วินาทีต่อมาเขาจึงรู้สึกถึงความเจ็บปวดของคมแหลมส่งเข้ามาจากคอ ม่านตาเขาหดลง ดวงตาเบิกกว้างขึ้นแต่เพียงไม่นาน เขาก็รู้สึกได้ว่าที่ขยายออกมาจากความเจ็บปวดของคมแหลมนั่นไม่ใช่ความเจ็บปวด แต่เป็นความชาความรู้สึกด้านชานั้น แจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ เหมือนจะไม่เจ็บแล้วเขาตะลึงไปหน่อยๆ เหมือนไม่ค่อยเข้าใจกับเรื่องนี้นักจั๋วซือหรานวางเข็มฉีดยาลงไปข้างๆ หยิบมีดผ่าตัดเล่มหนึ่งออกมา ขยายบาดแผลที่ถูกธนูแทงทะลุบนคอฉุนจวินให้กว้างขึ้นพอทั้งสองด้านกว้างขึ้นหน่อยแล้ว จากนั้นจึงโรยยาห้ามเลือดลงไปบนแผลอย่างหนา แล้วจึงเริ่มดึงลูกศรออกลูกศรถูกดึงออกทีละนิดตอนที่ลูกธนูครึ่งดอกด้านซ้ายถูกดึงอกมา จั๋วซือหรานเดิมทีคิดว่าเลือดจะพุ่งออกมา จึงเตรียมพร้อมการรักษาเขาไว้แล้วแต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด หลังจากที่ตนเองดึงลูกธนูออกมาแผลบนคอของฉุนจวิน เลือดกลับหยุด แผลผสานเข้ามาด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าพอเห็นฉากนี้ ตาของจั๋วซือหรานก็ถลึงตาโตขึ้นนางเป็นคนที่มือนิ่งมาตลอด แต่ตอนนี้กลับสั่นระริกขึ้นมานางสงบมือของตนเองลง จากนั้นจึงดึงลูกศรออกจากคออีกด้านจองฉุนจวินและเป็นไปตามคาด เป็นเหมือนกับอีกด้านไ
ซางถิงตอบ "ไม่มีใครมีข้อมูลเลย แค่พูดกันว่าเหมือนมีรถม้าหลายคนจอดอยู่ตรงนั้น ต่อมาก็มีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา ขับรถม้าพวกนั้นออกไปแล้ว""เฟิงเหยียนล่ะ" จั๋วซือหรานถามขึ้นซางถิงส่ายหัว "ไม่ได้ยินว่ากลับไปที่บ้านเลย""แล้วคนที่ขับรถพวกนั้นออกไปคือใครกัน? มีเบาะแสบ้างมั๊ย" จั๋วซือหรานถาม"ไม่มีเลย" ซางถิงคิดๆ เอ่ยต่อมาว่า "พอข้าคิดๆ ก็เลยไปหาข่าวที่ประตูเมืองมา รู้แค่ว่า มีรถม้าของตระกูลเฟิงออกไปแล้ว""ได้ ข้ารู้แล้ว ขอบคุณเจ้ามาก" จั๋วซือหรานพอฟังถึงจุดนี้ ก็ร้องเชอะหัวเราะขึ้นเสียงเย็นชานางสะบัดชายเสื้อ หมุนตัวเข้าไปในห้องฉุนจวินกำลังเขียนหนังสือ บนหน้าผากมีเหงื่อผุดซึมจั๋วซือหรานเดินเข้าไปพลางถามขึ้นว่า "คนที่จับนายท่านเจ้าไป คือคนของตระกูลเฟิงใช่ไหม?"ฉุนจวินพอได้ยินคำนี้ ก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว จากนั้นก็พยักหน้าตอบเบาๆเขาก้มหน้า สีหน้ารู้สึกผิดมาก เขารีบเขียนกระดาษอย่างรวดเร็ว ยื่นส่งไปให้จั๋วซือหรานจั๋วซือหรานกวาดมองผาดหนึ่ง ก็เห็นเนื้อหาที่เขียนว่า "คุณหนูจิ่ว ผิดที่ข้าเอง เพราะข้าบาดเจ็บ นายท่านเพื่อช่วยชีวิตข้า จึงเอาพลังวิญญาณที่ท่านให้ไปทั้งหมดส่งมาให้ข้า จากนั้นเขาก็
เดิมทีฉุนจวินคิดว่า นางมีสายตากับน้ำเสียงเช่นนั้น ก็เพราะยังไม่มีเบาะแสอะไรแต่ใครจะรู้ ว่าพริบตาต่อมา เขาก็อ่านออกถึงความเด็ดเดี่ยวกับจิตสังหารถึงที่สุดใน...ดวงตาแม่นางจิ่ว"หลังจากนั้นข้าก็จะเริ่มสังหารคน" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นเสียงเรียบฉุนจวินรู้สึกแค่ว่าแผ่นหลังเย็นวาบ เขาเองก็พูดไม่ออกว่าเพราะอะไรถึงรู้สึกแบบนี้ แต่มันไม่ใช่ความกลัวทว่าแปลกมาก เขาไม่กลัวจั๋วซือหราน แต่กลับสันหลังวาบจากคำพูดนี้ของจั๋วซือหราน คล้ายกับความยำเกรงต่อผู้แข็งแกร่งอะไรแบบนั้น..."ข้าจะดูว่าต้องสังหารคนแค่ไหน พวกเขาถึงจะคืนคนให้ข้า" จั๋วซือหรานสายตายังคงเหม่อไปไกล แต่จิตสังหารในสายตา ยังคงไม่จางหายนางเอ่ยต่อมาเสียงเรียบ "พวกเขาไม่ใช่คิดจะให้ข้าโกรธหรือ ตอนนี้ข้าโกรธแล้ว ข้าจะดู ว่าพวกเขาจะแบกรับความโกรธของข้าได้ไหม"จั๋วซือหรานพูดประโยคนี้จบ ก็บอกกับฉุนจวินคำหนึ่งว่า "เจ้าเขียนสิ่งที่ควรเขียนมาเถอะ แล้วก็รักษาตัวให้ดี ข้ามีเรื่องต้องออกไปข้างนอกหน่อย เพิ่งนึกออก ว่าก่อนที่จะเก็บพวกตระกูลเฟิงนี่ยังมีคนอื่นที่ต้องไปจัดการอยู่"ฉุนจวินรีบเขียนขึ้นมา: ใครหรือขอรับ?จั๋วซือหรานเอียงตามองเขา ถามขึ้นว่า
พวกเขาเพิ่งกระโจนออกมา ก็เห็นว่าในมือจั๋วซือหรานเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วราวกับเล่นกลเจ้าของสีดำที่ส่งเสียงกัมปนาทลั่นท้องฟ้าก่อนหน้านี้หายไปแล้ว ตอนนี้ในมือของนางมีดาบคู่เข้ามาแทน!พริบตาต่อมาร่างของนางก็หายไป"เร็ว! จัดการนางให้ได้!" คนที่ส่งเสียงขู่จั๋วซือหรานเมื่อครู่ รีบร้องขึ้นมาอีกครั้งแต่ว่า องครักษ์เงากับคนคุ้มกันของจวนตระกูลเฟิงเหล่านั้น ก็ไม่สามารถใช้สายตาจับร่องรอยจั๋วซือหรานได้เลยตอนที่พวกเขายังพยายามค้นหาร่องรอยจั๋วซือหรานในเรือน ใครก็ไม่ทันสังเกต ว่าจั๋วซือหรานปรากฏขึ้นด้านหลังคนที่ตะโกนขึ้นเมื่อครู่แล้วคนผู้นี้เดิมทียังเหลียวซ้ายระวังขวาอยู่ พิจารณารอบๆ อย่างระมัดระวัง คอยมองว่าปีศาจหญิงคนนั้นอยู่ที่ไหนแต่กลับไม่สังเกตเลย ว่าร่างที่ราวกับเป็นภูติผีปรากฏขึ้นมาด้านหลังเขา หลังจากนั้นดาบเล่มหนึ่ง ก็เหวี่ยงเข้าที่หลังคอเขาพาดอยู่บนคอหอยเขา"อั่ก..." เสียงของเขาชะงักไปฉับพลัน จากนั้นจึงมีเสียงสั้นๆ ดังออกมาเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่เย็นเฉียบแนบอยู่กับผิวหนังของตนเองคนอื่นๆ ที่ยังค้นหาคนอยู่ในเรือน กลับยังไม่ทันสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงทางนี้ใ
เหมือนมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีพริบตาต่อมา เขาก็ได้ยินเสียงจั๋วซือหรานที่อยู่ด้นหลัง เป่าปากดังขึ้นมาสายตาทั้งหมดหันไปทางนางทันที!พริบตาต่อมา สายตาทั้งหมดก็ตกตะลึงไป!เพราะพวกเขาเห็นหญิงสาวที่ราวกับเป็นภูตผีคนนี้ นางที่สวมชุดสีแดงราวกับเพชรฆาตที่จ้องเอาชีวิตใช้ดาบเล่มหนึ่งแทงเข้าไปในคอคนคนนั้น!เลือดสดพุ่งกระฉูด สาดกระเซ็นไปทั่ว มีหยดเลือดกระเด็นไปบนหน้านางด้วยผิวขาวนวลของนางค่อยๆ กลายเป็นสีแดงจัดเขาจ้องมองคนเหล่านี้เขม็ง ปากยิ้มโค้งขึ้นมา เผยฟันขาวสะอาด สวยงามจนยากจะเปรียบเทียบ แต่ในสายตาของศัตรูแล้ว มันกลับเป็นความหวาดผวานางบอกจะสังหารก็สังหารจริงๆยิ่งไปกว่านั้นยังแจ้นมาสังหารคนถึงในจวนชาวบ้านเข้าอีก!วินาทีต่อมา ร่างของนางก็หายไปเพียงไม่นาน ก็มีคนล้มลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้มีแผลถึงกับชีวิต แต่ที่ล้มลงไป ส่วนใหญ่คือบาดเจ็บสาหัส!หญิงสาวคนนี้ ตอนที่รักษา ก็ราวกับแย่งชีวิตจากยมทูต แต่พอสังหารคนขึ้นมาก็ราวกับเป็นเทพแห่งความตายที่ลงมาเก็บเกี่ยวชีวิตคนติ๋ง ติ๋ง...เลือดสดหยดลงมาจากปลายดาบนางอี้ชิงพบว่า ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ คนที่คอยซุ่มโจมตีจั๋วซือหรานในเรือน ทยอยกันล้
ยาลูกกลอนไหลลงไปในคอเขาอย่างรวดเร็ว!อี้ชิงถลึงตาโต เสียงแหบพร่า "เจ้าให้ข้า...กินอะไรลงไป?!"เขาได้ยินเสียงหัวเราะเย็นชาของจั๋วซือหราน ราวกับได้ยินเสียงทุ้มต่ำมาจากนรก!"ก็แค่ของเล่นที่น่าสนใจบางส่วนน่ะ น่าจะทำให้ประสาทสัมผัสของเจ้าดีขึ้นมาหลายเท่าตัวกระมัง" จั๋วซือหรานหัวเราะเย็นชา "กระดูกบนตัวมนุษย์มีสองร้อยหกชิ้น มีให้พวกเราเล่นสนุกเหลือเฟือเลย"พอพูดจบคำนี้วินาทีต่อมา ความเจ็บปวดวูบหนึ่งก็ระเบิดขึ้นบนขาเขา!"อ๊าค...!" อี้ชิงคุกเข่าลงกับพื้นแต่การเคลื่อนไหวของจั๋วซือหรานกลับไม่ได้หยุดที่การคุกเข่าลงของเขานางแทบจะเป็นมีดชอนไชไปตามร่องกระดูกเลยทีเดียว บีบกระดูกบนตัวเขาทิ้งไปทีละท่อนๆไม่ได้ใช้อุปกรณ์อะไร แค่มือเรียวของนางเท่านั้น แต่กลับรู้สึกว่าโหดร้ายยิ่งกว่าคีมเสียอีก!และอี้ชิงเองก็ได้ลิ้มรสสิ่งที่นางพูดไว้...ความเจ็บปวดหลายเท่าสติของเขาก็แทบจะไม่เหลือแล้วเลือดในปากเขาไหลลงมาจากคาง มองแล้วดูซมซานน่าเวทนาราวกับว่ากระทั่งสติสัมปชัญญะก็ค่อยๆ หายไปแล้วแต่ว่าก็ค่อยๆ ฟื้นฟูสติสัมปชัญญะกลับมาด้วย และในช่วงเวลาสั้นๆ ที่สติกลับคืนมา เขาก็พูดตะกุกตะกักกับจั๋วซือหราน "ไว้
นี่เกือบจะตัดขาของนางออกมาอยู่แล้วเพราะว่าพวกเขา...รู้ว่าวิชาเคลื่อนไหวของนางยอดเยี่ยม ถนัดการส่งข่าว กลัวว่านางจะเอาข่าวไปรายงานกับเฟิงเหยียนหรือจั๋วซือหรานดังนั้นจึงทำให้ขานางบาดเจ็บสาหัสเสีย ยิ่งกว่านั้นยังส่งนางเข้ามาขังในคุกใต้ดิน แล้วยังเป็นห้องขังที่น้ำท่วมอีกตอนนี้ ขาของนางแช่อยู่ในน้ำสกปรกของคุกใต้ดิน เจ็บปวดขึ้นมาเป็นระยะ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังรู้สึกว่าตนเองกำลังตัวร้อนสถานการณ์แย่ลงทุกที ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป คงต้อง...ตายแน่ๆตนเองตายไม่ไม่มีอะไรต้องกลัว แต่ยังไม่ทันได้รายงานกับนายท่าน ยังไม่ได้รายงานกับแม่นางจิ่ว...ถ้าหากต้องตายไปเช่นนี้ นางไม่ยอม นางตายตาไม่หลับ!ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าพวกพ้อง แต่ละคนล้วนแข็งแกร่งกล้าหาญ ตอนนี้ก็ถูกขังกันอยู่ในคุกใต้ดินนี่มัน...ปัง!ตอนที่หานกวงถูกไข้ความร้อนทำให้มึนงง ในใจทั้งโกรธแค้นและเสียใจเสียงหนึ่งก็ดังลอดเข้ามาน่าจะเป็นด้านนอกคุก แต่ว่าต่อให้อยู่ในคุก ก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน!เสียงนี้ดังมาก สะเทือนขึ้นมาจนนางได้สติเดิมทีสมองที่ยังมึนงงเพราะความร้อน ตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็นกระจ่างขึ้นมาแล้วพอควรหานกวงตกตะลึงขึ้นมา จากนั้น
จั๋วซือหรานยืนอยู่ที่ประตูคุก เห็นเหล่าองครักษ์เงาถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน แต่ละคนล้วนบาดเจ็บ ดูแล้วเพราะขัดขืน จึงเจอกับการปฏิบัติเช่นนี้จั๋วซือหรานเดินลงไปจ้านหลูกะเผลกออกมารับ"แม่นางจิ่ว ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? พวกเขาไม่ได้ซุ่มโจมตีท่านหรือ?" จ้านหลูขมวดคิ้วถาม ฟังแล้วเหมือนจะกังวลความปลอดภัยของจั๋วซือหราน ทั้งที่สภาพของตัวเองย่ำแย่ขนาดนี้องครักษ์เงาคนอื่นเองก็ทยอยกันถามข้น "ใช่เลย อันตรายมากจริงๆ พวกเราอยู่ในนี้ ถึงอย่างไรก็ไม่ตายหรอก ท่านทำไมต้องเสียงตัวเองขนาดนี้""นายท่านของพวกเจ้าถูกจับไปแล้ว" จั๋วซือหรานมองพวกเขาพอนางพูด องครักษ์เงาทั้งหมดล้วนถลึงตาค้าง มีบางคนตาแดงก่ำขึ้นมา"คอของฉุนจวินถูกธนูดอกหนึ่งปักจนทะลุ..." จั๋วซือหรานยืนมือไปปิดที่ตำแหน่งคอตอนนี้กระทั่งเสียงของจ้านหลูก็ยังแหบพร่าปนสะอื้นขึ้นมา "หัวหน้าเขา...ตายแล้วหรือ?"บรรยากาศ ดิ่งวูบลงมาทันทีในคุกใต้ดินเดิมทีก็อึมครึมอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งมืดมนขึ้นไปอีกจั๋วซือหรานจุ๊ปาก ยกมือจิ้มไปที่หัวของจ้านหลู "นายท่านของพวกเจ้าเพื่อจะช่วยชีวิตฉุนจวิน ถึงได้ถูกจับตัวไป แล้วข้าจะปล่ยอให้ฉุนจวินเป็นอะไรได้อย่างไร ยังไม
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"