เหล่าผู้อาวุโสตระกูลเฟิงก็หัวร้อนหน้าไหม้กันขึ้นมาเฟิงหร่านมอง และรอตอนที่รู้สึกว่าเวลาใกล้เคียงแล้ว จึงค่อยๆ ยกมือขึ้น เอ่ยปากว่า “เหล่าผู้อาวุโส เพราะ...เพราะว่าข้าถูกนางควบคุมไป จนคายความลับออกมามากมายอย่างควบคุมไม่อยู่ ในนี้ยังรวมถึง เรื่องที่พี่ชายได้รับการลงโทษจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วย...”คำพูดของเฟิงหร่าน ทำเอาผู้อาวุโสทั้งหลายเงียบกันลงมาทันทีพวกเขารู้เรื่องที่เฟิงหร่านไปจวนของจั๋วซือหรานนานแล้ว เดิมทีพวกเขาคิดว่าเฟิงหร่านน่าจะไปบอกความลับกับจั๋วซือหรานเพราะเฟิงหร่านเทิดทูนศรัทธาเฟิงเหยียนมาแต่ไหนแต่ไร จุดนี้ในตระกูลไม่ใช่ความลับอะไรยิ่งไปกว่านั้นเฟิงหร่านเนื่องจากที่พ่อของนางทำงานในโถงศักดิ์สิทธิ์บรรพบุรุษ คิดแล้วจึงน่าจะเข้าใจเรื่องการที่เฟิงเหยียนถูกลงโทษโดยสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกด้วยเหล่าผู้อาวุโสคำนวณไว้แล้วถ้าเฟิงหร่านออกไป จะต้องนำความลับไปบอกแน่ใครจะรู้ ว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ได้เดินตามหมากที่พวกเขาวางเอาไว้เลย!แต่กลับไปทะเลาะกับจั๋วจิ่วมาอีก?! สมองคิดอะไรอยู่กันแน่...แต่ดูแล้ว ก็เหมือนว่าข้อมูลที่จะให้จั๋วจิ่วได้รู้ ก็ถูกจั๋วจิ่วรับรู้ไปแล้วเช่นกันว่าตามหลัก
ผลลัพธ์น่าจะไม่ดีขนาดนี้ แต่ตอนนี้เป็นเฟิงฉี เช่นนั้นผลลัพธ์จึง...เฟิงหร่านพอคิดเช่นนี้ นิ่งงันคำนวณในใจ เวลาน่าจะใกล้เคียงแล้วพี่สาวจั๋วจิ่วบอกว่าประมาณหนึ่งเค่อก็จะบังเกิดผลในใจเฟิงหร่านเพิ่งจะคิด ก็เห็นสีหน้าของผู้อาวุโสเฟิงฉีเปลี่ยนไปแล้วดวงตาของเขาถลึงโต ยางกลับว่าจะทะลักออกมาจากในเบ้าตาอย่างไรอย่างนั้น!บนหน้าผาก บนคอ เส้นเลือดปูดโปน พูดอะไรออกมาไม่ออกแม้แต่คำเดียว จากแก้มที่ตึงก็มองออกไม่ยาก เขาขบฟันแน่นเหมือนกำลังทนความทุกข์ทรมานแสนสาหัส!ผู้อาวุโสเฟิงฮ่วนที่อยู่ข้างๆ ก็สังเกตเห็นความผิดปกติของเขาแล้ว“เฟิงฉี เจ้าเป็นอะไร? เป็นอะไรไหม?” เฟิงฮ่วนถามขึ้นแต่เสียงเขายังไม่ทันขาด เฟิงฉีก็ยืนไม่อยู่แล้ว คุกเข่าลงเสียงดังตุบ!ผู้อาวุโสคนอื่นก็ระแวดระวังขึ้นมาทันที พวกเขาไม่รู้ว่าเฟิงฉีทำไมจึงกลายเป็นเช่นนี้แค่คิดว่า น่าจะเป็นเพราะโรคระบาดกู่ก่อนหน้านี้กระตุ้นให้เกิดขึ้น แค่คิดว่าเฟิงฉีน่าจะกำลังจะกลายพันธุ์!กระทั่งมีคนเอามือทาบไว้บนด้ามกระบี่ตระกูลแล้ว ตั้งท่าเตรียมรับมือไว้ตลอดเวลาส่วนเฟิงฉี ในที่สุดก็หอบหายใจถี่ท่ามกลางความทรมานแสนสาหัสนั่น ดวงตาที่แดงก่ำจากควา
