานทำอะไรไม่ถูก แล้วก็รีบบุ่มบ่ามเข้ามาที่นี่เสียอีกคิดไม่ถึงว่า ท่านแม่จะเป็นเหมือนที่นางคาดไว้ ช่วงเวลาที่ท่านแม่ต้องลุกขึ้นยืน นางก็จะทำได้เป็นอย่างดีและจากในคำพูดของจวงชิ่งหมิงก็ฟังออกไม่ยาก ว่าการกระทำนี้เป็นการตัดสินใจในฉับพลัน ไม่ได้วางแผนกันล่วงหน้าดังนั้นตามหลักการแล้ว ก็ไม่น่าถูกพวกสภาผู้อาวุโสรู้แผนล่วงหน้าแล้วมาดักซุ่มเล่นงานได้...สีหน้าจั๋วซือหรานดูแล้วเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่จวงชิ่งหมิงแม้จะอ่านความหมายลึกซึ้งในสีหน้าครุ่นคิดของนางไม่ออก แต่ผู้ชายที่อยู่ข้างนางคนนั้น ทั้งๆ ที่จำเรื่องราวในอดีตกับตัวนางไม่ได้แล้วแท้ๆกลับแค่เหลือบตามองสีหน้านาง ก็เหมือนจะอ่านความหมายลึกซึ้งในสีหน้านางออกแล้วเขาเอ่ยขึ้นเสียงต่ำว่า "โถงลงโทษสภาผู้อาวุโสไม่ค่อยจะเคลื่อนไหวตามอำเภอใจ แต่จะมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าเสมอ"ในใจจั๋วซือหรานเดิ่มทีก็คิ
‘จั๋วจิ่วปกป้องชิ่งหมิงฝากด้วยนะ'จั๋วซือหรานมองอักษรพวกนี้ ก็อดถอนใจเงียบๆ ออกมาไม่ได้ชิ่งหมิงยืนอยู่ข้างๆ เนื้อหาอักษรไม่กี่ตัวนั้น เขาเองก็เห็นมันอย่างชัดเจนบนใบหน้าหล่อเหลาของเขา สีหน้ายังคงปั้นยากอยู่ไม่มีน้ำตาใดๆ แต่ดวงตากลับแดงก่ำ"..." จั๋วซือหรานเม้มปาก มองชิ่งหมิง เรียกขึ้นมาเสียงทุ้มต่ำ "ชิ่งหมิง..."แต่ชิ่งหมิงไม่ใช่เด็กหนุ่มที่พูดจาตะกุกตะกักแบบแต่ก่อนแล้ว จั๋วซือหรานรักษาอาการป่วยเรื้อรังของเขาจนหายดีแล้วเขาในตอนนี้ เป็นชายหนุ่มที่รับผิดชอบเรื่องต่างๆ ได้แล้วดังนั้นตอนนี้ เขาไม่รอให้จั๋วซือหรานได้ปลอบหรือเกลี้ยกล่อม เอ่ยขึ้นมาก่อนว่า "ดู่ท่าป๋อยวนจะถูกพวกเขาพาตัวไปแล้ว พวกเรามาเสียเวลาอยู่ที่นี่ก็ไม่มีความหมายอะไร"จวงชิ่งหมิงเอียงตามองไปทางจั๋วซือหราน "ไปเถอะ ไม่งั้นอีกเดี๋ยว..." เขามองไปทางเส้นขอบฟ้า "...ฟ้าจะสางแล้ว"เขาเข้าใจสถานการณ์ของเฟิงเหยียนอย่างชัดเจนจั๋วซือหรานมองสีหน้าของเขาอย่างละเอียด จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ "ได้ เช่นนั้นไปกันก่อนเถอะ กลับไปแล้วค่อยหารือกัน"หลังจากชิ่งหมิงเดินออกไปสองสามก้าว ก็หันกลับไปมองยังจุดก่อนหน้านี้ ร่องรอยหลุมบ่
