“เจ้าลงมือ...กับหมออย่างข้า...อย่างเปิดเผยเช่นนี้เลยหรือ?”จั๋วซือหรานหัวเราะเสียงต่ำ “เจ้ายังมาหมิ่นเกียรติของข้าอย่างเปิดเผยได้เลย แล้วข้าจะลงมือกับเจ้าบ้างมันทำไมกัน? ทุกคนก็เป็นแพทย์กันทั้งนั้น เจ้าไม่ยอมเจ้าก็มาลงมือกับข้าสิ”เหยียนหยี่หลิงสีหน้าแข็งทื่อไปแล้ว นางยังดิ้นให้หลุดจากการกดของจั๋วซือหรานตอนนี้ไม่ได้เลย! นางเป็นแค่แพทย์คนหนึ่งเท่านั้น!แต่ว่าจั๋วซือหรานคนนี้...กลับสามารถประมือกับเหยียนอีที่มีพรสวรรค์วิชายุทธ์ของตระกูลเหยียนในตอนนั้นได้เลยนะ กระทั่งว่าถ้าไม่หยุดไว้เสียก่อน น่าอาจจะโค่นเหยียนอีได้ด้วยซ้ำ!“เจ้ารีบปล่อยข้าเลยนะ” เหยียนหยี่หลิงดิ้นรนขึ้นมาจั๋วซือหรานกดนางไว้ เอ่ยถามขึ้นเสียงเรียบ “เหยียนหยี่หลิง เจ้ายังจำสัญญาที่ตระกูลเหยียนเดิมพันกับข้าได้ไหม?”เหยียนหยี่หลิงตกตะลึง แอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทำไมจะจำไม่ได้ ไม่ใช่แค่นางที่จำได้ ทั่วทั้งเมืองหลวงก็จำได้กันหมดศูนย์การแพทย์ตระกูลเหยียนต้องปิดทำการ ร้านยาเองก็ต้องมาบริการให้จั๋วซือหรานนานแค่ไหนแล้วที่ตระกูลเหยียนของพวกเขา ไม่เคยเจอเรื่องอัปยศขนาดนี้เหยียนหยี่หลิงกัดฟันตอบ “ข้าต้องมาเปิดศูนย์การแพทย์ชั่
ก่อนที่จั๋วซือหรานจะลงมือ เหล่าผู้คนข้างๆ ที่กล้าปลุกปั่นตามกันมาแต่เดิม ก็ทยอยกันกระจายตัวถอยหลัง เหลือแค่ความกล้าคอยชมอยู่ข้างๆ เท่านั้นโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาล้วนเป็นแค่กลุ่มคนไร้แก่นสารรวมตัวกันเพียงชั่วครู่ แล้วก็กรูกันหายไปอะไรแบบนั้นตอนที่คนนำหรือแกนหลักของพวกเขามีพลังแข็งแกร่ง พวกเขาก็จะแข็งแกร่งตาม แต่ตอนที่คนนำหรือแกนหลักของพวกเขาถูกยิ่งจนร่วง พวกเขาก็จะกระจายตัวกันเร็วกว่าน้ำลดเสียอีกจั๋วซือหรานเข้าใจสิ่งเหล่านี้มานานแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลให้ตอนที่ได้ยินคำดูหมิ่นของพวกเขา จึงไม่แสบไม่คัน ไม่สนใจไม่แยแสสิ่งที่นางต้องทำ ก็แค่จัดการเล่นงานคนนำหรือแกนหลักออกมาทุบทิ้งแล้วฝูงกาพวกนี้ก็จะสลายตัวไปเองก็เหมือนกับที่นางเคยจัดการคนพวกนั้นที่หน้าจวนตนเองนั่นล่ะยิ่งไปกว่านั้นผู้คนก็ล้วนสรรเสริญความแข็งแกร่ง ในโลกที่ความแข็งแกร่งเป็นใหญ่ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้จั๋วซือหรานเข้าใจเป็นอย่างดี ว่าถ้าตนเองเข้ามาเพื่ออธิบายให้กับตนเองล่ะก็ ต่อให้เสียงจะดังแค่ไหน ผลลัพธ์ที่ได้ก็คงเป็นแค่ยิ่งวาดก็ยิ่งดำแต่ขอแค่บีบคนนำหรือแกนหลักเอาไว้ ตนเองจะพูดอะไร ต่อให้เสียงจะไม่ดังก็ยังสนั่นลั่นจน