“อะไรนะ?!” เหล่าผู้อาวุโสตกตะลึงกันขึ้นมาเฟิงหร่านโขกศีรษะ เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว “ข้า ข้าเดิมทีก็ไม่รู้...ไม่รู้ว่าเป็นอะไร นาง นางบอกว่ารอให้ถึงเวลา ข้าก็จะรู้ว่ามันมีไว้ทำอะไร...ข้าคิด ข้าคิดว่าตอนนี้ นี่คือเวลาที่นางบอกไว้กระมัง?”“รีบ...รีบ...” เฟิงฉีนอนตะแคงอยู่บนพื้น มุมปากมีน้ำลายฟูมออกมาแล้ว ดวงตาเริ่มพร่ามัว “ให้..รีบ...ให้ข้า...”เฟิงหร่านรีบลุกขึ้น เดินโซซัดโซเซนำยาไปมอบให้ใครจะคิดว่าพอเท้าไม่มั่นคง จึงคะมำตัวไปด้านหน้า ล้มคว่ำลงไป!ขวดยาในมือเองก็แตกกระจาย ผงยาในขวดก็กระจายลงบนพื้นเฟิงหร่านเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าสลด “ขอโทษขอโทษ ข้า ข้าของข้ามันชาจนยืนไม่อยู่...”ไม่มีคนโทษนาง คนทั้งหมดล้วนตกตะลึงกับฉากตรงหน้าเฟิงฉีที่หยิ่งทะนงมาแต่ไหนแต่ไร เฟิงฮ่วนที่ชอบกู่ก้องเรื่องความสง่างาม ส่วนเฟิงฉีใส่ใจกับภาพลักษณ์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเวลานี้กลับทิ้งภาพลักษณ์ไปจนหมด เลื้อยตัวไปตามพื้น เหมือนคนใกล้ตายที่ได้พบเข้ากับน้ำทิพย์ชโลมใจใช้ลิ้นที่ยังเหมือนขยับได้ จัดการเลียผงยาที่อยู่บนพื้นทีละนิดๆ ต่อหน้าต่อตาคนทุกคนท่าทางหกล้มของเฟิงหร่านนี้ไม่ได้จงใจเจตนาแต่นางก็ไม่คาดไม่ฝันเหมือ
“...คนไหนก็ได้ทั้งนั้น เฟิงหร่าน ก็เหมือนกับที่ก่อนหน้านี้ข้าจัดการพวกตระกูลเฟิง ตระกูลจั๋วกับตระกูลเหยียน พวกที่เข้ามากำเริบเสิบสานที่ประตูบ้านข้า”“พวกเขามาร้องอย่างเวทนาหน้าบ้านข้า ร้องห่มร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลนอง กระทั่งขี้เยี่ยวราดออกมาอย่างคุมไม่อยู่ หลังจากนั้น คนอื่นๆ ก็เปลี่ยนเป็นว่าง่ายขึ้นทันที”“เฟิงหร่าน เจ้าต้องรู้ ว่าไม่มีอะไรที่จะมีพลังคุกคามไปมากกว่าเสียงกรีดร้องของพวกเดียวกันแล้ว”เฟิงหร่านคิดถึงบทสนทนากับจั๋วซือหรานก่อนหน้านี้และขณะเดียวกัน นางเองก็มองเห็นความหวาดกลัวในสีหน้าของผู้อาวุโสคนอื่นแล้ว โดยเฉพาะหน้าของผู้อาวุโสทั้งสี่คนที่จั๋วซือหรานมีสัญญาณจิตวิญญาณแห่งคำพูดด้วยอย่างน้อย พวกเขาก็ไม่ได้ก่นด่าตบจนที่รองแขนพังเหมือนเฟิงฉีก่อนหน้านี้เหมือนกับว่า เปลี่ยนลงมาเย็นชาในพริบตา“แล้วตอนนี้ จะทำอย่างไร?”“หญิงสาวคนนี้ไม่ได้กำเริบเสิบสานแค่วันสองวันแล้ว การไปยั่วโมโหนางไม่ใช่การตัดสินใจที่ฉลาดเลย”“แต่พวกเราจะไปหาเหยียนเอ๋อร์มาจากที่ไหนให้นางล่ะ? เอาจริงๆ เหยียนเอ๋อร์ไม่ใช่ว่าถูกนางเอาไปซ่อนไว้ที่ไหนแล้วหรอกหรือ?”เฟิงฉีหอบหายใจหนัก เอ่ยขึ้นเสียงแหบพร่า “สร
จั๋วซือหรานสอนคำพูดและการกระทำให้กับเฟิงหร่าน เฟิงหร่านก็ทำตามทั้งหมดจากสิ่งที่เกิดขึ้น ในการคาดการณ์ของพี่สาวจั๋ว ผลลัพธ์ที่ต้องการจากคำพูดและการกระทำเหล่านี้ ก็ล้วนสัมฤทธิ์ผลหมดแล้วและตอนนี้ เฟิงหร่านบอกกับตนเอง ว่านี่คือผลลัพธ์จากสิ่งที่นางตัดสินใจ จากสิ่งที่นางพิจารณาแล้วตัวเฟิงหร่านเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรบางทีคงเพราะหลังจากที่ได้สัมผัสกับจั๋วซือหราน ทำให้นางตระหนักถึงความเป็นหญิงของตนเองมากขึ้นกระมัง?แน่นอน เฟิงหร่านไม่รู้ว่าการตระหนักถึงความเป็นผู้หญิงหมายถึงอะไรในตอนนี้ นางรู้สึกขึ้นมาโดยสัญชาตญาณว่าตนเองควรจะทำอะไร ตนเองเหมือนยังทำอะไรได้บ้าง “...ขอเหล่าผู้อาวุโสให้โอกาสข้าด้วย” เสียงของเฟิงหร่านเต็มไปด้วยความยำเกรงและหวาดกลัวมีผู้อาวุโสหลายคนไม่แม้แต่จะมองนาง เหมือนไม่ได้ยินคำพูดของนาง เหมือนว่าคนคนนี้สำหรับพวกเขาแล้วเป็นเพียงแค่อากาศธาตุแต่ก็ยังมีผู้อาวุโส ที่สังเกตเห็นเฟิงหร่านจากคำพูดของนางเสียงของเฟิงฉีเสียงแหบพร่า มีความอ่อนล้าจากการถูกทรมานจากความเจ็บปวดอย่างรุนแรงยานี้ที่เวินป๋อยวนค้นคว้า เดิมทีคือไร้สีไร้กลิ่น รักษาแผลไม่ได้ รักษาโรคก็ไม่ได้ ทำให้
บ้านของนาง ถือว่าเป็นตระกูลสาขาเดียวกับผู้อาวุโสเฟิงฉี คิดดูแล้ว ก็เป็นเพราะชุบแสงของผู้อาวุโสเฟิงฉี ถึงได้เข้ามาในตระกูล ตามหลักการแล้วคือต้องฟังคำพูดของผู้อาวุโสเฟิงฉีมากที่สุด เชื่อฟังอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ท่านพ่อกลับโต้เถียงผู้อาวุโสเฟิงฉีเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของนางด้วยนิสัยของผู้อาวุโสเฟิงฉี เฟิงหร่านรู้ว่า ท่านพ่อต่อให้จะพูดอีกแค่ไหน ก็คงโดนลงโทษแน่นอน กฏของตระกูลเฟิงเองก็ไม่ได้เบากว่าของตระกูลจั๋วเลยหลังจากที่เฟิงหร่านยั้งคำพูดพ่อของนางไว้ ก็รีบเอ่ยกับเฟิงฉีว่า “ผู้อาวุโสโปรดระงับความโกรธ ท่านพ่อแค่เป็นห่วงลูกสาวจนจิตใจว้าวุ่น หร่านเอ๋อร์ไม่มีความเห็นใดต่อคำพูดของผู้อาวุโส หร่านเอ๋อร์จะไปเอง”เฟิงฉีเดิมทีก็รู้สึกโกรธอยู่ที่พ่อของเฟิงหร่านดื้อรั้น เดิมทีเขาก็เจอเรื่องไม่ดีมาก่อนหน้าแล้ว จึงยิ่งเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นไปอีกแต่ว่าคำพูดของเฟิงหร่านกลับทำให้เขาสงบลงไปไม่น้อยมีคนไม่เข้าใจกับวิธีการของเฟิงฉี“เจ้าให้เด็กสาวคนหนึ่งไปเจรจากับจั๋วจิ่ว แล้วจะเจรจาอะไรมาได้กัน?”เฟิงฉีตอบ “ก็เพราะนางเป็นเด็กสาวคนหนึ่งนี่ล่ะ ถึงจะทำให้จั๋วจิ่วลดการป้องกันลง เจ้านั่นถ้าไม่ลดการป้อง
