พวกมันล้วนโมโหกัน"ปล่อยข้าออกไป! ข้าจะกัดเขาให้ตายไปเลย!" งูเพลิงเงินเอ่ยขึ้นขนมถั่วแดงเป็นพวกนิสัยหัวรุนแรง "ข้าจะไปฝังไหมกู่ให้เต็มตัวเขาเลย!"กระทั่งราชาแมงมุมหน้าผีที่สุขุมที่สุด ก็ยังพูดว่า "ข้าจะให้เขาได้เจอกับรสชาติของการถูกชำแหละจนตาย"พวกมันเจื้อยแจ้วอยู่ในสมองนาง แต่กลับบรรเทาอารมณ์ของจั๋วซือหรานลงได้ระดับหนึ่งหลังจากเข้ามาในสวนชิวอี ถึงแม้นางจะเดินเพียงคนเดียวแต่ก็มีคนเข้ามาใกล้นาง ทว่าไม่ได้มีเจตนามาหาเรื่องนางผ่านเรื่องไปมากมาย คนเราก็เรียนรู้ที่จะทำตัวให้ว่าง่ายขึ้นไม่น้อย ต่อให้จะไม่ชอบนาง ก็จะไม่ยั่วโมโหนาง ถึงอย่างไร ถ้าไปยั่วโมโหความยุ่งยากใหญ่นี้เข้า ไม่ใช่ตัวเลือกที่ฉลาดนักแน่นอนคนที่เข้ามาหานางก็เพื่อจะมาสร้างความสนิทสนมกับนาง"แม่นางจิ่ว ได้ยินว่าช่วงนี้ท่านร่วมมือกับตระกูลฮั่ว ใช้ยาลูกกลอนขั้นสี่เป็นสิ่งแลกเปลี่ยน ไม่ทราบว่าอยากจะมาร่วมมือกับข้าบ้างไหม?""จริงด้วย ขายยาลูกกลอนเหล่านั้นให้พวกข้าบ้างก็ได้นะ"ถึงอย่างไรยาลูกกลอนขั้นสี่หลายครั้งก็ราคาสูงมากจนขายไม่ได้ในเมืองหลวง ต้องนำไปประมูลกัน การประมูลก็ดูไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนด้วย ไม่รู้ว่าจะมีคนโง
"ข้าก็แค่คิดไม่ถึง เจ้ารู้อยู่แล้วว่าเป็นแผนแต่ก็ยังกล้ามา นี่มันพูดว่าหยิ่งยโสไม่ได้แล้ว แต่เป็นโง่เขลาต่างหาก"จั๋วซือหรานได้ยินคำพูดเขา ก็หันหน้ากลับมา แล้วจึงเห็นชายกลางคนคนหนึ่งไม่ใช่คนอื่น บิดาของเฟิงเหยียน เฟิงอวี้นั่นเอง"พวกเขาเอาเฟิงเหยียนมาเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน ไม่ใช่ว่าคิดไว้แล้วว่าข้าจะมาหรือ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้สายตาเฟิงอวี้ดูลึกซึ้งมากจั๋วซือหรานมองดวงตาเขา น้าจะเพราะคิ้วตาใบหน้าของเฟิงอวี้ดูคล้ายกับเฟิงเหยียนจริงๆดังนั้นพอมองดวงตาเฟิงอวี้ ก็คล้ายกับมองดวงตาของเฟิงเหยียนอย่างไรอย่างนั้นพอที่จะอ่านออกมาได้ชัดเจน ว่าในสองตานั่น ไม่มีความคิดอริศัตรูตอนนี้ ไม่เห็นความคิดอริศัตรู แต่กลับเห็นถึงอารมณ์ที่ซับซ้อนลึกซึ้งบางส่วนนางเองก็บอกไม่ถูกว่าคืออะไร แต่ขอแค่ไม่ใช่ความคิดอริศัตรู นางก็ขี้เกียจจะไปใส่ใจจั๋วซือหรานหมุนตัวหันไปโยนหินลงน้ำต่อแต่กลับไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินจากไปลอดเข้ามาทางด้านหลังเฟิงอวี้ยืนอยู่ด้านหลังนางตลอด ไม่ได้เดินไปไหนจั๋วซือหรานไม่ได้ยินเสียงเขาเดินจากไป ดังนั้นหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงหันมาถามว่า "ท่านมีอะไรจะชี้แนะอีกหรือ?"ถึงแ
