จากนั้นเขาก็นำสิ่งของที่เหมือนทรงกระบอกนั้น ส่งให้กับชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ อีกคนรับไป เอียงตาถามขึ้นว่า “เป็นอย่างไร?”“ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่านางมีแค่วิชายุทธ์ วิชาแพทย์ หลอมยากับวิชากู่ แต่ไม่เคยพูดเลยว่านางกระทั่งควบคุมสัตว์ก็ยังทำได้ด้วย” คนผู้นี้เอ่ยขึ้นเสียงต่ำชายหนุ่มที่ข้างเขา กลางหน้าผากมีตราประทับจันทราอยู่เจ้าสำนักหอจันทร์เงิน อินเจ๋ออันนั่นเองอินเจ๋ออันถามขึ้นเสียงเรียบ “ดังนั้น?”“ดังนั้น?” ชายหนุ่มข้างกายอินเจ๋ออันถึงแม้จะปิดบังใบหน้าครึ่งล่างไว้ แต่ก็มองออกได้ไม่ยาก จมูกที่โด่งเป็นสัน คิ้วตาโครงหน้าคม และสีฟ้าอ่อนๆ ที่เหมือนลอดออกมาจากในดวงตานี่เป็นดวงตาที่ศิษย์แห่งห้าตระกูลซางของเมืองหลวงเท่านั้นถึงจะมีและเช่นเดียวกับตระกูลเหยียนที่ถนัดวิชาแพทย์ ตระกูลเฟิงถนัดการรบ ตระกูลฮั่วถนัดข่าวกรอกง ตระกูลจั๋วถนัดการค้าตระกูลซางเองก็มีด้านที่ตนเองแข็งแกร่งที่สุด นั่นก็คือ...การควบคุมสัตว์“ถ้าเป็นคนอื่น ข้ายังสามารถไม่สนใจได้ ควบคุมสัตว์หรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าก็อยากจะเจอนางหน่อยแล้ว” ในดวงตาสีน้ำเงินของชายหนุ่ม มีความสนใจอย่างเปี่ยมล้น“ได้ยินว่านางปลุกพลังวิญญาณตระกู
ถ้าหากคนที่นำหน้าตอนนี้คืออิงเซ่า บางทีอาจจะคิดได้ลึกซึ้งและกว้างไกลกว่านี้แต่บังเอิญคนที่อยู่ตรงหน้านี้คือฉีฮ่าวฉีฮ่าวไม่ละเอียดรอบคอบเหมือนอิงเซ่า เขาเป็นคนนิสัยตรงไปตรงมา ใช้ชีวิตแบบมีบุญคุณต้องทดแทนมาโดยตลอดพอได้ยินคำพูดนี้ของจั๋วซือหราน ฉีฮ่าวก็พยักหน้าหนักๆ “คุณหนูจิ่ววางใจเถอะ! ฉีฮ่าวคนนี้จะยืนอยู่ข้างกายคุณหนูเอง!”จั๋วซือหราพอได้ยินคำนี้ ก็หรุบตาต่ำลงยิ้มๆ “คำพูดของท่านแม่ทัน ไม่กลัวว่าจั๋วจิ่วคนนี้จะทำให้ท่านแม่ทัพต้องไปทำเรื่องเลวๆ อย่างนั้นหรือ?”จั๋วซือหรานพูดพลาง เงยตามองไปยังชายร่างสูงใหญ่ตรงหน้าคนนี้ “ถึงอย่างไรชื่อเสียงของจั๋วจิ่วในเมืองหลวงก็ย่ำแย่อยู่นา”แม่ทัพฉีฮ่าวหลังจากได้ยินคำพูดนี้ของนาง บนหน้าก็เผยรอยยิ้มจริงใจออกมา น้ำเสียงเองฟังแล้วเด็ดขาด ไม่มีลังเลแม้แต่น้อย“ไม่กลัว” ฉีฮ่าวตอบ “ข้าเชื่อสิ่งที่ตนเองเห็นเท่านั้น ข้าเห็นว่าแม่นางจิ๋วเป็นคนดี เช่นนั้นคนอื่นจะพูดอะไรก็ไม่มีผลทั้งนั้น”“ยิ่งไปกว่านั้นข้าเชื่อว่า แพทย์ที่ทรงคุณธรรมที่ช่วยเหลือวิกฤติของค่ายป้องกันกับค่ายลาดตระเวนไว้เช่นนี้ ต่อให้ไม่มีมนุษย์คนไหนรัก ก็ไม่มีทางเป็นคนชั่วช้าสามานย์แน่นอน
หลังจากดึงผ้าที่อุดปากทหารที่กำลังคลั่งคนหนึ่งออก มือของข้างหนึ่งก็ถือยาไว้ มืออีกข้างบีบคางของทหาร เตรียมจะกรอกยาพอปากของทหารคลั่งไม่ถูกอุดไว้ ก็จะกัดเข้าไปที่มือของนางอย่างดุร้าย“ระวัง!” แพทย์ทหารรร้องตกตะลึงขึ้นมา ส่วนทหารคนอื่นก็ตกตะลึงด้วยเช่นกันฉีฮ่าวทนไม่ไหวเดินขึ้นมาสองก้าวจากนั้นทุกคนก็เห็นมือของนาง ฉากหลบออกมาด้วยการเคลื่อนไหวเล็กน้อยแม้จะเบี่ยงหลบการกัดของทหารคลั่ง แต่หลังมือก็ยังถากกับฟันของทหารคลั่งคนนั้นไป จนเกิดเป็นรอยที่ไม่ใช่แผลลึกขึ้นหยดเลือดสีแดงไหลซึมออกจากบาดแผลเลือดนี้พอประทับบนผิวขาวนวลของนาง ก็ชัดเจนจนแยงตา และแยงเข้าไปในตาของทุกคนด้วยเช่นกันแต่ว่าพวกเขากลับมองไม่เห็นสีหน้าอะไรจากหน้าของนางเลยอย่าว่าแต่จะขมวดคิ้วเลย กระทั่งหนังตาก็ยังไม่เลิกขึ้นด้วยซ้ำยิ่งไปกว่านั้นแขนที่บาดเจ็บข้างนั้นของนาง การเคลื่อนไหวก็ไม่สับสนเลยแม้แต่น้อย ยังขยับไปตามทิศทางเดิม บีบคางทหารคลั่งเอาไว้ข้างหนึ่งออกแรงให้เขาขยับตัวอีกไม่ได้ จากนั้นก็กรอกยาลงไปทั้งชามจั๋วซือหรานปล่อยมือออกจากทหารคลั่งคนนั้น และทำเช่นเดียวกันต่อไปกับทหารคลั่งคนที่สองจากนั้นจึงเก็บมือกลั
จั๋วซือหรานที่นั่งอยู่ห่างๆ กำลังเย็บแขนข้างหนึ่งอยู่เงียบๆทหารคลั่งตอนแรกยังแยกเขี้ยวใส่นาง รู้สึกเหมือนอยากจะพุ่งเข้าไปกัดนางให้ตายเสียให้ได้ แต่สีหน้าของนางก็ยังไม่เปลี่ยน ยังคงเย็บต่อไปเงียบๆ ครู่หนึ่งก็เอียงตามองไปยังแพทย์ทหารที่กำลังมองอย่างเคลิบเคลิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ประมาณนี้นั่นล่ะ อีกเดี๋ยวท่านก็ลองหาพวกสัตว์อะไรมาทดลองดู หลักการก็เป็นเช่นนี้ ไม่ได้มีเคล็ดลับอะไร ฝึกมากๆ ก็ชำนาญเอง”แพทย์ทหารพยักหน้าหงึกหงัก ตอนที่มองจั๋วซือหราน ดวงตาก็เปล่งประกาย “ขอบคุณแม่นางจิ่วมาก! เรื่องนี้มีประโยชน์กับพวกเรามาก! ในค่ายทหารเนื่องจากสถานการณ์การฝึกฝนต่างๆ เรื่องการบาดเจ็บภายนอกพบเห็นได้บ่อยมาก...”จั๋วซือหรานทำงานของตนเอง พลางฟังเสียงสนทนาของอิงเซ๋ากับฉีฮ่าวที่อยู่ไม่ไกลออกไปนักด้วยระดับความเฉียบคมของสัมผัสทั้งห้านางตอนนี้ ต่อให้ไม่สามารถฟังออกทุกถ้อยคำอย่างชัดเจน แต่พอฟังประโยคสำคัญบางส่วน จากนั้นก็จะแกะความหมายออกมาได้เองจนในที่สุดที่เสร็จสิ้นสถานการร์ของค่ายป้องกัน ฟ้าก็เริ่มมืดแล้วดวงตะวันลับขอบฟ้า แสงยามเย็นย้อมท้องฟ้าไปทั้งผืน“ทางนี้หลักๆ ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นข้