จั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ ก็เพียงแค่เหลือบมองนางผาดหนึ่ง จากนั้นก็ร้องเรียกเฉวียนคุนเข้ามาเฉวียนคุนกำลังกินเคี้ยวตุ้ยๆ เต็มปาก สองตาเปล่งประกาย “นายท่าน มีอะไรหรือ?”“ไป เตรียมอาหารเช้าให้คุณหนูเฟิงสือสักชามนึง” จั๋วซือหรานกำชับขึ้นมาเฉวียนคุนรู้สึกว่าฝีมือทำอาหารของคุณหนูแทบจะพลิกแผ่นฟ้าอยู่แล้ว แค่บะหมี่ราดหน้าชามเดียว เด็กฉลาดนั่นก็กินจนตาเป็นประกาย ส่วนเขาก็เคี้ยวตุ้ยๆ เต็มปาก ส่วนเฮยหลิงนั่นก็ตัวดีเลย!เกือบจะเอาหม้อมาทุบกันอยู่แล้ว!ยิ่งไปกว่านั้นเฉวียนคุนยังรู้สึกว่า ถ้าเฮยหลิงเคยสูญเสียอิสระในตลาดมืด จนรู้สึกไม่ชอบที่ต้องมาคุดคู้อยู่ในที่ของผู้อื่นอีกล่ะก็บะหมี่ราดหน้าวันนี้ก็แทบจะทำให้ความรู้สึกไม่พอใจของเขาลดไปกว่าครึ่งเฉวียนคุนกระทั่งรู้สึกว่าที่หายไปครึ่งหนึ่งนี้ตนเองยังพูดน้อยไปด้วยซ้ำ ไม่แน่ในใจเฮยหลิงอาจจะโห่ร้องสรรเสริญคุณหนูหมื่นปีหมื่นหมื่นปีอยู่ก็ได้!แต่ว่าพวกเขาก็รู้สึกว่ามันอร่อยมากจริงๆทว่าตรงหน้าคนนี้ คุณหนูเฟิงสือเป็นถึงตระกูลเฟิงหนึ่งในห้าผู้นำตระกูลขุนนางเลยนะ!เฉวียนคุนกังวลเล็กน้อย ว่าอาหารเช้าของตนเอง จะดูถูกคุณหนูเฟิงสือคนนี้ไปไหม แล้วจะทำให้ค
“อื๋อ?” ข้อศอกจั๋วซือหรานเท้าอยู่บนโต๊ะ นิ้วรองคาง จ้องมองเฟิงหร่าน เป็นท่าทางที่กำลังตั้งใจฟัง รอคำพูดต่อไปของนางอยู่“พี่สาวจั๋ว อันที่จริง ไม่ใช่แค่ข้าที่มองออกว่าพวกเขามันเน่าไปจนถึงรากในแล้ว” ในสายตาเฟิงหร่าน มีประกายสุกใสบริสุทธิ์ไร้เดียงสา มองจั๋วซือหรานตาไม่กระพริบ “ข้าเองก็มองออก ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังคิดว่า คนอีกมากก็มองออกแล้วด้วย”จั๋วซือหรานไม่พูดอะไร ฟังเฟิงหร่านพูดต่อเงียบๆ“แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่มีคนยอมต่อต้านพวกเขา” เฟิงหร่านเอ่ยเสียงต่ำ “ต่อให้พวกเขาจะรู้ ว่าตระกูลนี้ เป็นพวกที่เน่าในถึงรากแก่น...แล้วมันทำไมล่ะ? พวกเขาที่รากฝังลึกเน่าเปื่อยมาหลายปี ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำอะไรได้”“ดังนั้นจึงมีคนอีกมากที่เลือกตามน้ำ” เฟิงหรานพูด หัวเราะจืดจางขึ้นมา ฟังแล้ว ดูมีความประชดประชันอยู่ “ข้าเองก็เคยคิดที่จะเลือกตามน้ำ เพราะว่าตระกูลนี้ ก็ยังค่อนข้างทำให้คนรู้สึกมั่นใจอยู่ ไม่ใช่หรือ?”“เทียบกับการต่อต้านแล้ว” จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น “ทำตามกระแสไปมันง่ายกว่าเยอะ การต่อต้านเป็นเส้นทางที่ยากลำบากกว่าเสมอ”“ใช่แล้ว” เฟิงหร่านหัวเราะขึ้นมาอีก นางจ้องมองดวงตาจั๋วซือหรานจั๋วซือห