เขาจ่ายออกไปแล้วจริงๆเจ็บปวดมากดังนั้นเขาจึงหวังว่าลูกชายตนเองจะไม่เดินตามรอยความผิดพลาดของตนเช่นนั้น ขอแค่เหยียนเอ๋อร์ไม่เอาใครมาไว้ในใจ ก็ไม่ต้องเดินตามรอยตนเองแล้วและก็ผ่านไปอีกพักหนึ่งงานเลี้ยงในที่สุดก็เริ่มขึ้นแล้ว จั๋วซือหรานตามเหล่าแขกเหรื่อไปที่โถงจัดเลี้ยงและได้เห็นเหล่าผู้อาวุโสตระกูลเฟิง เข้ามาถึงในห้องจัดเลี้ยงก่อนแล้วนอกเหนือจากนี้ คนของตระกูลเหยียนส่วนหนึ่งก็อยู่ด้วยพวกเขากำลังคุยอะไรบางอย่างกันอยู่คิ้วของจั๋วซือหรานเลิกเล็กน้อย สายตาเย็นชาลงเล็กน้อยตอนที่ทุกคนมากันเกือบครบ ผู้อาวุโสตระกูลเหยียนกับผุ้อาวุโสตระกูลเฟิงก็ยืนขึ้นมา ร่วมประกาศข่าวขึ้นพร้อมกัน"เชื่อว่าทุกคนน่าจะเคยได้ยินกันแล้ว พวกเราสองตระกูลกำลังจะเกี่ยวดองกัน ลูกหลานที่ยอดเยี่ยมสองคนของสองตระกูลเรา ในวันนี้จะทำการหมั้นหมายกันภายใต้สักขีพยานของทุกท่าน หวังว่าจะได้รับการอวยพรของทุกท่าน"ทุกคนไม่อวยพรก็ไม่อวยพรสิ แต่สายตาก็อดมองไปทางจั๋วซือหรานไม่ได้ขึ้นมา ราวกับพยายามจะหาคำตอบหรือเหตุผลจากหน้าบนหน้าจั๋วซือหรานสีหน้าของจั๋วซือหรานไม่มีความอบอุ่นอยู่เลย แต่ก็มองไม่ออกว่าอึดอัดอะไรมีคน
"เจ้ากำลังพูดไร้สาระอะไร? พวกเราไปทำอะไรกับเขาตอนไหน?"ถูกจั๋วซือหรานใช้กระบี่ยาวแทงผู้อาวุโสตระกูลเฟิงคนนี้ไว้บนพื้น เนื่องจากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้เขาหน้าบูดเบี้ยวแต่ว่าตอนที่มองจั๋วซือหราน สายตากลับดูภาคภูมิใจขึ้นมาราวกับกำลังบอกกับนางว่า: แล้วเจ้าจะทำอะไรได้? เจ้าโกรธแค้นขนาดนี้เพื่อเฟิงเหยียน ไล่ฆ่าคนไปมากมาย พยายามไปตั้งมากมาย แล้วมีประโยชน์อะไร? เจ้าทำอะไรได้บ้าง?ผู้อาวุโสคนนี้ทนความเจ็บปวดไว้ เสียงกดลงทั้งต่ำทั้งเบา แต่กลับมีความเย้ยหยันกับหยิ่งยโสขึ้นอย่างไม่ปิดบัง บอกกับจั๋วซือหรานว่า "เจ้าไม่ใช่ว่าทุกวันต้องสังหารคนในตระกูลเราหนึ่งคนหรือ? เจ้าไม่ใช่บอกว่า ทุกวันจะสังหารลิ่วล้อของพวกเราคนหนึ่งนี่นะ?"เขาจ้องจั๋วซือหรานนิ่ง หัวเราะเย็นชา "เช่นนั้นเจ้าก็จัดการสังหารเฟิงเหยียนเสียสิ เขาเองก็เป็นลิ่วล้อของพวกเรา ทำไมเจ้าไม่ลงมือ?"ดวงตาของจั๋วซือหรานแดงก่ำขึ้นมา ริมฝีปากเม้มแน่น ไม่พูดอะไรผู้อาวุโสที่ถูกนางกดไว้คนนี้ พูดต่อมาว่า "จั๋วจิ่ว ถ้าเจ้าไม่ลงมือ ข้าก็จะลงมือแล้วนะ"จั๋วซือหรานยังไม่ทันตั้งตัวว่าคำว่า 'ลงมือ' จากปากผู้อาวุโสตระกูลเฟิงหมายความว่าอย
"เฟิงเหยียนเองก็ไร้น้ำใจเกินไปแล้ว""นั่นสิ ต่อให้ไม่ได้เป็นคนรักกัน แต่แม่นางจั๋วจิ่วก็รักเขามากนะ ถึงกับยอมเป็นศัตรูกับทั้งตระกูลเฟิงเพื่อความปลอดภัยของเขาเลย แต่ดันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้""น่าเวทนาจริงๆ หญิงสาวนี่นะ ต่อให้จะเก่งกาจแค่ไหน แต่ถ้ามาหลงใครหัวปักหัวปำเรื่องความรัก ก็จบแล้ว""คนที่อหังการอย่างจั๋วจิ่ว ก็ยังหนีคำว่ารักนี่ไม่พ้นสินะ"ถึงแม้จะไม่อยากได้ยิน แต่ห้องโถงมันก็ใหญ่แค่นี้คำสำคัญในเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ดังก้องจนได้ยินอย่างชัดเจนจั๋วซือหรานยืนอยู่ตรงนั้น นางยกมือขึ้นกุมแขนซ้ายของตนเอง ของเหลวสีแดงสดไหลออกมาตามร้องนิ้ว จนทำเอาแขนเสื้อชุดแดงเพลิงของนาง ย้อมจนกลายเป็นแดงคล้ำนางมองชายคนนั้น มองสีหน้าไร้อารมณ์กับดวงตาลึกซึ้งที่เหม่อลอยของเขาถึงแม้จะไม่อยากยินยอม แต่ก็จำใจต้องยอมรับความจริงหนึ่ง"เจ้าจำข้าไม่ได้แล้ว" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นเสียงเรียบเสียงของเฟิงเหยียนไม่มีความอบอุ่นแม้เพียงน้อย ฟังแล้วเลื่อนลอยมาก "ข้าไม่รู้จักเจ้าเลย"จั๋วซือหรานคิดถึงภาพตอนที่ตนเองได้พบชายคนนี้ขึ้นมาครั้งแรกทันทีเขาในตอนนั้น ก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้ พูดจาเฉยเมย เย็นชา ฟังไม่ออกเล
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร น่าจะเพราะพริบตานี้ จู่ๆ ก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาจั๋วซือหรานไม่หลบอีก จู่ๆ นางก็หยุดเท้ายืนนิ่งมองชายที่โบกกระบี่มาทางตนเอง หางตานางแดงรื้นขึ้นมา เหมือนดูอ่อนแอมาก แต่ริมฝีปากกลับเม้มแน่น มองไม่เหมือนคนที่อ่อนแอเลยแม้แต่น้อยเฟิงเหยียนโบกกระบี่โจมตีมาทางเขา เขากระทั่งคาดการณ์ไว้แล้วล่วงหน้า ว่าหญิงสาวคนนี้จะทำท่ายกกระบี่เพื่อกันไม่รู้เพราะอะไร ถึงแม้เขาจะไม่รู้จักหญิงสาวคนนี้ แต่ระหว่างที่ลงมือกับนาง กลับทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองพูดไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกอะไร และบอกไม่ถูกว่าในใจเป็นอย่างไรหรือว่าจะเพราะ...นางนั้นงดงามมาก ดังนั้นจึงทำให้เขารู้สึกเห็นใจและทะนุถนอมขึ้นมาหรือ?ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าในชีวิตของตนเองนี้ เหมือนไม่เคยเกิดมีคำว่ารู้สึกเห็นใจและทะนุถนอมมาก่อนเลยก็ตามแต่ว่า บาดแผลเหล่านั้นบนตัวนาง...เดิมทีควรจะตัดแขนของนางไปแล้ว แต่ตอนหลังกลับเก็บแรงลงมา จึงทิ้งไว้แค่เพียงแผลถลอกเดิมทีควรจะเป็นการโจมตีที่ทะลวงท้องของนางไป แต่กลับกลายเป็นแผลตื้นๆ แผลหนึ่งที่ข้างเอวนางแทนแน่นอน เฟิงเหยียนคิดว่า น่าจะเพราะนางปฏิกิริยารวดเร็วมาก และเพราะทุกค
แต่กลับไม่ลงมือ กระทั่ง ยังเก็บกระบี่ยาวลงทันควันอีกด้วยเสียงชิ้ง! ดังขึ้น กระบี่เสวียนเหยียนกลับเข้าไปอยู่ในฝักแล้วจั๋วซือหรานมองเขา "ท่านอ๋อง ท่านไม่รู้จักข้าจริงหรือ?""ไม่รู้จัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นเสียงเย็นชา แต่ในใจกลับไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร ไม่รู้จักจริงหรือ? แล้วปัญหามันเกิดจากตรงไหนกัน...จั๋วซือหรานหัวเราะเฮอะขึ้น "มองไม่ออกเลย ว่าท่านอ๋องจะมีเมตตากับคนที่ไม่รู้จักแบบนี้ ไม่ใช่บอกว่าจะสังหารข้าหรือ ลงมือไม่ลงแล้วเหรอ?"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไรจั๋วซือหรานมองเขา มุมปากเลิกขึ้นเป็นรอยโค้งเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม "หรือก็คือ เพราะข้าหน้าตาดี ท่านอ๋องเลยเห็นใจและสงสารขึ้นมาแล้วสินะ?"เฟิงเหยียนได้ยินคำนี้ นิ่งงันไปพักหนึ่ง "เจ้าถือว่าเป็นหญิงสาวที่ต้องเห็ฯใจและสงสารหรือ?"จั๋วซือหรานพอได้ยินก็ยิ้มๆ นางมองเขานิ่งไม่รู้เพราะอะไร เฟิงเหยียนมองออกบางส่วนจากในสองตานี้...ทำให้เขามีสีหน้าตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุกระทั่งว่า ตัวนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงต้องตื่นตระหนกแต่เพียงไม่นาน เขาก็มีคำตอบขึ้นมาเพราะวินาทีต่อมา มือที่ห้อยอยู่ข้างตัวนาง กำกระบี่แล้วชูขึ้นมาทันควันแต่
"เจ้า...!" เฟิงเหยียนรู้สึกว่าตนเองแทบจะบ้าอยู่แล้ว กระทั่งไม่รู้ว่าไฟโกรธนี้มาจากที่ไหนนิ้วของจั๋วซือหรานคลายจากด้ามกระบี่ เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ "ชอบกระบี่ข้าขนาดนี้เชียว? ถึงกับเอามือเปล่ามารับคมเลยหรือ? ให้เจ้าแล้วกัน"พูดพลาง จั๋วซือหรานก็หันไปมองผู้อาวุโสตระกูลเฟิงเหล่านั้นนางหัวเราะขึ้นมา "แค่นี้น่ะนะ?"พอสิ้นเสียง ก็เห็นสีหน้าเหมือนกินขี้มาของพวกเขาตามคาดทุกคนล้วนนิ่งเป็นเป่าสาก เพราะสถานการณ์ก่อนหน้านี้มันพลิกไปพลิกมา...จนทำเอาคนต้องถลึงตาอ้าปากค้าง ดูละครยังไม่ถึงใจขนาดนี้เลยจั๋วจิ่วคนนี้ เป็นคนประหลาดเสียจริง!นางกล้ามากจริงๆ!นางกล้าเดิมพัน!พวกบ้าเดิมพันแบบนาง ตระกูลเฟิงทำไมถึงกล้าไปยั่วโมโหนางกัน?ครั้งนี้เป็นไงล่ะ ขายหน้าครั้งใหญ่เลยกระมังคิดจะทำให้จั๋วซือหรานอึดอัดต่อหน้าคน ตอนนี้ใครกันแน่ที่อัดอัด?ผู้อาวุโสตระกูลเฟิงไม่พอใจกับเรื่องนี้มาก เดินไปข้างๆ เฟิงเหยียน กดเสียงต่ำถามขึ้นมา "เหยียนเอ๋อร์! เจ้าเป็นอะไรไป"เฟิงเหยียนก้มหน้าลงใช้ผ้าเช็ดมือเช็ดแผลที่ฝ่ามือของตนเอง สีหน้านิ่งมาก กวาดตามองผู้อาวุโสผาดหนึ่ง เสียงเองก็เรียบสงบ "พวกท่านก่อนหน้านี้ไม่ได้พูด
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"