ริมฝีปากจวงชิ่งหมิงเม้มแน่น เขายืนยันได้แล้ว ว่าป๋อยวนออกไปพร้อมอาการบาดเจ็บ ถูกพวกเขาทำร้าย กระทั่งบาดเจ็บจนสูญเสียความสามารถการเคลื่อนไหวด้วย...จั๋วซือหรานลูบผ้าชิ้นนี้อีก เหมือนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติจางๆ นางขมวดคิ้ว"เดี๋ยวนะ..." จั๋วซือหรานขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นชิ่งหมิงงงงันไป "มีอะไรหรือ?""เหมือนไม่ใช่แค่รอยเลือดเท่านั้น" จั๋วซือหรานพูดพลางหยิบผ้าผืนนั้นวางไปที่แสงไฟของคบเพลิงแล้วดูอย่างละเอียดถ้าหากเป็นแค่รอยเลือด รอยเลือดมันจะไม่..ละเอียดแบบนี้รอยเลือดหลังมนุษย์บาดเจ็บ ปกติจะเป็นก้อนใหญ่ๆ แต่รอยเลือดที่ละเอียดแบบนี้ กลับดูคล้าย...เขียนอักษร?พอเห็นจั๋วซือหรานมองรอยเลือดนี้อย่างละเอียด เฟิงเหยียนที่อยู่ข้างๆ ก็ถามขึ้นเสียงต่ำ "มีตัวอักษรอยู่หรือ?"จั๋วซือหรานพยักหน้าเงียบๆ "แต่มองไม่ค่อยชัด นี่เป็นชุดสีดำ..."จะหาอักษรเลือดบนเสื้อสีดำ ภายใต้สภาพที่แสงสว่างแรงมากบางทีอาจยังพอทดลองดูได้ตอนนี้ในความมืดที่ไม่มีแสงไฟ นอกจากแสงของคบเพลิงแล้ว ก็มีแค่แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาเท่านั้นหากคิดจะมองเห็นตัวอักษรเลือดบนเสื้อผ้าสีดำ ถือเป็นเรื่องที่ยากมากแต่ไม่รู้เพราะอะไร จั๋วซือห
ตาของจั๋วซือหรานก็แหงนขึ้นฉับพลันเช่นกัน มองไปทางเฟิงเหยียนเพราะถ้าหากจั๋วซือหรานจำไม่ผิด ตอนนั้นที่เฟิงเหยียนกับฉุนจวินถูกลอบทำร้าย เฟิงเหยียนนำพลังวิญญาณที่นางเอาไว้ให้ใช้ปกป้องแสงแดดรุกล้ำบนตัวเขา ไปใช้ปกป้องชีวิตของฉุนจวินทั้งหมดส่วนตัวเขาก็ถูกคนพวกนั้นพาไป ตอนนั้นคนเหล่านั้น...ก็เป็นกลุ่มสิบคนเห็นได้ว่า นับจากตอนนั้น ตระกูลเฟิงเป็นแค่ชนวนเท่านั้น ตัวสำคัญอยู่ที่สภาผู้อาวุโสมาตลอดริมฝีปากชิ่งหมิงสั่นระริกเบาๆ "ดังนั้นก็คือ...คนของสภาผู้อาวุโสลงมือ พาตัวป๋อยวนไป"เขากระทั่งไม่ใช้ประโยคคำถาม น้ำเสียงหนักแน่นมั่นใจมากสำหรับตัวตนฐานะของเฟิงเหยียน ชิ่งหมิงอันที่จริงคาดเดาไว้แล้ว ถ้าหากเป็นเขาในอดีตที่ยังไม่รู้เรื่องราว คงเดาไม่ออกแน่นอนแต่เขาตอนนี้ ไม่ใช่เด็กน้อยที่ไม่รู้อะไรเหมือนเมื่อตอนนั้นแล้ว ดังนั้นจึงเข้าใจได้ปรุโปร่งมากขึ้นต่อให้ไม่ได้พูดออกมาชัดเจน ก็มีการคาดเดาไว้บ้างแล้วต่อฐานะของเฟิงเหยียนเช่นนั้นความน่าเชื่อถือของคำพูดเฟิงเหยียนจึงไม่ต้องสงสัยเลยจั๋วซือหรานเดิมทีไม่รู้สึกว่าชิ่งหมิงจะไปอยู่แล้ว ตอนนี้จึงยิ่งไม่ต้องเกลี้ยกล่อมอะไรเดิมทียังคิดว่าจะรอให้ฟ้
จั๋วซือหรานพยักหน้าเบาๆ ไม่พูดอะไร แค่หันหน้าไปบอกคำหนึ่งกับชิ่งหมิงว่า "รอข้าครู่หนึ่ง ข้าขอทำความเข้าใจก่อนว่าเป็นสถานการณ์แบบไหน่"เพราะตอนแรกข่าวที่ตระกูลซางเผยออกมา พวกเขาล้วนเข้าใจว่าจั๋วซือหรานมีความสามารถของนักภาษาสัตว์ ดังนั้นให้รอนางเข้าไปพูดคุยกับอสูรกลืนแมลงนั่นก่อนในมิติ อสูรกลืนแมลงตัวนั้นหายใจรวยริน นอนอยู่ในมุมหนึ่งที่ห่างไกลที่สุดสัตว์อสูรตัวอื่นๆ ก็ล้วนเว้นระยะห่างจากมันหลังจากจั๋วซือหรานเข้ามาในมิติ ก็สาดน้ำของน้ำพุวิเศษใส่มันทันทีสัตว์อสูรที่แต่เดิมดูร้ายกาจมาก อาจจะเพราะมันบาดเจ็บสาหัส บวกกับหลังจากสัตว์ประหลาดเข้ามาในมิติน้ำพุวิเศษ รูปร่างของมันจะปรับตัวไปด้วยดังนั้นมันตอนนี้จึงดุแล้ว รูปร่างไม่ได้ใหญ่โตเหมือนตอนอยู่ด้านนอกแบบนั้นในความรู้สึกก็ไม่ได้ดูชั่วร้ายแบบนั้นแล้ว สภาพหายใจรวยริน ก็ดูน่าเวทนาอยู่เหมือนกันพอเห็นจั๋วซือหรานเดินเข้าไป หนังตาของมันก็เลิกขึ้น ดูน่าสงสารมากมือของจั๋วซือหรานกดอยู่บนตัวมัน บาดแผลที่ถูกน้ำพุวิเศษสาดไปก่อนหน้า หลังจากสัมผัสกับพลังวิญญาณของจั๋วซือหราน ก็ยิ่งสมานตัวกันไวขึ้นในดวงตาครึ่งเปิดครึ่งปิดของมัน ความอ่อนแอใน
จวงชิ่งหมิงมองไล่ไปตามสายตาจั๋วซือหราน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่เด็กน้อยสมองสับสนที่พูดจาตะกุกตะกักแบบตอนนั้นแล้วดังนั้นจากสายตานี้ของจั๋วซือหราน ในสมองเขาก็มีปฏิกิริยาต่อความหมายของนางอย่างรวดเร็ว"เจ้าจะบอกว่า..." ดวงตาของจวงชิ่งหมิงที่เดิมทีดูหม่นแสงสิ้นหวัง ก็เปล่งประกายขึ้นมาเล็กน้อย จ้องมองจั๋วซือหรานนิ่ง ความหวังเหล่านั้น ราวกับเป็นแสงเรืองรองสุดท้ายในความมืดมิดจั๋วซือหรานประกบสองมือเข้าด้วยกัน ถูๆ ฝ่ามือ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าลองดูหน่อย ช่วงนี้สภาพร่างกายยังไม่ค่อยดี เจ้ายักษ์นี่ก่อนหน้าก็ไม่ค่อยลงรอยกับข้าด้วย บางที...ข้าคงต้องลุยเต็มที่หน่อย"จั๋วซือหรานก่อนหน้านี้เคยปะทะกับอสูรกลืนแมลงตัวนี้แล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงไม่กล้าพูดโอ้อวด หนึ่งเพราะเคยสู้กันมาแล้ว สัตว์ประหลาดบางตัวก็หยิ่งทะนงมาก ยอมตายมากกว่ายอมจำนนยิ่งเป็นสัตว์ประหลาดที่พลังแข็งแกร่งมากเท่าไร ก็ยิ่งวิวัฒนาการสติปัญญาได้มากขึ้นเท่านั้น ในด้านนี้พวกมันก็ยิ่งหยิ่งผยองขึ้นไปอีก ไม่แน่อาจจะไม่ยอมศิโรราบต่อจั๋วซือหรานก็ได้สองคือเพราะ ชิ่งหมิงตอนนี้คาดหวังมากสำหรับความคาดหวังที่มากเกินไปของคนอื่น กระทั่งการให้ความหวัง