พอได้ยินคำนี้ของจั๋วหวาย สีหน้าจั๋วซือหรานก็ชะงักไปพอนึกถึงจั๋วเฮ่ออิงที่สีหน้าเปลี่ยนแล้วรีบร้อนออกไปวันนั้นนางรู้สึกว่าการคาดเดาของเสี่ยวหวาย...ดูสมเหตุสมผลดียังไม่ต้องพูดถึงว่าจั๋วเฮ่ออิงไปหาเซี่ยอวิ๋นซี แล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไรจั๋วซือหรานแม้จะไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่ก็มีความรู้สึกรักอย่างจริงใจต่อเซี่ยอวิ๋นซีด้วยความเข้าใจต่อตัวเซี่ยอวิ๋นซีของนาง จั๋วซือหรานรู้สึกว่า เซี่ยอวิ๋นซีเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งในการที่นางสามารถเลี้ยงลูกสองคนจนโตได้เพียงลำพังก็มองออกได้ไม่ยากคนแบบนี้ ในสถานการณ์ปกติขีดจำกัดจะชัดเจนมากนางจะอ่อนโยนกับคนของตนเอง แต่มีนิสัยที่แข็งกร้าวในสายตาไม่อาจทนเห็นสิ่งไม่ดีได้ ยอมหักแต่ไม่ยอมงอตอนที่นางรักจั๋วเฮ่ออิงก็คือรักจริงๆ ถ้าหากไม่มีลูกน้อยสองคนคอยรั้งนางไว้ นางคงฆ่าตัวตายตามจั๋วเฮ่ออิงไปตั้งแต่ตอนรู้ว่าเขาตายแล้วแต่พอมีตัวตนอย่างสุ่ยจิ้งหลาน เซี่ยอวิ๋นซีก็ไม่แน่ว่าจะอดทนต่อจั๋วเฮ่ออิงได้อีกตอนที่ไม่รัก ก็อาจจะไม่รักได้จริงๆแต่แล้วทำไมล่ะ แค่จั๋วเฮ่ออิงไปบอกเรื่องของนาง ด้วยนิสัยของเซี่ยอวิ๋นซี ต่อให้ฟ้าถล่มก็คงจะรีบมาหาอยู่ดีจั๋วซือหรานถอนห
ตอนนี้ จั๋วซือหรานเห็นหน้าตนเองในน้ำได้เห็นสภาพของตนเองชัดๆ ดีขึ้นมากแล้วจริงๆแต่นางยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าสภาพของตนเองก็กำลังแย่ลงอย่างรวดเร็วดังนั้น ตนเองตอนนี้...อยู่ห่างจากชายคนนั้นไม่ได้จริงๆถ้าแค่ห่างจากชายคนนั้น ตนเองก็อาจจะทนต่อไปไม่ไหว แล้วกลับไปอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้อีก นั่นมันอันตรายเอามากๆส่วนตนเองถ้าหากยังตามชายคนนี้อยู่ตลอดล่ะก็...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว ในใจก็อดคิดไม่ได้ ตอนนี้ตนเองอย่างน้อยยังพอทนไหว ไม่ต้องตัวติดกับเขาตลอดเวลาก็ได้แต่...นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นนะจั๋วซือหรานเป็นคนที่เตรียมพร้อมล่วงหน้าอยู่เสมอ นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อยเบาๆในใจยังคิดขึ้นอย่างกังวล ถ้าหากอายุครรภ์มากขึ้น สถานการณ์แบบนี้ก็น่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยถึงตอนนั้นหากตนเองต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาถึงจะรักษาสภาพให้คงที่ได้ล่ะ?ถ้าตนเองเป็นอย่างที่เขาบอกล่ะ ที่ว่าต้องการแสงแดดแล้วในเวลากลางวันแบบนั้น...คนนึงต้องการแสงแดด แต่อีกคนกลับถูกแสงแดดทำร้ายสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆนางผ่อนคลายลงหน่อย แต่เขากลับทรมานขึ้นมาถ้าพอนางทรมาน เขาถึงจะผ่อนคลายลงมาได
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย