"ข้าไม่มีทางเป็นทาสให้สภาผู้อาวุโสไปชั่วชีวิต พวกเราไม่มีทางเป็นทาสให้สภาผู้อาวุโสไปชั่วชีวิต"ตอนที่ได้ยินคำนี้ของปันอวิ๋น เฟิงเหยียนก็เงยหน้าขึ้นมาฉับพลันเหลือบมองปันอวิ๋นผาดหนึ่งเพราะคำนี้ฟังแล้วคุ้นหูมากต้องคุ้นหูอยู่แล้ว นี่คือคำพูดที่เขาเคยพูดกับเหล่าพี่น้องเขาตอนนั้น พวกเขาล้วรู้สึกว่าเขาทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ รู้สึกว่าเขาไม่สำนึกบุญคุณรู้สึกว่าสภาผู้อาวุโสทั้งๆที่ให้ความสำคัญกับเขา แล้วทำไมเขาถึงต้องทำเหมือนจะถูกทำร้ายแบบนั้น...เฟิงเหยียนตื่นตัวมาตลอดน่าจะเพราะในตระกูลเฟิง ชะตาของภาชนะเป็นอย่างนี้มาตลอด ดังนั้น เขาจึงตื่นตัวอยู่เสมอตอนนั้นที่แตกหักกับเหล่าพี่น้อง แล้วออกจากสำนักความหมายของเหล่าพี่น้องล้วนประมาณว่า ถ้าหากพวกเขาถูกสภาผู้อาวุโสให้ความสำคัญ ถูกสำนักให้ความสำคัญพวกเขาจะต้องไม่เป็นแบบเขาแต่ที่เฟิงเหยียนบอกว่านั่นไม่ใช่การให้ความสำคัญ แต่มันคือการกดขี่ข่มเหงเฟิงเหยียนตอนนั้นพูดประโยคนนี้ไว้: ‘ข้าไม่มีทางเป็นทาสให้สภาผู้อาวุโสไปชั่วชีวิต พวกเราจะเป็นทาสให้สภาผู้อาวุโสชั่วชีวิตไม่ได้...’ผ่านมาหลายปีพอได้ยินคำนี้อีกครั้ง จากสหายเก่า...จาก
จั๋วซือหรานถอนหายใจเบาๆ ยื่นมือไปรับชามยาเข้ามา ดื่มลงไปเอาจริงๆ ก่อนหน้านี้นางอาเจียนเป็นเลือดยังไม่รู้สึกหดหู่นัก แต่ดื่มยานี่ดื่มกันหดหู่ไปเลยพอวางชามยาลง ปันอวิ๋นก็ยื่นจานเล็กมาตรงหน้านางเฟิงเหยียนนั่งอยู่ข้างๆ หยิบของในจานเล็กป้อนเขาปากนางอย่างคล่องแคล่ว"...อุ๊?!" จั๋วซือหรานตกลึงงันแต่พริบตานี้ ความเปรี้ยวหวานสดชื่อก็แผ่ซ่านไปทั่วลิ้นนางจำได้ทันที นี่คือบ๊วยดองที่แม่ทำ ทุกปีนางจะดองบ๊วยไว้เสมอถือได้ว่าเป็นรสชาติแห่งความทรงจำแล้วหลัจากดื่มยากเสร็จ จู่ๆ ก็ได้ชิมรสชาตินี้ ถือว่าไม่เลวเลย อย่างน้อยก็เปลี่ยนจากหดหู่เป็นการเยียวยาได้จั๋วซือหรานแหงนตามองปันอวิ๋น ถามว่า "แม่ข้าล่ะ?"ปันอวิ๋นตอบ "คุมอยู่ในครัว กำลังตุ๋นไก่ให้เจ้าอยู่ บอกว่าต้องบำรุงเจ้าให้ดี"จั๋วซือหรานพอได้ยิน ตาก็โค้งขึ้นมาอันที่จริงมีจวงอี๋ไห่ทำอาหารให้ทุกวัน ฝีมือเขาไม่เลว จั๋วซือหรานกินทุกวันก็กินได้เป็นอย่างดี จะว่าไป นางเองฝีมือก็ไม่ธรรมดา ถ้าหากกินไม่ได้จริงๆ นางลงมือทำเองก็อร่อยเลิศอยู่นะแต่คนเป็นแม่ก็น่าจะเป็นเช่นนี้ แค่รู้สึกไม่วางใจ มักรู้สึกว่าตนเองต้องจัดการเอง ถ้าหากตนเองคอยจับตาดู
จั๋วซือหรานจงใจพูดแบบนั้นเพื่อทำให้เขาอึดอัดแต่เขาดันลุกขึ้นมาทันที ทำให้จั๋วซือหรานต้องมาอึดอัดแทนนางถลึงตาโตทันที เห็นว่าเขาเหมือนจะออกไปด้วยกันกับนางจั๋วซือหรานเบิกตาโพลงดึงแขนเสื้อเขาไว้ "ท่านบ้าไปแล้วเรอะ? ออกไปตอนนี้ ท่านก็กลายเป็นท่านอ๋องย่างกันพอดี!"ไม่รู้ประโยคนี้คำไหนไปหยอกเขาเข้ามุมปากชายหนุ่มยกขึ้นยิ้มละไม "ไม่เป็นไร""ไม่เป็นไรบ้าอะไรล่ะ..." จั๋วซือหรานขมวดคิ้วแน่น กดไหล่เขาไว้ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่หญิงสาวอ่อนแอ หลายวันก่อนร่างกายถึงจะอ่อนแรงไปบ้าง ไม่มีเรี่ยวแรงนัก แต่ตอนนี้ฟื้นฟูกลับมาแล้ว สภาพเองก็ไม่เลวนักดังนั้นจึงไม่มีเก็บแรง กดเขานั่งลงไปบนเตียงหยกเย็น "นั่งลง!"เฟิงเหยียนไม่ดิ้นรน ยอมให้นางกดลงนั่งอย่างว่าง่ายครู่ต่อมา เหมือนรู้สึกว่าแหย่พอแล้ว จึงเอ่ยขึ้นว่า "ไม่ต้องกังวล"เขาชี้ไปที่คอของตนเอง "นอนบนเตียงหยกเย็นไปนาน เหมือนกับตอนที่แช่สระเย็นก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยน"ตราประทับคำสาปบนตัวเหล่านั้น พอสูดรับพลังเย็นเอาไว้มากเพียง ก็จะสามารถต้านทานอาการบาดเจ็บเผาไหม้เหล่านั้นได้จั๋วซือหรานไม่ได้โง่ ไม่รู้หลักการนี้เสียที่ไหน?เพียงแต่ว่า นางเองก็ชัดเ
ยิ่งไปกว่านั้นจั๋วซือหราน แม้ตนเองจะไม่ได้พูดเรื่องนี้ให้ชัดเจนต่อหน้าชิ่งหมิง แต่ชิ่งหมิงตอนนี้ก็ไม่ใช่คนติดอ่างนิสัยเด็กน้อยแบบแต่ก่อนแล้วต่อให้เขาจะเติบโตในชั่วข้ามคืน จิตใจยังใสบริสุทธิ์เหมือนเด็ก แต่เขาก็ไม่ได้ขาดสติปัญญาและไหวพริบเรื่องบางเรื่องก็ไม่ใช่ว่าจะคิดไม่เข้าใจ...บางทีชิ่งหมิงก็คงคิดถึงจุดนี้แล้วในความฝัน จั๋วซือหรานพิงอยู่ข้างๆ เฟิงเหยียน ถอนหายใจขึ้นเบาๆ "บางครั้งก็ไม่รู้จริงๆ ว่าที่ข้าทำมันถูกหรือผิด"นี่เป็นสิ่งที่นางไม่เคยพูดกับใครเลยในโลกความเป็นจริงในฐานะแพทย์คนหนึ่ง ทำไมถึงได้รู้สึกว่าตนเองช่วยเหลือคนแล้วเป็นเรื่องผิดนะ...แต่ในความฝัน ทั้งหมดก็เหมือนจะเปิดเผยได้โดยไม่ต้องระวัง รวมถึงการป้องกันในจิตใจด้วยดังนั้นจั๋วซือหรานจึงพูดความรู้สึกจนใจและความสงสัยที่กดอยู่ในใจนางมานานออกมาได้ตรงๆนางเพิ่งจะพูดจบ เฟิงเหยียนก็ขัดขึ้นมา "อย่าพูดไร้สาระ"จั๋วซือหรานยิ้มๆ ถอนหายใจขึ้นเบาๆ "ข้าพูดแบบนี้ หลักๆ ก็คือ...เจตนาเดิมของข้าก็แค่ช่วยเหลือชีวิตคนเท่านั้น มันก็แค่นั้นจริงๆ""เดิมทีข้าคิดว่า ข้ารักษาเพื่อช่วยคนแล้ว จะทำให้พวกเขาใช้ชีวิตได้ดีกว่า มีชีวิตที่ด
จั๋วซือหรานกัดฟัน ในน้ำเสียงมีความอายกลายเป็นโกรธอยู่หน่อยๆชายหนุ่มไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่จากจังหวะหายใจที่เปลี่ยนไป ก็ยังออกไม่ยากว่าเขากำลังกลั้นหัวเราะอยู่แม้นางจะยังเคืองอยู่ แต่ก็จริงที่ว่าแค่มีเขาอยู่ใกล้ๆ นางก็จะรู้สึกสบายมาก นอนหลับได้สนิท กินข้าวได้มากขึ้นอีกชามอะไรแบบนั้นดังนั้น ก่อนหน้านี้ที่ยังกดฟันเคืองอยู่ตอนหลังก็หลับลึกไปเสียแล้ว ใบหน้าแนบกับหน้าอกเฟิงเหยียน หลับอย่างสบายเฟิงเหยียนไม่ได้หลับ และไม่ง่วงเท่าไรนักน่าจะเพราะว่า เตียงหยกเย็นนี้มันสบายจริงๆ แต่อุณหภูมิกลับทำให้เขาตื่นตัวมากหรือบางทีคงเพราะ การปรากฏตัวของเฝินเทียน การเกิดเรื่องของตันติ่ง...เรื่องกะทันหันเหล่านี้ ทำให้สมองเขาไม่อาจหยุดคิดได้เลยบวกกับว่า แม่ของจั๋วซือหรานก็มาแล้ว สำหรับเรื่องของเขากับนาง รวมถึงเด็กในท้อง...บางทีอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างออกไปเรื่องเหล่านี้กดอยู่ในใจเขา ทำให้เขาหลับไม่ลงดังนั้น จึงก้มลงมองดูใบหน้าหลับลึกของนางต่อให้อยู่ในความมืด สายตาของเขาก็ยังดีอยู่ ตอนนี้มีแสงเรืองรองรางๆ ของเตียงหยกเย็น จึงยิ่งทำให้ใบหน้าหลับลึกของนางชัดยิ่งขึ้นยังคงงดงาม ไม่
ปันอวิ๋นที่เดิมทีเดินเอื่อยๆ ก็รีบก้าวเท้ายาวๆ วิ่งพรวดออกไปข้างนอก หลบประกายไฟเล็กๆ นั่นหลังจากปันอวิ๋นพาจวงชิ่งหมิงออกไป ในถ้ำภูเขาก็เงียบลงมาทันทีเฟิงเหยียนชะงักไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "อย่ากังวลนักเลย""อื๋อ?""สภาผู้อาวุโสไม่เคยทำอะไรจนถึงที่สุด" เฟิงเหยียนบอก "พวกเขารู้ดีว่าตันติ่งเป็นจุดอ่อนของเฝินเทียน ถ้าคิดจะควบคุมเฝินเทียน ดังนั้นตันติงก็จะไม่มีอันตราย"เขายังคงเรียกพวกเขาด้วยตำแหน่งเดิมสมัยที่ยังเป็นซือเจิ้งกรมสืบสวนพิเศษจั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ ก็ตอบสนองกลับมาไม่ได้ครู่หนึ่งหลังจากได้สติ จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "แล้วจุดอ่อนของท่านคืออะไร...""ก่อนหน้านี้ เหมือนจะไม่มีนะ" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นเรียบๆ สายตาเหม่อไปไกล เหมือนนึกถึงอดีตที่น่าเบื่อของตนเองขึ้นมาจากนั้นจึงเอ่ยเสียงต่ำว่า "ต่อน่าน่าจะมีแล้ว ถึงได้เปลี่ยนมาอยู่ในสภาพนี้"ความหมายของประดยคนี้ไม่บอกก็รู้ จั๋วซือหรานคือจุดอ่อนของเขา...จั๋วซือหรานไม่พูดจาหลังจากเฟิงเหยียนชะงักไปครู่หนึ่ง ก็เอ่ยขึ้นอีกว่า "ตอนนี้...น่าจะมีแล้ว"จั๋วซือหรานยังคงไม่พูอะไร แต่ความหมายของคำพูดเฟิงเหยียน คงไม่ได้ตั้งใ
ดวงตาจวงชิ่งหมิงเบิกโพลงอย่างงุนงงจั๋วซือหรานอยู่ข้างๆ ได้ยินคำนี้ ก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน"ตัวตนอย่างวิญญาณวัตถุโดยธรรมชาติ พบได้แต่มิอาจไขว่คว้า ไม่ใช่แค่ตระกูลของเจ้าที่ต้องการตัวตนที่ควบคุมได้และใช้ประโยชน์ได้เช่นนี้ แต่สภาผู้อาวุโสเองก็ไม่ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ด้วยเช่นกันปันอวิ๋นมองเขา "ดังนั้นการกระโดดจากตระกูลไปหาสภาผู้อาวุโส ไม่ได้ถือเป็นการช่วยเหลือกอบกู้ แต่เป็นแค่กระโดดจากหลุมหนึ่งไปอีกหลุมหนึ่งเท่านั้น เพียงแต่ว่าในหลุมนี้อาจจะมีอิสระมากกว่าหลุมก่อนหน้าก็เท่านั้น""ขอแค่เจ้ายังเป็นตัวตนที่ควบคุมได้ คนของสภาผู้อาวุโส ก็น่าจะปล่อยเจ้าได้ชั่วคราว แค่ใช้งานเจ้าตอนที่ต้องการใช้ก็พอ"หลังจากปันอวิ๋นพูดคำนี้ ก็ชะงักลงไปครู่หนึ่ง ถามขึ้นว่า "หลายปีนี้ เจ้าน่าจะเคยทำงานให้สภาผู้อาวุโสบ้างใช่ไหม?"จวงชิ่งหมิงออกแรงบิดนิ้ว เวลาที่เขากระวนกระวาย จะทำแบบนี้ออกมาโดยไม่รู้ตัว น่าจะเป็นนิสัยที่ติดมาก่อนที่จะรักษาหายดีจวงชิ่งหมิงนึกได้ว่าช่วงหลายปีนี้ก็หลอมสกัดของไปไม่น้อยเลย เพียงแต่เทียบกับในตระกูลแล้ว ดูสบายกว่ามากแต่ถ้าให้พูดขึ้นมาจริงๆ ด้านคุณสมบัติก็ยังคงเป็นแบบเดียวกั
แต่ถ้าจะบอกว่าหรูหรา ก็ไม่ขนาดนั้น"นั่งสิ"ปันอวิ๋นชี้ไปที่ม้านั่งหินเย็นข้างๆ โต๊ะหินหยกเย็น จากนั้นตัวเขาก็เดินไปนั่งลงที่เตียงหินหยกเย็นข้างๆ ตัวหนึ่ง"ม้านั่งนี้เจ้านั่งน่าจะสบายหน่อย" ปันอวิ๋นบอกเฟิงเหยียนเฟิงเหยียนเองก็มองออกว่านี่คือหินหยกเย็น ก่อนที่จะนั่งลง เขาก็ยื่นมือไปดึงจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานก้มหน้ามองแรงกระชากเบาๆ ที่นิ้วของนาง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น "อื๋อ?""อย่านั่ง" เสียงของเฟิงเหยียนทุ้มต่ำปันอวิ๋นเลิกคิ้วเอ่ยขึ้น "อ๊ะจริงด้วย สภาพร่างกายเจ้าตอนนี้ไม่ควรสัมผัสกับหินหยกเย็นนี่"จั๋วซือหรานเบ้ปาก เห็นได้ชัดว่าไม่ใส่ใจกับมัน นางยืนก็พอแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ใครจะรู้ ว่าปันอวิ๋นจะหักคำพูดลงมา "ดังนั้นเจ้าก็นั่งขนตักเฟิงเหยียนเถอะ"จั๋วซือหราน "..."นางรู้สึกว่าตนเองยืนก็ไม่มีปัญหาแต่เฟิงเหยียนกลับไม่มีข้อโต้แย้งใดกับข้อเสนอของปันอวิ๋น พอนั่งลงบนม้านั่งหิน ก็ตบที่ต้นขาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างตรงไปตรงมาจั๋วซือหรานคิดว่าตนเองเป็นคนหน้าด้านพอตัวแล้วนะ แต่ก็ยังอดร้อนผ่าวที่ใบหน้าไม่ได้นางกระแอมเบาๆ ไม่ยอมนั่ง แต่รีบเปิดหัวข้อสนทนา "ป๋อยวนถูกคนของสภาผู้อ
จั๋วซือหรานเอียงหัวมองเขาผาดหนึ่ง ความหมายชัดเจนอยู่แล้วถึงอย่างไรก็อยู่ในหุบเขาหมื่นพิษมานาน แม้ปันอวิ๋นจะไม่อยากยอมรับ แต่ก็อดพูดไม่ได้ ว่าเขากับจั๋วซือหรานก็มีความรู้กันแล้วจริงๆพอเห็นสายตาของจั๋วซือหราน ปันอวิ๋นก็รู้ว่า ที่จะแอบดอดไปนอนนี่น่าจะหมดหวังแล้วเขามองเฟิงเหยียนอย่างเคืองๆ จากนั้นก็ความหายาลูกกลอนกระตุ้นสมองออกมาเคี้ยวกร้วมๆกวักมือเรียกศิษย์สำนักเข้ามา กำชับไปคำหนึ่งเซี่ยอวิ๋นซีแม้ในใจจะเป็นห่วงลูกสาวมาก แต่ก็รู้ว่าลูกสาวปกติเป็นคนมีแผนการในใจอยู่แล้วยิ่งไปกว่านั้นสภาพเองก็ดูดีอยู่ จึงพอวางใจลงได้ชั่วคราว บวกกับเสี่ยวหวายเองก็อยู่ที่นี่มานานแล้ว ต้องเข้าใจสถานการณ์ช่วงนี้ดีแน่ๆ อีกเดี๋ยวค่อยถามเสี่ยวหวายเอาดังนั้นนางจึงไม่พูดอะไรมาก พยักหน้าตามจั๋วหวาย ตรงไปยังห้องพักที่จัดไว้แล้วพร้อมศิษย์สำนักจั๋วเฮ่ออิงเดิมทีควรจะตามศิษย์สำนักไปด้วยกัน แต่เขาก็ยังไม่วางใจจั๋วซือหราน จึงยังยืนอยู่ที่เดิม จ้องนางอยู่ครู่หนึ่งจั๋วซือหรานก็ไม่ได้เร่งรัดอะไร มองเขาด้วยสายตาราบเรียบครู่ต่อมา จั๋วเฮ่ออิงก็ทนไม่ไหว เดินขึ้นหน้าไปสองสามก้าว หลังจากกวาดสายตามองนางไปทั้งตัวแล้