เพราะเหยียนหยี่หลิงร้อนรนขึ้นมาแล้ว และเป็นผลมาจากอารมณ์ ดังนั้นคำพูดนี้จึงหลุดปากออกมาทั้งที่ยังไม่ทันได้พิจารณาให้ดีแต่หลังจากพูดคำนี้ออกไป เหยียนหยี่หลิก็เห็นในดวงตาพญาหงส์คู่นั้น มีประกายยิ้มแผ่ออกมาในใจเหยียนหยี่หลิงเต้นตึกตัก! เกินความลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีขึ้นมา ราวกับความรู้สึกนั้นแล่นผ่านจากเท้าขึ้นไปกลางกระหม่อมเลยทีเดียวนางมองดวงตาทั้งคู่ของจั๋วซือหราน ในใจวิตกอย่างรุนแรงเหมือนไร้ซึ่งก้นบึ้งตอนนี้เอง ชายคนหนึ่งก็เดินเข้ามา ยืนอยู่ข้างกายจั๋วซือหราน เอ่ยขึ้นเสียงขรึม “แม่นางจิ่ว จากความหมายของเจ้าสำนัก คือจัดการนำวัตถุดิบยาทั้งหมดที่ท่านพูดไว้ จัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อย ขนย้ายไปในร้านแล้ว” “ลำบากเจ้าเสียแล้ว” จั๋วซือหรานพอได้ยินคำพูดของอิ๋นไห่ ก็พยักหน้าให้เล็กน้อยหลังจากอิ๋นไห่รายงานจบก็ยังไม่ไปไหน ยืนนิ่งเงียบๆ อยู่ข้างๆมีคนมองออกถึงชายหนุ่มที่เดินเข้ามารายงานกับจั๋วซือหราน เครื่องแบบบนตัวนั่นมัน...เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นมา“นี่...เหมือนจะเป็นคนของตลาดมืดนะ...”“คนของตลาดมืดมาได้อย่างไรกัน?”“เหมือนจะเป็น...คนของหอฟ้าดาว เหมือนว่าต้องเป็นผู้ดูแลหอฟ้าดาวจึงจะม
ก่อนหน้าที่จั๋วซือหรานเตรียมจะประลองกับตระกูลเหยียน ก็จัดการแผนการนี้ไว้แล้วตอนนั้น ก็ให้อ๋องเซี่ยนช่วยหาตำแหน่งร้านที่เหมาะสมให้ จากนั้นจึงเริ่มเตรียมการเพียงแต่เพราะเรื่องยุ่งยากดันเข้ามาหานางทีละเรื่องทีละเรื่อง นางจึงไม่มีเวลาไปเพิ่มความเร็วกับเรื่องนี้ จึงหาพนักงานมาได้ไม่กี่คน จัดการไปอย่างเชื่องช้าจั๋วซือหรานกระทั่งไม่มองเลยด้วยซ้ำวันนี้เป็นครั้งแรก ที่จะได้เห็นร้านขายยาของตนเองอดพูดไม่ได้เลย ว่าดีกว่าที่จินตนาการไว้พอควร จั๋วซือหรานเดิมทีคิดว่าจะต่างกับศูนย์การแพทย์ร้านขาของตระกูลเหยียนอยู่มาก แต่ว่าพอมองแล้วกลับใกล้เคียงกันเลย จั๋วซือหรานพึงพอใจสุดๆดูแล้ว แม้ว่านางจะไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องนี้ แต่ซือคงเซียนกลับลงทุนลงแรงอย่างมากกับเรื่องที่นางไม่นำมาใส่ใจโดยตลอดเรื่องนี้พนักงานหลายคนแล้วก็ผู้จัดการร้านล้วนวุ่นกันจนลมหายใจหอบถี่ เพราะอิ๋นไห่เพิ่งพาคนของหอฟ้าดาวนำวัตถุดิบยาส่งเข้ามาดังนั้นเหล่าพนักงานกับผู้จัดการร้านจึงล้วนวุ่นกันมือเป็นระวิงอยู่ที่คลังเรือนหลังตอนนี้ล้วนกำลังถูไม้ถูมือ ออกมาต้อนรับจั๋วซือหราน หน้าผากก็ล้วนมีเหงื่อผุดซึม แต่บนใบหน้ากลับมีสีหน้าที่
เช่นนั้นก็เดาไม่ยากแล้วแต่สำหรับเรื่องที่จั๋วซือหรานเดาออกถึงปัญหาระหว่างพวกเขากับตระกูลเหยียนได้ทันที พวกเขาเองก็ประหลาดใจอยู่บ้างสีหน้าประหลาดใจแล่นผ่านใบหน้าของผู้จัดการร้าน เขาเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูฉลาดหลักแหลมเสียจริง ถูกต้อง พวกเราล้วนมีปัญหากับตระกูลเหยียนมาทั้งสิ้น”“พวกเราล้วนเคยเป็นแพทย์ แตกต่างกับศูนย์การแพทย์ของตระกูลเหยียน พวกเราเป็นแพทย์ที่คอยรักษาโรคให้กับเหล่าประชาชน ไม่มีเบื้องหลังใดๆ ทั้งสิ้น”“ตระกูลเหยียนในช่วงแรกรวบรวมแพทย์ไปหลายคน จัดส่งไปยังศูนย์การแพทย์ต่างๆ ของตระกูลเหยียน แล้วยังเคยคิดจะรับพวกเราไป แต่พวกเราปฏิเสธ”“ดังนั้นจึงถูกตระกูลเหยียนเพ่งเล็ง ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากเหยียนชางอยู่ในสถาบันแพทย์หลวง ถ้าเขาคิดจะแทรกแซงเข้ามา ตัวตนฐานะแพทย์ของพวกเราก็จะถูกส่งผลกระทบทั้งหมด”จั๋วซือหรานเข้าใจความรู้สึกนี้ได้ดีที่สุด เพราะนางตอนแรกก็เพราะถูกเหยียนชางเข้าแทรกแซง จนนางไปสอบแพทย์ไม่ได้ และเบนเข็มไปสอบแพทย์กลั่นยาแทน...จั๋วซือหรานเลิกคิ้ว“คนเป็นแพทย์ต้องทำการทดสอบครั้งหนึ่งในทุกสามปี สอบผ่านแล้วจึงสามารถทำอาชีพแพทย์ต่อได้ แต่เพราะการแทรงแซงของตระกูลเหยียน
พอเห็นฉากนี้ ทุกคนก็วางใจแล้วไหนจะจั๋วซือหรานที่ยังพูดต่อมาอีก “ยิ่งไปกว่านั้นถ้าพวกเขากล้าเข้ามาทำลายป้ายชิ้นนี้ ข้าก็จะจับเหยียนชางมาแล้วให้เขาเขียนให้ใหม่อีกแผ่น”“เช่นนั้นข้าเอาขึ้นไปแขวนเลยแล้วกัน” พนักงานร่างกำยำเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานคิดๆ เอ่ยต่อว่า “เอาเจ้านี้ไปแขวนไว้ข้างประตูเถอะ ส่วนชื่อของร้านยานี้ ข้าจะตั้งขึ้นมาใหม่”ผู้จัดการร้านรีบพยักหน้า “ได้เลย! ป้ายเปล่าเตรียมไว้ให้นานแล้วขอรับ ข้าจะไปหยิบมาให้ท่านเดี๋ยวนี้!”......ก่อนหน้านี้ที่จั๋วซือหรานพูดคำพูดเหล่านั้นในศูนย์การแพทย์ตระกูลเหยียน ก็เหมือนกับได้เพาะเมล็ดความสงสัยเมล็ดหนึ่งลงไปในใจของทุกคนมีบางคนสั่นคลอนขึ้นแล้ว แต่เพราะตระกุลเหยียนถึงอย่างไรก็ยังเป็นตระกูลใหญ่โต ดังนั้นในใจจึงยังมีความเชื่อมั่นให้กับตระกูลเหยียนอยู่แพทย์ของตระกูลเหยียนก็กำลังพยายามเตือนขึ้นว่า “ทุกท่านอย่าได้ไปเชื่อคำพูดเหลวไหลของนาง”“ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้ว ว่านางกับตระกูลเหยียนมีความแค้นกันมานาน ดังนั้นนางจึงมาใส่ร้ายป้ายสีตระกูลพวกเรา”“ถ้าหากทุกท่านเชื่อคำพูดของนาง จนทำให้การรักษาล่าช้า ผลลัพธ์อาจจะเลวร้ายลงกว่าที่คิด...”“วัตถุดิบ
ดังนั้นจึงเห็นว่าบนป้ายที่แขวนอยู่เหนือประตูทางเข้า เขียนอักษรตัวใหญ่เอาไว้ว่า...ศูนย์การแพทย์จั๋วซือหรานลายมือทรงพลัง ลายเส้นคมชัด ไม่ได้ดูอ่อนหวานเหมือนลายเส้นของหญิงสาวเลยมองออกว่าหมึกยังไม่แห้ง น่าจะเป็นป้ายร้านที่เพิ่งเขียนหมาดๆและที่ข้างประตูยังมีป้ายแนวตั้งอีกแผ่น ด้านบนเขียนอักษรเอาไว้อย่างชัดเจนหลายตัว...วิชาแพทย์ตระกูเหลียนสู้จั๋วซือหรานไม่ได้เดิมทีพวกเขาก็ยังไม่ค่อยมั่นใจนักเพราะประสิทธิภาพตำรับยาของตระกูลเหยียนถูกยืนยันไปแล้ว จะต้องใช้ได้อย่างมั่นคงแน่ แต่ว่าของแม่นางจั๋วจิ่วทางนี้ ใครก็ยังไม่ชัดเจนทั้งนั้นแต่ว่า พอเห็นประตูศูนย์การแพทย์ของนาง พอเห็นป้ายนี้ในใจก็เริ่มมีความเชื่อมั่นกับความกล้าโผล่ขึ้นมาอย่างประหลาดจริงด้วย ต่อให้ศูนย์การแพทย์ของแม่นางคนนี้ไม่ได้มีรากฐานมั่นคงอย่างตระกูลเหยียน ไม่ได้มีชื่อเสียงอย่างตระกูลเหยียนแต่แม่นางคนนี้ก็ไม่ใช่คนไร้ความสามารถอะไร แต่ได้พิสูจน์ต่อหน้าคนทุกคน ต่อหน้าคนใหญ่โตจากหน่วยสืบสวนพิเศษมาแล้วอย่างแท้จริงเอาชนะตระกูลเหยียน ย่ำวิชาแพทย์ของตระกูลเหยียนจนจมอยู่ใต้เท้า...นางไม่ใช่คนไร้ความสามารถมาแต่ไหนแต่ไร“รบ..
เดิมทีตอนนี้ คนกลุ่มแรกที่มาศูนย์การแพทย์จั๋วซือหรานจากทางตระกูลเหยียนนั้นก็ล้วนเป็นประชาชน ยิ่งไปกว่นั้นยังเป็นพวกที่จนกรอบแบบสุดๆด้วยเป็นคนที่แบกรับภาระค่ายารักษาของตระกูลเหยียนทางนั้นไม่ไหว ดังนั้นจึงมาหาจั๋วซือหรานทางนี้ พูดให้แย่หน่อยก็คือมาเพราะหวังของถูกกว่านั่นเองมีความหมายลักษณะหวังโชคอยู่ด้านในแต่คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอโชคจังๆ เช่นนี้ เดิมทีคิดว่าถ้าได้ยารักษามาแบบเปล่าๆ แล้วเป็นยาที่มีประสิทธิภาพไปกิน ก็ถือว่าขอบคุณฟ้าขอบคุณดินได้แล้ว แต่พอได้ยินความหมายจากแม่นางจั๋วจิ่ว คือคิดจะรักษาโรคเรื้อรังเก่าบนตัวเขาให้ด้วย!ไม่ว่าจะรักษาได้หรือไม่ได้ แค่คำพูดนี้ของจั๋วซือหราน ก็เพียงพอที่จะให้ความหวังแก่คนแล้วยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังรู้มาว่าแม่นางคนนี้ คือคนที่เอาชนะวิชาแพทย์ตระกูลเหยียนมาอย่างชอบธรรม กระทั่งตระกูลเหยียนคิดจะใช้วิธีต่างๆ นานาก็ยังพลิกกระดานกลับไม่ได้“ขอบ...ขอบคุณ ขอบคุณแม่นางจั๋วมาก!”คนผู้นี้คุกเข่าลงทันที จั๋วซือหรานพอเห็นก็เหลือบมองไปทางพนักงานร่างกำยำ อีกฝ่ายก็เข้าใจทันที เข้ามาขวางคนผู้นี้ไว้จั๋วซือหรานเอ่ยต่อว่า “หัวเข่าไม่ค่อยดีก็อย่าเอาแต่คุกเข่าเ
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"