"นี่คือ..." จั๋วซือหรานมองร่องรอยบนพื้นบนมีหลุมอยู่หลายหลุม ยิ่งไปกว่านั้นยังมีรอยเป็นทางยาวอีกหลายรอยดูเหมือนสถานการณ์จะวุ่นวายสับสนน่าดูจั๋วซือหรานขมวดคิ้ว เข้าไปสำรวจที่หน้าหลุมหลายหลุม และรอยลากยาวเป็นทางเหล่านั้น นางก็ไปดูอย่างละเอียดด้วย"พวกนี้เป็นสิ่งที่สัตว์ประหลาดนั่นทำเอาไว้" จั๋วซือหรานชี้ไปยังหลุมหลายหลุมในนี้จากนั้นจึงชี้ไปยังหลุมที่ใหญ่ที่สุด "ส่วนตรงนี้เหมือนจะไม่ใช่"เพราะนางเคยต่อสู้กับสัตว์ประหลาดตัวนิ่มนี้แล้ว ดังนั้นถือว่ามีประสบการณ์อยู่ และรู้ว่าเจ้านั่นชอบขดตัวเองเป็นก้อน จากนั้นก็กลิ้งเข้ากระแทกโจมตีดังนั้นมีหลายหลุมที่ขนาดใกล้เคียงกัน เอาจริงๆ ก็คือ น่าจะขนาดพอๆ กับรูปร่างของสัตว์ประหลาดตัวนิ่มนี้แต่หลุมที่ใหญ่สุดนั่น ใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัดดังนั้นจั๋วซือหรานจึงมองออกว่าหลุมนี้ไม่ธรรมดายิ่งไปกว่านั้นในรอยยาวหลายรอยนี้ มีหลายรอยที่เป็นรอยซึ่งเกิดจากสัตว์ประหลาดกลิ้งตัวเข้าโจมตี ดังนั้นจึงค่อนข้างหนาหน่อยแต่มีอยู่รอยหนึ่งที่เล็กมาก ไม่หนาเท่าไรจั๋วซือหรานโค้งตัวลง ยื่นมือไปลูบบนรอยนี้ จากนั้นก็ยกขึ้นดม"เลือดมนุษย์" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น จาก
แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีเวลามาจดจ่อกับเรื่องนี้เสียงของจวงชิ่งหมิงมีความร้อนรน "ซือหราน! ป๋อยวนเขา..."จั๋วซือหรานพอได้ยินคำนี้ ก็เข้าใจความหมายของชิ่งหมิง เสียงดังสนั่นก่อนหน้านั้น นางเองก็ได้ยินเหมือนกันดังนั้นนางจึงบอกกับเซี่ยอวิ๋นซีว่า "ท่านแม่ เอาไว้ค่อยคุยกัน ข้าต้องไปดูหน่อย"เพราะสถานการณ์ตรงหน้านี้ จั๋วซือหรานไม่ต้องถามก็รู้ ชิ่งหมิงกับเวินป๋อยวน จะต้องติดตามแม่ของนางมาเพราะเรื่องของนางแน่...กระทั่งพูดได้ว่าคุ้มกันมาส่งแม่ของนางด้วยและเวินป๋อยวนไม่ได้เข้ามาพร้อมพวกเขา คงจะเพราะสัตว์ประหลาดตัวนิ่มนั่นแน่ๆ...นางตัดสินใจเหมือนที่นางตัดสินใจตอนนั้นจั๋วซือหรานถึงแม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจความสามารถแท้จริงของเวินป๋อยวนนัก แต่ก็เข้าใจเป็นอย่างดี ว่าเวินป๋อยวนมาจากสำนักตันติ่ง เป็นนักกลั่นยาที่เก่งกาจคนหนึ่งในด้านวิชาแพทย์เองก็มีพรสวรรค์อยู่ วิชาแพทย์ กลั่นยา วิชาพิษ น่าจะไม่เลวทั้งหมดแต่ก็พอดีเลย เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนิ่มนั่น ข่มความสามารถเหล่านี้เอาไว้ทั้งหมดเซี่ยอวิ๋นซีไม่มีความเห็นอะไรกับเรื่องนี้ ต่อให้กังวลลูกสาวแค่ไหน นางก็ยังเข้าใจสถานการณ์ดี"ได้ งั้นเจ้าก็รีบกลับมาหน