เหล่าชายชราตระกูลซางเองก็คิดไม่ถึง จั๋วซือหรานจะเอ่ยปากเพื่อซางถิงแบบนี้พวกเขามองซางถิง แล้วก็มองนางจากนั้นก็มีสายตาหยามหมิ่นเผยออกมาราวกับว่าจั๋วซือหรานกับซางถิงคบกันอย่างนั้น และพวกเขาก็รู้สึกว่าไม่แปลกอะไร เพราะล้วนเป็นพวกที่ตระกูลทอดทิ้งมาทั้งคู่ จึงต่างเห็นอกเห็นใจกันการจะมาอยู่ด้วยกันมันก็เป็นเรื่องปกติจั๋วซือหรานสังเกตในสายตาสกปรกของพวกเขา ไม่ใช่ว่าอ่านไม่ออกถึงความคิดในใจพวกเขาเพียงแต่ นางขี้เกียจจะอธิบายถ้าหากสนใจความคิดของคนพวกนี้ รีบร้อนอธิบายกับคนพวกนี้ เช่นนั้นตนเองก็จบ เสียสองชาติไปเปล่าๆ กันพอดีจั๋วซือหรานแค่มองพวกเขาเงียบๆ ยิ่งสายตาของนางยิ่งสงบลงแค่ไหน สายตาที่เต็มไปด้วยความดูถูกและสงสัยของพวกเขา ก็ยิ่งดูสกปรกมากขึ้น"คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะร้องขอเช่นนี้มา" ชายชราตระกูลซางคนหนึ่งเอ่ยขึ้น "โอกาสดีเช่นนี้ กลับไม่ขออะไรให้ตนเอง แต่กลับขอเพื่อชายหนุ่ม...มิน่าตระกูลเฟิงถึงได้ดูถูกเจ้า"จั๋วซือหรานไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ เลิกคิ้วขึ้น กระทั่งยังยิ้มจางๆ เอ่ยมาว่า "ไม่มีใครถามเจ้า พวกเจ้าแค่ตอบว่าได้หรือไม่ได้"ขณะพูด นิ้วของจั๋วซือหรานก็กระดิกซางเชวี่ยกรีดร้องข
แต่ว่าสสีหน้าจั๋วซือหรานยังคงนิ่งอยู่"ท่าทางของพวกเจ้า เหมือนว่าข้าไปหาเรื่องพวกเจ้าเสียอย่างนั้น"จั๋วซือหรานมองพวกเขา "พวกเจ้าไม่คิดว่ามันตลกหรือ? เป็นพวกเจ้าที่พาคนมาล้อมข้าไว้ ละโมบต่อความสามารถของข้า แล้วยังคิดจะป้ายสีว่าข้าไปขโมยความสามารถของตระกูลพวกเจ้ามา""ก็แค่ขยะกองหนึ่ง ทำไมข้าจะต้องไปขโมยความสามารถตระกูลพวกเจ้าด้วย? ตอนที่พวกเจ้าพาคนมาข่มเหงคนอื่น พวกเจ้าไม่คิดบ้างว่าการทำเรื่องร้ายๆ นั่นมันผิด""ตอนนี้พอโดนข้าโต้ สถานการณ์กลับตาลปัตร พวกเจ้าก็คิดว่าข้าหาเรื่องพวกเจ้า รู้สึกว่าพวกเจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างนั้นหรือ?""นี่มันสองมาตรฐานอะไรกัน? พวกเจ้าแท้ๆ ที่มายั่วโมโหข้า พอสู้ไม่ได้ ก็เริ่มทำว่าตัวเองอ่อนแอ คิดจะหันมาโทษข้าอย่างนั้นหรือ?"จั๋วซือหรานพูดพลางหัวเราะขึ้นเบาๆ "ข้าไม่สนใจหรอก ก่อนหน้านี้ข้าพูดไว้แล้ว ว่าจั๋วซือหรานอย่างข้าศัตรูเยอะ จะมีพวกเจ้าเพิ่มมา ก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไร""พวกเจ้าคิดจะหาเรื่องข้า ก็ได้ ถ้าข้าจะเด็ดหัวลูกหลานที่น่าภาคภูมิใจของพวกเจ้าสักคน ก็คงไม่ผิดอะไร"คำพูดของจั๋วซือหราน ทำให้พวกเขาหาคำมาโต้แย้งไม่ได้ไปชั่วขณะอันที่จริง ถ้าห
สายตาของซางเชวี่ยมองจั๋วซือหราน "งูของข้า...สัตว์อสูรของข้า..."นางพูดซ้ำมาอีกครั้งเหล่าชายชราตระกูลซางล้วนมีปฏิกิริยากันขึ้นมา ทยอยกันมองไปทางจั๋วซือหรานถ้าหากพูดว่าก่อนหน้านี้พวกเขาไม่อยากจะยุ่งกับหญิงสาวที่บ้าบิ่นคนนี้อีกแล้ว แค่ตั้งใจจะพาคนของตัวเองออกมาแต่ตตอนนี้กลับจำใจต้อง..."ใช่แล้ว แม่นางจั๋วจิ่ว สัตว์อสูรของซางเชวี่ย ส่งคืนกลับมาเถิด" เหล่าชายชราตระกูลซางทำท่าทีเหมือนว่ามันควรเป็นเช่นนั้นจั๋วซือหรานมองพวกเขา "สัญญาที่ข้าทำไว้กับพวกเจ้า มีแค่ตัวซางเชวี่ยเท่านั้นนะ"เหล่าชายชราตระกูลซางถลึงตาโต "เจ้า...หมายความว่าอย่างไร? เจ้า0คิดจะขโมยสัตว์อสูรของพวกเราไปหรือ?!"จั๋วซือหรานตอบ "คำพูดนี้นี่จริงๆ เลย...ขโมยอะไรกัน?""แบบนี้ไม่เรียกขโมยหรือไรกัน?" ชายชราตระกูลซางถลึงตามองนางแต่จั๋วซือหรานก็ยิ้มตาหยี "ข้าขอเน้นย้ำหน่อย ซางเชวี่ยเป็นเชลยของข้า เชลยหมายถึงอะไร พวกเจ้าเข้าใจใช่ไหม?"พอได้ยินคำพูดจั๋วซือหราน ชายชราตระกูลซางจู่ๆ ก็เข้าในสิ่งที่นางแสดงออกมาแล้วเพราะซางเชวี่ยเป็นเชลย สิ่งของบนตัวเชลย ก็จะตกเป็นสินสงครามของผู้ชนะเคยได้ยินแต่ไถ่ตัวเชลยคืน ให้คนไว้ชีวิต
คนของตระกูลซางม่านตาหดลง ทยอยกันมองออก ว่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้ล้วนเป็นของซางเชวี่ยและเป็นอย่างที่จั๋วซือหรานบอกจริงๆ เนื่องจากถูกซางเชวี่ยเปิดช่องพลังแล้วสูดรับ ทำให้พวกมันมีสภาพอ่อนแอมากสายตาที่จืดจางของจั๋วซือหรานมองพวกเขา "พวกเจ้าไม่ใช่บอกว่าแค่ข้าให้พวกมันออกมาจากถุงเก็บสัตว์ พวกมันก็จะกลับไปหาเจ้านายหรอกหรือ?"จั๋วซือหรานถามคำนี้ออกมา คำพูดนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาเพิ่งพูดออกมาเองจริงๆแต่ก็ไม่รู้เพราะอะไร เวลานี้ ตอนที่ออกมาจากในปากของจั๋วซือหรานพวกเขากลับไม่กล้าที่จะพยักหน้าอย่างประหลาดจั๋วซือหรานมองพวกเขาแล้วเชิดคางขึ้น เอ่ยขึ้นว่า "เช่นนั้นพวกเจ้าก็ลองมองดู พวกมันถ้ายอมไปกับพวกเจ้า พวกเจ้าก็เอากลับไปเลย"พอคำพูดนี้ออกมา เหล่าชายชราตระกูลซางก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ล้วนมองไปทางซางเชวี่ย บอกกับนางเสียงต่ำว่า "เชวี่ยเอ๋อร์ เร็ว เก็บสัตว์อสูรของเจ้ากลับไปเถอะ!"ซางเชวี่ยพยักหน้า ประกบปางในมือขึ้นมาแต่เพียงไม่นาน สีหน้าของนางก็ยิ่งเคร่งขรึม ยิ่งตกใจหวาดกลัวขึ้นเรื่อยๆ "ทำ...ทำไม? เพราะอะไร? ทำไมจึงเป็นเช่นนี้? เจ้าทำอะไรลงไป?! จั๋วซือหรานเจ้าทำอะไรลงไป?!"จั๋วซือหรา
ตอนที่คนตระกูลซางเดินออกมาจากเรือนของจั๋วซือหราน ล้วนหน้านิ่วคอตก ไม่ได้ดูน่าเกรงขามเหมือนก่อนหน้านี้แล้วและตอนนี้เอง พวกเขาก็เห็นรถม้าหลายคัน ค่อยๆ หยุดลงที่ประตูเรือนของจั๋วซือหรานบนรถม้าถึงแม้จะไม่มีตราสัญลักษณ์ชัดเจน แต่คนรถม้าอยู่ในชุดของตระกูลเฟิงเห็นพวกเขาลงจากรถม้าเหล่าชายชราตระกูลซางรู้สึกสนใจ ถามขึ้นว่า "พวกเจ้ากำลัง...? ตระกูลเฟิงมาหาเรื่องจั๋วจิ่วหรือ?"คนขับรถม้ามองพวกเขา ตอบว่า "ซื่อจื่อของพวกเราเอาของขวัญมาส่งให้แม่นางจั๋วจิ่วน่ะ"เหล่าชายชราตระกูลซาง "..."พวกเขารีบร้อนออกไป ก่นด่าเสียงต่ำ "ใครบอกกันว่าตระกูลเฟิงกับจั๋วจิ่วเป็นเหมือนน้ำกับไฟ?! พูดจาเลอะเทอะจริงๆ! นี่คนเขายังรีบเอาของขวัญมาส่งด้วยซ้ำ! ตอนนี้ใครก็ไม่กล้าไปยั่วโมโหจั๋วจิ่วกันแล้ว! ให้ตายเถอะ มีแต่พวกเรานี่ล่ะที่เอาหน้ายื่นส่งไปให้!"ซางเชวี่ยคอตก บนใบหน้าที่อ่อนแรงมีความกลัดกลุ้ม เธอก็ก็บอกไม่ถูกว่ารู้สึกเคียดแค้นหรือรู้สึกอะไรกับจั๋วซือหราน แต่ที่รู้สึกสำนึกเสียใจนั้นเป็นเรื่องจริง ถ้ารู้แต่แรก คงไม่เข้าไปยั่วโมโหคนผู้นี้แล้วนางมีฝีมือในการควบคุมสัตว์เสียด้วย...ถ้าหากไม่ไปยั่วโมโหนาง แล้วเข้
ทั้งที่ตอนก้าวเดินก่อนหน้านี้แทบจะทนไม่ไหวแล้วแท้ๆ ทว่าตอนนี้ กลับนิ่งไปเสียแล้วตอนนี้เอง ซางถิงก็ตั้งตัวกลับมาได้แล้วว่าตนเองพูดอะไรออกไปหน้าของเขาแดงหนักกว่าเดิม หางตาก็เลยแดงขึ้นไปอีก เขารีบโบกมือพูดว่า "ข้า ความหมายของข้าคือ...ข้าเองก็จะทำเหมือนเจี่ยงเทียนซิงกับเฮยหลิงแบบนั้น! ที่คอยเป็นกำลังให้เจ้า!""อา อย่างนี้นี่เอง" จั๋วซือหรานหัวเราะ "ก็ไม่ใช่ไม่ได้นี่นา..."จั๋วซือหรานพูดพลางแหงนตาขึ้นเล็กน้อย และเห็นฉุนจวินที่ประตูจั๋วซือหรานสายตาชะงักไป เสียงหยุดลงทันทีแน่นอนว่ามองเห็นร่างสูงใหญ่ที่คลุมไว้ตั้งแต่หัวจรดเท้าข้างๆ ฉุนจวินด้วยเช่นกันอ๊ะโอ้ จั๋วซือหรานคิดในใจ แย่แล้วร่างสูงใหญ่ที่คลุมไว้ด้วยเสื้อคลุมหนาตั้งแต่หัวจรดเท้าร่างนั้น เหมือนจะมีปฏิกิริยาขึ้นมา หมุนตัวเดินออกไปด้านนอกฉุนจวินรีบร้อนตะโกน "เอ๊ะ ท่านรอข้าด้วย!"ฉุนจวินไล่ตามมาจั๋วซือหรานเองก็ก็กระโดดเหยงๆ ไล่ตามออกไปวิชาของเขาก็รวดเร็วอยู่ วิชาที่ปราดเปรียวของจั๋วซือหราน ตอนที่ไล่ตามมา เขาก็มุดเข้าไปในรถม้านอกประตูแล้วจั๋วซือหรานรีบตามเข้าไปตอนที่หย่อนก้นเข้าไปในรถม้า เพราะรีบขยับตัวเกินไป ก้นเลยเ
"ที่ข้าคิดน่ะหรือ?" จั๋วซือหรานทวนซ้ำคำพูดก่อนหน้าของเขามาอีกรอบจากนั้นจึงยิ้มจนตาพญาหงส์โค้งหวาน เปล่งประกายเสน่ห์ที่ดึงดูดถึงจิตใจนางเอ่ยต่อว่า "ถ้าให้ข้าพูด ท่านต้องหึงแล้วแน่ๆ เลย""เจ้ายังดูอารมณ์ดีอีกนะ" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นอย่างจนใจจั๋วซือหรานไม่ได้ปฏิเสธ นางหัวเราะตอบว่า "ข้าไม่ดีใจได้หรือ? ท่านอ๋องหึงหวงเลยนะ นี่ก็เป็นสิ่งยืนยันว่าสนใจข้าไง"จั๋วซือหรานนึงเพิ่งลุกขึ้นนั่งตัวตรง เปิดเสื้อคลุมของเขาออก พิจารณาสถานการณ์กับตัวเขายื่นมือไปกุมข้อมือเขาแน่น จับชีพจรให้เขา"หลังจากท่านกลับไป พวกเขายังทำร้ายท่านอีกไหม?" จั๋วซือหรานถามแม้ดูจากสภาพและชีพจรของเฟิงเหยียนแล้ว ยังไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่ก็ยังไม่ค่อยวางใจ จึงถามขึ้นตรงๆเฟิงเหยียนตอบ "ขอแค่ข้ากลับไป ยังจะมีใครกล้าทำอะไรข้า ข้าไม่ทำอะไรพวกเขาก็ดีแค่ไหนแล้ว"เฟิงเหยียนตอบพลางยื่นมือไปจัดทรงผมที่แก้มของเธอ ทัดไปที่หลังใบหูเขาก้มหน้าลงมองจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานไม่ต้องเงยหน้าสบตาเขา ก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่ลึกซึ้งของเขาเหมือนเป็นความอ่อนโยน และเหมือนจะเป็นความรู้สึกลึกซึ้งกว่าความอ่อนโยน"ไม่ทำอะไรท่านก็ดีแล้ว" จั๋วซ
"มาสิ เพราะคิดถึงเจ้ามาก" เฟิงเหยียนเอ่ยเสียงขรึมคำพูดของผู้ชาย ไม่มีน้ำเสียงอะไรที่ดูเกินจริงเป็นพิเศษ เสียงทุ้มนุ่มที่ค่อยๆ พูดออกมา คำพูดสั้นๆ ง่ายๆ นี้ กลับมีความหมายที่ลึกซึ้งและน่าสนใจ ทำเอาใจของนางหนักอึ้งขึ้นมาทันทีอัดแน่นไปหมด"ข้าจะคิดหาวิธีต่อ ดูว่าสถานการณ์ของท่านจะจัดการอย่างไร ข้ามีวิธีการอยู่เสมอนั่นล่ะ จะต้องหาวิธีได้แน่" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นเฟิงเหยียนขานรับอืม เสียงฟังแล้วดูอ่อนนุ่ม เขาเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจกับอาการบาดเจ็บของตัวเองสักเท่าไรไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ไม่ต้องสน ตอนนี้ได้นั่งด้วยกันกับนาง ให้นางได้พิงไหล่ตนเอง แค่นี้ก็ดีมากแล้วจั๋วซือหรานพิงบนไหล่เขาไม่ค่อยสบายนัก จึงขดตัวเข้าไปในอ้อมกอดเขาหลังจากเปลี่ยนไปอยู่ในท่าที่สบายหน่อย ถึงได้เริ่มคุยกับเขาเรื่องธุรกิจโรงเตี๊ยมในวันนี้นางเอาแผนของตนเองเล่าออกมารอบหนึ่งหลังจากเฟิงเหยียนได้ยิน ก็ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ถามขึ้นว่า "ทำไมอยากจะทำโรงเตี๊ยมโรงน้ำชาขึ้นมาล่ะ?""ก็ไม่มีอะไร แค่รู้สึกว่า คงต้องค่อยๆ ทำเครือข่ายข่าวสารของตนเองให้ดีหน่อย" จั๋วซือหรานตอบ "ทำโรงเตี๊ยมเป็นทิศทางที่ไม่เลว ปิดบังหูตาได้ด้วย"
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"