แต่เพราะสถานการณ์ของสองวันนี้ก็ยังต้องกระโจนออกมาเหมือนสุ...บางทีอาจไม่ควรจะเรียกว่ากระโจนออกมาเหมือนสุนัขจนตรอกแต่เป็นโมโหจากความล้มเหลวอดพูดไม่ได้เลย ว่าจั๋วซือหรานคาดเดาไว้แม่นยำมากไม่นานก่อนหน้านี้ ตอนที่นางยังวุ่นอยู่ในค่ายป้องกันในอุทยานหลิ่วพ่านที่ห่างออกไปอ๋องอวี้ชินผู้สูงส่งโกรธเดือดดาล จนคนรับใช้ถูกไล่ออกไปแล้วสองคนถ้วยถาดกระจัดกระจายระเนระนาดเต็มพื้นชายหนุ่มในชุดหรูหรานั่งบนที่นั่งหลัก ใบหน้าเองก็หล่อเหลาอยู่ แต่ดวงตาทั้งสองกลับแดงก่ำ เหมือนดวงตาถูกแผดเผาด้วยความโกรธอย่างไรอย่างนั้น“ไม่ได้เรื่อง! ไม่ได้เรื่อง! ไม่ได้เรื่อง!”เพล้ง! เสียงแตกสะท้านดังขึ้นอีกครั้ง กาน้ำชาชั้นดีใบหนึ่ง ถูกขว้างจนแตกกระจายบนพื้น“มีแต่พวกไม่ได้เรื่อง! เจาหมิ่นอยู่ไหน! ? นางไม่ใช่บอกแล้วหรือ ว่านี่เป็นแผนที่สมบูรณ์แบบ?! แล้วนี่คือแผนสมบูรณ์แบบที่นางว่าหรือ?”ซือคงอวี้โมโหเดือดดาล เขาหัวเราะเย็นชาขึ้นมาทีหนึ่ง “ข้าได้ยินว่านางออกจากวังหลวงไปแล้วใช่ไหม? พอเห็นว่าล้มเหลวก็เลยหนีหางจุกตูดหรือ? แผนการยอดเยี่ยมเสียเหลือเกิน...”ตอนนี้เอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่ปากประตู “องค์ชายห้าอย่า
ความหยิ่งทะนงในใจซือคงเจาหมิ่น ทำให้นางไม่ยอมแพ้จั๋วซือหราน ตนเองแค่แพ้ไปครั้งเดียวเท่านั้น วันข้างหน้ายังอีกยาวไกลเพียงแต่ นี่ถือเป็นการไม่ยอมแพ้ต่อจั๋วซือหรานของตัวนาง และไม่ใช่ว่าไม่ยอมรับ จั๋วซือหรานนั้นเป็นคนที่มีฝีมืออยู่อย่างน้อยในกลุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันในเมืองหลวง ก็แทบจะหาหญิงสาวแบบนางไม่ได้เลยแล้วซือคงอวี้ล่ะ?ซือคงเจาหมิ่นมองคนโง่ที่คิดว่าตัวเองฉลาดตรงหน้านี้ ในใจก็หัวเราะเย็นชา รอยยิ้มบนหน้ากลับไม่เปลี่ยนแปลงใดเลยซือคงเจาหมิ่นรู้สึกแย่กับเจ้าโง่ตรงหน้านี้มานานแล้วเดิมทีนางได้รับคำสั่ง ว่าสามารถถอนตัวออกจากแคว้นชางได้ แต่นางเดิมทีคิดว่าก่อนจะออกไปจะเล่นงานจั๋วซือหรานอีกสักที หลายปีนี้ในเมืองหลวงแคว้นชาง กว่าจะได้มาเจอคู่มือ แต่ดันมาแพ้ไปเสียแล้วนางเองก็ไม่คิดที่จะให้จั๋วซือหรานต้องลำบาก ดังนั้นจึงเข้ามาหาซือคงอวี้โดยเฉพาะ“เจาหมินความสามารถไม่เพียงพอเอง เสด็จพี่อย่าทรงกริ้วเลย” สีหน้าของซือคงเจาหมิ่นยังคงไม่เปลี่ยนแปลงซือคงอวี้ร้องเชอะเย็นชาขึ้นมา แต่คำพูดเมื่อครู่ของเจาหมิ่น ก็พูดตรงใจเขาพอดีคนแบบเขา อวดดีทะนงตน ยิ่งทำให้เชื่องได้ยาก ในสายตาเขาก็ยิ่งรู้
ซือคงเจาหมิ่นเอ่ยขึ้นอย่างยอมรับและเต็มใจ “เพคะ เสด็จพี่วางใจเถอะ ก็แค่ของบางอย่างใช้หมดไปแล้ว จำเป็นต้องไปเอามาจากชายแดนใต้ อย่างพวกกู่พวกยาอะไรพวกนี้ ถ้าเอามาทำประโยชน์ให้เสด็จพี่ได้ เจาหมิ่นไปจัดการเองยังวางใจได้มากกว่า”ซือคงอวี้แม้จะไม่ค่อยรู้สึกดีนักกับน้องสาวต่างสายเลือดคนนี้ แต่ก็อดพูดไม่ได้ ว่าคำพูดของนางมันน่าฟังจริงๆซือคงเจาหมิ่นตอนนี้จึงออกจากเมืองหลวง......จั๋วซือหรานหลังออกจากค่ายป้องกันกลับมายังเมืองหลวง ก็ไม่ได้แวะไปที่หน่วยสืบสวนพิเศษทันทีสำหรับสถานการณ์เหล่านี้ในเมืองหลวงปัจจุบัน หน่วยสืบสวนพิเศษจึงเป็นเหมือนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากอยากจะได้ความเงียบสงบหน่อย ไม่ที่หน่วนสืบสวนพิเสษรับรองไม่มีปัญหาแต่จั๋วซือหรานก็ยังตรงไปที่ตลาดมืดเสียรอบหนึ่งตอนที่นางไปถึงตลาดมืด การเผชิญหน้ากับตระกูลเหยียนก็ถือว่าจบไปแล้วพอเห็นจั๋วซือหรานเข้ามา ในดวงตาเจ้าสำนักหอฟ้าดาวก็เหมือนมีความอบอุ่นและรอยยิ้มขึ้นมาอย่างหาได้ยาก“คุณหนูจิ่ว”“เจ้าสำนัก”“คุณหนูจิ่วเหนื่อยมาทั้งวัน ยังไม่กลับไปพักผ่อนอีกหรือ?” เจ้าสำนักหอฟ้าดาวถามขึ้นจั๋วซือหรานยิ้มตาโค้ง “ทำไมหรือ เจ้าสำนักม
“เจ้าบอกว่าใครนะ?” จั๋วซือหรานมีสีหน้าประหลาดเผยออกมา นางเหลือบมองไปยังอิ๋นไห่ที่รายงานอยู่หน้าประตู ในดวงตาของเจี่ยงเทียนซิงเองก็ประหลาดใจหน่อยๆ เห็นได้ชัดว่ารู้สึกไม่อยากเชื่อเล็กๆ กับความยุ่งยากที่มาหาแบบกะทันหันนี้“เจ้าสำนักจันทร์เงิน” อิ๋นไห่เอ่ยตอบจั๋วซือหรานชี้ไปที่ตนเอง “มาหาข้าหรือ?”“ใช่แล้ว น่าจะเพราะรู้ว่าท่านมายังหอฟ้าดาว จึงเข้ามาขอพบ” อิ๋นไห่พยักหน้าจั๋วซือหรานขมวดคิ้วเจี่ยงเทียนซิงเองก็ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจเอาเสียเลย “เขามาทำอะไรกัน...”ส่วนจั๋วซือหรานก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า “มาแก้แค้นกระมัง วันนั้นตอนอยู่ที่ลานทดสอบ ข้าก็ไม่เกรงใจเขาเลย”จั๋วซือหรานเอียงตามองเจี่ยงเทียนซิง “ต่อให้ไม่ได้มาล้างแค้น ก็น่าจะมาหาเรื่องข้านั่นล่ะ...”เจี่ยงเทียนซิงนิ่งงันครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง กลอกตามองไปทางจั๋วซือหราน “ถ้าเจ้าไม่อยากพบ ข้าให้อิ๋นไห่พาเจ้าออกไปทางประตูหลังได้นะ อินเจ๋ออันทางนี้ให้ข้ารับมือก็พอ”อันที่จริงจั๋วซือหรานก็กลัวความยุ่งยากหน่อยๆ หลักๆ คือ เรื่องยุ่งยากมากเกินไปแล้วแต่พอคิดๆ ชีวิตคนเราเดิมทีก็มีความยุ่งยากที่ต้องไล่แก้ไปทีละเรื่องๆ อยู่แล้ว
พอได้ยินคำนี้ของจั๋วหวาย สีหน้าจั๋วซือหรานก็ชะงักไปพอนึกถึงจั๋วเฮ่ออิงที่สีหน้าเปลี่ยนแล้วรีบร้อนออกไปวันนั้นนางรู้สึกว่าการคาดเดาของเสี่ยวหวาย...ดูสมเหตุสมผลดียังไม่ต้องพูดถึงว่าจั๋วเฮ่ออิงไปหาเซี่ยอวิ๋นซี แล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไรจั๋วซือหรานแม้จะไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่ก็มีความรู้สึกรักอย่างจริงใจต่อเซี่ยอวิ๋นซีด้วยความเข้าใจต่อตัวเซี่ยอวิ๋นซีของนาง จั๋วซือหรานรู้สึกว่า เซี่ยอวิ๋นซีเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งในการที่นางสามารถเลี้ยงลูกสองคนจนโตได้เพียงลำพังก็มองออกได้ไม่ยากคนแบบนี้ ในสถานการณ์ปกติขีดจำกัดจะชัดเจนมากนางจะอ่อนโยนกับคนของตนเอง แต่มีนิสัยที่แข็งกร้าวในสายตาไม่อาจทนเห็นสิ่งไม่ดีได้ ยอมหักแต่ไม่ยอมงอตอนที่นางรักจั๋วเฮ่ออิงก็คือรักจริงๆ ถ้าหากไม่มีลูกน้อยสองคนคอยรั้งนางไว้ นางคงฆ่าตัวตายตามจั๋วเฮ่ออิงไปตั้งแต่ตอนรู้ว่าเขาตายแล้วแต่พอมีตัวตนอย่างสุ่ยจิ้งหลาน เซี่ยอวิ๋นซีก็ไม่แน่ว่าจะอดทนต่อจั๋วเฮ่ออิงได้อีกตอนที่ไม่รัก ก็อาจจะไม่รักได้จริงๆแต่แล้วทำไมล่ะ แค่จั๋วเฮ่ออิงไปบอกเรื่องของนาง ด้วยนิสัยของเซี่ยอวิ๋นซี ต่อให้ฟ้าถล่มก็คงจะรีบมาหาอยู่ดีจั๋วซือหรานถอนห
ตอนนี้ จั๋วซือหรานเห็นหน้าตนเองในน้ำได้เห็นสภาพของตนเองชัดๆ ดีขึ้นมากแล้วจริงๆแต่นางยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าสภาพของตนเองก็กำลังแย่ลงอย่างรวดเร็วดังนั้น ตนเองตอนนี้...อยู่ห่างจากชายคนนั้นไม่ได้จริงๆถ้าแค่ห่างจากชายคนนั้น ตนเองก็อาจจะทนต่อไปไม่ไหว แล้วกลับไปอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้อีก นั่นมันอันตรายเอามากๆส่วนตนเองถ้าหากยังตามชายคนนี้อยู่ตลอดล่ะก็...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว ในใจก็อดคิดไม่ได้ ตอนนี้ตนเองอย่างน้อยยังพอทนไหว ไม่ต้องตัวติดกับเขาตลอดเวลาก็ได้แต่...นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นนะจั๋วซือหรานเป็นคนที่เตรียมพร้อมล่วงหน้าอยู่เสมอ นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อยเบาๆในใจยังคิดขึ้นอย่างกังวล ถ้าหากอายุครรภ์มากขึ้น สถานการณ์แบบนี้ก็น่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยถึงตอนนั้นหากตนเองต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาถึงจะรักษาสภาพให้คงที่ได้ล่ะ?ถ้าตนเองเป็นอย่างที่เขาบอกล่ะ ที่ว่าต้องการแสงแดดแล้วในเวลากลางวันแบบนั้น...คนนึงต้องการแสงแดด แต่อีกคนกลับถูกแสงแดดทำร้ายสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆนางผ่อนคลายลงหน่อย แต่เขากลับทรมานขึ้นมาถ้าพอนางทรมาน เขาถึงจะผ่อนคลายลงมาได
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย